แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 324


ถ้าเป็นกุศลศีล ก็เป็นปัจจัยให้กุศลวิบากจิตเกิดขึ้น ถ้าเป็นอกุศลศีล ก็เป็นปัจจัยให้อกุศลวิบากจิตเกิดขึ้น เพราะเหตุว่าในชีวิตไม่ใช่มีแต่ธรรมที่เป็นเหตุ หรือไม่ใช่มีแต่ธรรมที่เป็นวิบากคือผล ส่วนที่เป็นเหตุก็มี ที่จะทำให้เกิดผลในอนาคต และส่วนที่เป็นวิบากคือผลก็มี ซึ่งเป็นผลของเหตุในอดีตที่ได้กระทำไว้

เพราะฉะนั้น ถ้ากล่าวถึงกุศลและอกุศล หมายความถึงสภาพธรรมที่เป็นเหตุที่จะให้เกิดวิบาก กุศลเป็นเหตุให้เกิดกุศลวิบาก ผลฝ่ายดีที่จะได้รับทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อกุศลเป็นเหตุที่ไม่ดี ที่จะทำให้เกิดอกุศลวิบาก คือ การรับผล ที่ไม่ดีต่างๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย

สำหรับผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังไม่หมดกิเลส ด้วยเหตุนี้จึงยังมีเชื้อ มีปัจจัยที่จะเป็นกุศลและอกุศลที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิหลังจากจุติแล้ว ยังทำให้มีวิบากเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังก็จะต้องทราบความหมายของคำว่า กุศลา ธัมมา อกุศลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมาด้วย

กุศลา ธัมมา หมายความถึงธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล ที่ดีงาม ที่เป็นเหตุ อกุศลา ธัมมา คือ อกุศลธรรมทั้งหลายที่เป็นเหตุที่ไม่ดี ที่จะให้เกิดผล คือ วิบากที่ไม่ดี สำหรับอัพยากตา ธัมมา หมายความถึงธรรมที่ไม่ใช่กุศลและอกุศล ธรรมนั้นเป็นอัพยากตะ

รูป จะกล่าวว่าเป็นกุศล เป็นไปในทาน ในศีลไม่ได้ เพราะรูปไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น รูปทั้งหมดเป็นอัพยากตะ สิ่งที่จะเป็นกุศลหรืออกุศลต้องเป็นนามธรรม เป็นสภาพที่รู้อารมณ์ เป็นธรรมฝ่ายดี จึงเป็นกุศลธรรม หรือเป็นธรรมฝ่ายไม่ดี จึงเป็นอกุศลธรรม

เพราะฉะนั้น วิบาก คือ นามธรรมที่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากเหตุ คือ กุศลหรืออกุศลในอดีต วิบากทั้งหมดเป็นอัพยากตะ และจิตของพระอรหันต์ที่เป็นกิริยาจิต คือ ไม่เป็นเหตุที่จะให้เกิดผลในอนาคต ก็เป็น อัพยากตะด้วย

ขอทบทวนเรื่องชาติของจิตซึ่งมี ๔ ชาติ จิตแบ่งเป็นกุศล ๑ อกุศล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑

กุศล ได้แก่ จิตที่เป็นเหตุที่ดี ที่จะให้เกิดกุศลวิบาก

อกุศล เป็นเหตุที่ไม่ดี ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลวิบาก

วิบาก เป็นผล ถ้าเป็นผลของอกุศล ก็เป็นอกุศลวิบาก ถ้าเป็นผลของกุศล ก็เป็นกุศลวิบาก

กิริยาจิต ได้แก่ จิตที่ไม่ใช่กุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิต ไม่ใช่วิบากจิต กิริยาจิตไม่ใช่จิตที่เป็นเหตุ และไม่ใช่จิตที่เป็นผล

สำหรับคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์มีจิตทั้ง ๔ ชาติ คือ มีทั้งกุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต กิริยาจิต แต่สำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ไม่มีกุศลจิต ไม่มีอกุศลจิต มีแต่วิบากจิต กับกิริยาจิต ซึ่งเป็นอัพยากตะ

เพราะฉะนั้น ศีลจึงมี ๓ ถ้าศีล ความประพฤติทางกาย ทางวาจา เป็นสิ่งที่ ไม่ดี ไม่งาม ไม่เป็นประโยชน์ นำมาซึ่งความเดือดร้อน ก็เป็นอกุศลศีล แต่ศีลที่ดี ที่งามทางกาย ทางวาจา ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดสุข ให้เกิดประโยชน์ ศีลที่ดี ที่งาม ทางกาย ทางวาจานั้น ก็เป็นกุศลศีล

สำหรับพระอรหันต์ ไม่มีอกุศล และไม่มีกุศล จะกล่าวว่า พระอรหันต์ไม่มีศีลได้ไหม เมื่อยังมีกาย ก็ต้องมีความประพฤติทางกาย เป็นเรื่องของการดำรงชีวิตต่อไป ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็จำเป็นที่จะต้องมีวาจา มีถ้อยคำ มีวาจาที่เป็นสุจริต แต่เพราะเหตุว่าจิตของท่านไม่มีกิเลส ศีลของท่านจึงไม่ใช่กุศลศีล แต่เป็นอัพยากตศีล

ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ข้อ ๘๙ มีว่า

ศีลเป็นที่ประชุมแห่งธรรมอะไร คือ ศีลเป็นที่ประชุมแห่งสังวร เป็นที่ประชุมแห่งการไม่ก้าวล่วง เป็นที่ประชุมแห่งเจตนาอันเกิดในความเป็นอย่างนั้น

ที่ว่า ศีลเป็นที่ประชุมแห่งสังวร ในขณะที่สังวร จะเป็นสังวรในปาติโมกข์ ในสิกขาบท นั่นก็เป็นเพราะศีล หรือว่าในขณะที่กำลังสังวร ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม นั่นก็เป็นศีล ในขณะนั้นละเว้นทุจริตทางกาย ทางวาจา เพราะว่ากำลังระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม

เป็นที่ประชุมแห่งการไม่ก้าวล่วง คือ การไม่ประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจา

เป็นที่ประชุมแห่งเจตนาอันเกิดในความเป็นอย่างนั้น ขณะนี้ถ้าท่านผู้หนึ่งผู้ใดเข้าใจเรื่องของศีล เห็นว่า เป็นสิ่งที่ควรประพฤติ อบรมให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ในขณะที่มีความเห็น มีความรู้ ความคิด หรือเจตนาอย่างนี้ ศีล เป็นที่ประชุมแห่งเจตนาอันเกิดในความเป็นอย่างนั้น เวลานั้นเจตนาไม่เป็นอย่างอื่น แต่ว่ามีเจตนาที่จะละทุจริตทางกาย ทางวาจา และก็มีเจตนาที่จะสำรวม สังวร น้อมนำธรรมมาสังวร มาประพฤติ มาปฏิบัติตามมากยิ่งขึ้น

ข้อความต่อไป

ชื่อว่าศีล เพราะอรรถว่าสำรวม และไม่ก้าวล่วงปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท ปิสุณาวาจา ผรุสวาจา สัมผัปปลาปะ อภิชฌา พยาปาทะ มิจฉาทิฏฐิ

ความประพฤติทุจริตทางกาย ทางวาจานั้น ไม่ใช่มีสมุฏฐานมาจากอื่นเลย นอกจากจิต เพราะฉะนั้น ที่ว่า ชื่อว่าศีล เพราะอรรถว่าสำรวม ก็คือ ไม่ก้าวล่วงปาณาติบาต การฆ่าสิ่งที่มีชีวิต อทินนาทาน ถือเอาสิ่งของวัตถุที่บุคคลอื่นไม่ได้ให้ กาเมสุมิจฉาจาร การประพฤติผิดในกาม มุสาวาท การพูดเท็จ ปิสุณาวาจา การพูดส่อเสียด ผรุสวาจา การพูดคำหยาบ สัมผัปปลาปะ การพูดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ เกินประมาณ เพ้อเจ้อ นอกจากนั้นก็ยังจะต้องไม่ก้าวล่วง อภิชฌา พยาปาทะ มิจฉาทิฏฐิ ซึ่งเป็นเรื่องของอกุศลจิต

คือ ยิ่งสังวร ยิ่งสำรวม ยิ่งระวัง นั่นยิ่งจะเป็นศีลที่สมบูรณ์ขึ้นเรื่อยๆ

ข้อความต่อไปก็ละเอียดขึ้น คือ

ชื่อว่าศีล เพราะอรรถว่าสำรวม และไม่ก้าวล่วงกามราคะด้วยเนกขัมมะ ... ความพยาบาทด้วยความไม่พยาบาท ... ถีนมิทธิด้วยอาโลกสัญญา ... อุทธัจจะด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน ... วิจิกิจฉาด้วยการกำหนดธรรม ... อวิชชาด้วยญาณ ... อรติด้วยความปราโมทย์ ... นิวรณ์ด้วยปฐมฌาน ... วิตก วิจารด้วยทุติยฌาน ... ปีติด้วยตติยฌาน ... สุขและทุกข์ด้วยจตุตถฌาน ... รูปสัญญา ปฏิฆสัญญา นานัตตสัญญาด้วย อากาสานัญจายตนสมาบัติ ... อากาสานัญจายตนสัญญาด้วยวิญญาณัญจายตนสมาบัติ ... วิญญาณัญจายตนสัญญาด้วยอากิญจัญญายตนสมาบัติ ... อากิญจัญญายตนสัญญาด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสมาบัติ ... นิจจสัญญาด้วยอนิจจานุปัสนา ... สุขสัญญาด้วยทุกขานุปัสนา ... อัตตสัญญาด้วยอนัตตานุปัสนา ... นันทิด้วยนิพพิทานุปัสนา ... ราคะด้วยวิราคานุปัสนา ... สมุทัยด้วยนิโรธานุปัสนา ... อาทานะด้วยปฏินิสสัคคานุปัสนา ... ฆนสัญญาด้วยวยานุปัสนา ... ธุวสัญญาด้วย วิปริณามานุปัสนา ... นิมิตด้วยอนิมิตตานุปัสนา ... ปณิธิด้วยอัปปณิหิตานุปัสนา ... อภินิเวสด้วยสุญญตานุปัสนา ... สาราทานาภินิเวสด้วยอธิปัญญาธรรมวิปัสสนา ... สัมโมหาภินิเวสด้วยยถาภูตญาณทัสนะ ... อาลยาภินิเวสด้วยอาทีนวานุปัสนา ... อัปปฏิสังขาด้วยปฏิสังขานุปัสนา ... สังโยคาภินิเวสด้วยวิวัฏฏนานุปัสนา ... กิเลสที่ตั้งอยู่ร่วมกันกับทิฏฐิด้วยโสดาปัตติมรรค ... กิเลสหยาบๆ ด้วยสกทาคามิมรรค ... กิเลสละเอียดด้วยอนาคามิมรรค ชื่อว่าศีล เพราะอรรถว่าสำรวม และไม่ก้าวล่วงกิเลสทั้งปวงด้วยอรหัตตมรรค ฯ

เป็นเรื่องของศีลที่จะสมบูรณ์ขึ้น บริสุทธิ์ยิ่งขึ้น จนกระทั่งถึงความเป็น พระอรหันต์ ซึ่งมีข้อความว่า ชื่อว่าศีล เพราะอรรถว่าสำรวม และไม่ก้าวล่วงกิเลสทั้งปวงด้วยอรหัตตมรรค

ศีลที่จะอบรมเพื่อความบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น จนถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่ใช่ไม่มีจุดมุ่งหมายในการอบรมศีล หรือในการเจริญรักษาศีล แต่ว่าจุดหมายของการอบรมรักษาศีลนั้น เพื่อความบริสุทธิ์จากกิเลส ตั้งแต่ขั้นปาณาติบาต จนกระทั่งถึงการละกิเลสที่ตั้งอยู่ร่วมกันกับทิฏฐิด้วยโสตาปัตติมรรค จนกระทั่ง ไม่ก้าวล่วงกิเลสหยาบๆ ด้วยสกทาคามิมรรค ไม่ก้าวล่วงกิเลสละเอียดด้วยอนาคามิมรรค และจนกระทั่งถึง ไม่ก้าวล่วงกิเลสทั้งปวงด้วยอรหัตตมรรค

นี่คือจุดประสงค์สูงสุดของการอบรมรักษาศีล

ข้อความต่อไป ข้อ ๙๐ มีว่า

ศีล ๕ คือ การละปาณาติบาตเป็นศีล เวรมณี การงดเว้นเป็นศีล เจตนาเป็นศีล สังวรเป็นศีล การไม่ล่วงเป็นศีล

ศีลเห็นปานนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เดือดร้อนแห่งจิต เพื่อความปราโมทย์ เพื่อปีติ เพื่อปัสสัทธิ เพื่อโสมนัส เพื่อการเสพโดยเอื้อเฟื้อ เพื่อความเจริญ เพื่อทำให้มาก เพื่อเป็นเครื่องประดับ เพื่อเป็นบริขาร เพื่อเป็นบริวาร เพื่อความบริบูรณ์ ย่อมเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว

นี่เป็นจุดประสงค์ของการอบรมเจริญศีล

หรือว่าจะรักษาศีล ๕ ไม่ใช่เพื่อนิพพาน

ซึ่งถ้าไม่ใช่เป็นผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐานแล้ว รักษาศีล ๕ เพื่อผลของศีล ๕ แต่ว่าผู้ที่มีปกติเจริญสติปัฏฐาน เพื่อการดับกิเลส

เพราะฉะนั้น ผู้ที่ต้องการจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม บรรลุมรรคผลนิพพาน ไม่รักษาศีลได้ไหม ถ้าไม่รักษา ก็เป็นการสะสมกิเลสให้มีกำลังกล้าขึ้น ยากแก่การที่จะดับได้

ขออ่านจดหมายจากจังหวัดเชียงราย ท่านผู้ฟังถามว่า

ผมขอเรียนถามท่านอาจารย์สักอย่างหนึ่ง เพื่อแก้ความข้องใจของผม เพราะผมเป็นชาวจังหวัดเชียงราย เวลาผมจะพูดกับท่านอาจารย์โดยภาษาไทย ผมก็พูดไม่ค่อยถนัด คือ ผมจะถามในรายการหนังสือ ขออภัยโทษนะ การที่ว่า ทุกครั้งให้รู้จักอิริยาบถทั้ง ๔ หรือ ๖ นั้น คือ อาการยืน เดิน นั่ง นอน ตึง ไหว ให้รู้จักนั้น ผมก็พยายามทำอย่างเต็มที่ ผมไม่รู้ว่าจะเป็นสติปัฏฐาน ๔ หรือไม่ คือ

เมื่อผมทำงาน ผมได้เอาจิตลงอยู่เท้าทั้งสอง เมื่อเท้าซ้ายยก ผมก็ว่าซ้าย เวลาเท้าขวายก ผมก็ว่าขวา และจิตนึกคิดอยู่ตลอดเวลา เดินอยู่ผมก็นึก เท้าซ้ายขวา ซ้ายขวา อยู่เนืองๆ ทุกวันนะ เมื่อผมนึกดังนี้ จะเป็นสติปัฏฐานหรือไม่

อีกอย่างหนึ่ง เวลาตักดิน ผมก็นึกและคิดอยู่ทุกอิริยาบถ เมื่อผมนั่งพักงาน ชักจะง่วงหน่อย ทีนี้ผมจึงเอาตาจ้องมองดูใบโพธิ์ที่หน้างานของผม มองดูใบโพธิ์จนชัด ทีนี้แล้วผมจึงนั่งหลับตาให้หายง่วง แต่ใจผมไม่หลับ ยังต้องจ้องมองใบโพธิ์อยู่ตามเวลาอันเล็กน้อยนั้น ผมรู้สึกชื่นใจมาก เหมือนผมได้เห็นพระอริยเจ้า พระอริยเจ้านั้นจิตใจของท่านคงจะเหมือนใบโพธิ์ และยอมรับธรรมชาติตามดินฟ้าอากาศอยู่เรื่อย ไม่ยอมกระด้างกระเดื่อง ยอมรับสายลมเมื่อเวลาลมแผ่วมา ผมคิดอย่างนี้ จะเป็น สติปัฏฐาน ๔ ได้หรือไม่ ดังนี้ ขอขอบคุณท่านอาจารย์สุจินต์ เฉลยให้ผมฟังด้วย

สุ. การที่จะเจริญสติปัฏฐานนั้น จะต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขั้นของการฟังก่อน ให้เข้าใจว่า ลักษณะใดเป็นสภาพของนามธรรม ลักษณะใดเป็นสภาพของรูปธรรม เพื่อสติจะได้เกิดระลึกรู้ตรงลักษณะของสภาพนามธรรมและรูปธรรม ทางตา หรือทางหู หรือทางจมูก หรือทางลิ้น หรือทางกาย หรือทางใจ ให้เข้าใจชัดเจนว่า เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะ แต่ละชนิด ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน

กำลังนั่ง กำลังนอน กำลังยืน กำลังเดิน กำลังเห็น กำลังคิด กำลังเป็นสุข กำลังเป็นทุกข์ จะมีสภาพธรรมที่เป็นของจริงที่ปรากฏ มีลักษณะแต่ละลักษณะให้สติระลึกรู้ได้ ขณะที่กำลังยืนเดี๋ยวนี้ มีสภาพธรรมอะไรที่กำลังปรากฏให้รู้ได้

นี่เป็นปัญญาขั้นต้นที่จะต้องพิจารณา รู้ และสติจึงสามารถที่จะระลึกตรงลักษณะนั้นได้ แต่อย่าคิดที่จะทำวิปัสสนาโดยที่ไม่ได้เข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏว่า ลักษณะใดเป็นนามธรรม ลักษณะใดเป็นรูปธรรม ต้องให้เข้าใจเสียก่อน สติจึงจะระลึกรู้ได้ อย่าเพิ่งรีบไปทำวิปัสสนา

ขอต่อเรื่องของศีล ซึ่งเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน

ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ข้อ ๙๐ มีข้อความว่า

ศีล ๕ คือ การละปาณาติบาตเป็นศีล เป็นต้น เป็นลำดับไปทั้ง ๕ ข้อ ตามที่กล่าวแล้วข้างต้น

ท่านผู้ฟังพิจารณาความหมายของศีล จะเห็นว่า เป็นปกติที่จะต้องขัดเกลาให้ยิ่งขึ้น จนถึงความหมดจดจากกิเลส ซึ่งโดยมากจะเข้าใจว่า ศีลเป็นแต่เพียงการวิรัติทุจริตกรรม เป็นการงดเว้นการฆ่า เป็นต้น เจตนาก็เป็นศีล สังวร คือ การสำรวม สังวรก็เป็นศีล การไม่ก้าวล่วงก็เป็นศีล

นี่เรื่องของศีลที่ละเอียดขึ้น ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เดือดร้อนแห่งจิต เพื่อความปราโมทย์ เพื่อปีติ เพื่อปัสสัทธิ เพื่อโสมนัส เพื่อการเสพโดยเอื้อเฟื้อ เพื่อความเจริญ เพื่อทำให้มาก เพื่อเป็นเครื่องประดับ เพื่อเป็นบริขาร เพื่อเป็นบริวาร เพื่อความบริบูรณ์ ย่อมเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว

จริงไหมอย่างนี้ เจตนาเป็นศีล และศีลเห็นปานนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เดือดร้อนแห่งจิต เพื่อความปราโมทย์ เพื่อปีติ เพื่อปัสสัทธิ เพื่อโสมนัส ... ลองสังเกตจิตใจบ้างหรือเปล่า เวลาที่จิตเป็นอกุศล ที่เป็นไปกับโลภะ โทสะ โมหะ กับขณะที่เป็นกุศลจิต มีเจตนาที่จะวิรัติทุจริตกรรม

สำหรับบางท่าน จะสังเกตได้ว่า แม้แต่จะให้เกิดเจตนาที่งดเว้นก็ยาก แม้ในศีลข้อแรก คือ ปาณาติบาต ยากหรือง่าย บางคนฆ่าสัตว์เป็นนิจ เวลาเห็นใครฆ่าสัตว์เล็กสัตว์น้อย ผู้ที่มีศีลเป็นปกติ ก็ใคร่ที่จะให้บุคคลนั้นละเสียบ้าง เว้นเสียบ้าง เพื่อเป็นการอบรมขัดเกลา ไม่ให้หนาแน่นไปด้วยอกุศลจิต อกุศลกรรม แต่บุคคลที่มีปกติฆ่าแม้สัตว์เล็กสัตว์น้อย รู้สึกว่าเป็นธรรมดา ไม่มีแม้เจตนาที่คิดจะเว้น เคยสังเกตบ้างไหมว่า เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เห็นมดเดินผ่านก็ฆ่าแล้ว ยังไม่ได้กัด ไม่ได้ทำอะไรเลย ไม่มีแม้เจตนาที่จะละเว้นปาณาติบาต

เพราะฉะนั้น ถ้าก่อนนี้บุคคลใดเป็นผู้ที่ไม่ได้ละเว้นการฆ่าสิ่งที่มีชีวิต แต่ภายหลังเห็นว่า การฆ่าสิ่งที่มีชีวิตนั้นเป็นอกุศลกรรม เกิดขึ้นเพราะอกุศลจิต จึงเกิดเจตนาที่จะวิรัติทุจริต ในขณะนั้นเป็นกุศล ซึ่งจะทำให้เกิดปีติ เกิดโสมนัสได้ เพราะฉะนั้น ท่านก็ลำดับของท่านไปว่า แต่ก่อนนี้ ท่านมีเจตนาที่จะวิรัติทุจริตกรรมในศีล ๕ ข้อหนึ่งข้อใดบ้างแล้วหรือยัง หรือว่ายังคงเห็นว่าเป็นสิ่งเล็กน้อยที่ล่วงไปได้ ประพฤติไปได้ แต่ถ้าเห็นว่าเป็นโทษ ก็เกิดเจตนาที่จะวิรัติทุจริต กุศลก็ค่อยๆ เริ่มพัฒนา สะสมเพิ่มพูนให้บริบูรณ์ขึ้นได้ โดยเริ่มตั้งแต่ในขั้นของเจตนา

สำหรับประการต่อไปที่ว่า สังวรก็เป็นศีล เมื่อท่านเกิดเจตนาที่จะวิรัติทุจริตกรรม ต้องระมัดระวังไหม หรือว่าเมื่อเกิดเจตนาแล้ว ก็แล้วไป ยังคงพลั้งเผลอ เวลาจะนั่ง จะลุก ก็ไม่ดูว่าจะทำร้าย ทำอันตรายสัตว์เล็กสัตว์น้อยบ้างหรือเปล่า แต่ว่าผู้ที่ต้องการจะเจริญกุศล ต้องมีความเพียรที่จะสังวร ระวัง ไม่ให้ล่วงเป็นทุจริต

เพราะฉะนั้น เมื่อมีเจตนาแล้ว การสังวร การระวังที่จะไม่ให้ล่วงเป็นอกุศลกรรมนั้น ก็เป็นเพราะสติเกิดขึ้นในขณะนั้น ระลึกได้ และในขณะที่สังวรระวัง ในขณะนั้นเอง ปราโมทย์ ปีติ โสมนัส ก็ย่อมเกิดได้ในการสังวร ในการระวังของตน ในขณะนั้น ที่จะไม่ให้เป็นทุจริต


หมายเลข  6463
ปรับปรุง  14 ม.ค. 2567