แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 326
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค พลกรณียวรรคที่ ๑๑ พลกรณียสูตรที่ ๑ มีข้อความว่า
สาวัตถีนิทาน
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย การงานที่จะพึงทำด้วยกำลังอย่างใดอย่างหนึ่ง อันบุคคลทำอยู่ทั้งหมดนั้น อันบุคคลอาศัยแผ่นดิน ดำรงอยู่บนแผ่นดิน จึงทำได้ การงานที่จะพึงทำด้วยกำลังเหล่านี้ อันบุคคลย่อมกระทำได้ด้วยอาการอย่างนี้ แม้ฉันใด ภิกษุอาศัยศีล ตั้งมั่นอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ
ข้อความต่อไป มรรคมีองค์อื่น คือ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ตลอดไปจนถึงสัมมาสมาธิ ซึ่งมีข้อความว่า
ย่อมเจริญสัมมาสมาธิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างนี้แล
จบสูตรที่ ๑
ขาดศีลไม่ได้ แต่ว่าพยัญชนะนี้ ควรจะได้ทราบโดยละเอียด มิฉะนั้น พอท่านผู้ฟังคิดถึงอาศัยวิเวก ท่านก็จะคิดถึงแต่เฉพาะสถานที่ แต่ความจริงแล้ว ความหมายของวิเวก คือ การสละ เพราะฉะนั้น ท่านใช้พยัญชนะที่มีความหมายอย่างเดียวกัน คือ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ
เพราะฉะนั้น วิเวกนั้น คือ วิราคะ นิโรธ น้อมไปในการสละนั่นเอง
ข้อความในสูตรต่อไป
พลกรณียสูตรที่ ๒
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว จึงเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ อย่างไรเล่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ มีอันกำจัดราคะเป็นที่สุด มีอันกำจัดโทสะเป็นที่สุด มีอันกำจัดโมหะเป็นที่สุด
ซึ่งความหมายเดียวกับ อาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ น้อมไปในการสละ เพราะเหตุว่าเป็นเรื่องของการสละกิเลสทั้งสิ้น
ข้อความใน พลกรณียสูตรที่ ๓ ก็ชัดเจนขึ้น และเป็นข้อความที่มีความหมายอย่างเดียวกัน คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันหยั่งลงสู่อมตะ มีอมตะเป็นเบื้องหน้า มีอมตะเป็นที่สุด ฯลฯ
อมตะ สภาพที่ไม่ตาย คือ สภาพที่ไม่เกิด ได้แก่ นิพพานนั่นเอง
พลกรณียสูตรที่ ๔ ก็มีข้อความที่มีความหมายอย่างเดียวกัน คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญสัมมาทิฏฐิ อันน้อมไปสู่นิพพาน โน้มไปสู่นิพพาน โอนไปสู่นิพพาน ฯลฯ
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค พีชสูตร มีข้อความว่า
อุปมาพืช ย่อมถึงความเจริญงอกงามใหญ่โต เพราะอาศัยแผ่นดิน ตั้งอยู่ในแผ่นดิน ฉันใด ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว เจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมถึงความเจริญงอกงามไพบูลย์ในธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค นาคสูตร มีข้อความอุปมาว่า
พวกนาคอาศัยขุนเขาชื่อหิมวันต์ มีกายเติบโต มีกำลัง ครั้นมีกายเติบโต มีกำลังที่ขุนเขานั้นแล้ว ย่อมลงสู่บึงน้อย ครั้นลงสู่บึงน้อยแล้ว ย่อมลงสู่บึงใหญ่ ครั้นลงสู่บึงใหญ่แล้ว ย่อมลงสู่แม่น้ำน้อย ครั้นลงสู่แม่น้ำน้อยแล้ว ย่อมลงสู่แม่น้ำใหญ่ ครั้นลงสู่แม่น้ำใหญ่แล้ว ย่อมลงสู่มหาสมุทรสาคร นาคพวกนั้น ย่อมถึงความโตใหญ่ทางกายในมหาสมุทรสาครนั้น แม้ฉันใด ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว เจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมถึงความเป็นใหญ่ไพบูลย์ในธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน
นี่เป็นการที่ศีลมีกำลังมั่นคงยิ่งขึ้น ด้วยการอบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ เพราะถึงแม้ว่าท่านผู้ฟังจะรักษาศีล ๕ มีเจตนาสมาทานที่จะวิรัติอกุศลกรรม ทุจริตกรรม แต่ว่าศีลนั้นจะมั่นคงเท่าไร ย่อมแล้วแต่ว่า ท่านเป็นผู้ที่อบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ ด้วยหรือไม่ เพราะถ้าท่านไม่อบรมเจริญสติปัฏฐาน ไม่อบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ สติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม ก็ย่อมไม่สามารถที่จะมีความมั่นคงในการที่จะรักษาศีลนั้น ซึ่งต้องอาศัยการอบรมเป็นลำดับไป อุปมาเหมือน พวกนาคที่อาศัยขุนเขาชื่อหิมวันต์ มีกายเติบโต มีกำลัง ครั้นมีกายเติบโต มีกำลังที่ขุนเขานั้นแล้ว ย่อมลงสู่บึงน้อย ครั้นลงสู่บึงน้อยแล้ว ย่อมลงสู่บึงใหญ่ ... แม้ฉันใด ภิกษุอาศัยศีล ตั้งอยู่ในศีลแล้ว เจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมถึงความเป็นใหญ่ไพบูลย์ในธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
อีกสูตรหนึ่ง เป็นการแสดงถึงการเป็นผู้อบรมอริยมรรคมีองค์ ๘
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค กุมภสูตร พระผู้มีพระภาคทรงอุปมาว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย หม้อที่คว่ำย่อมทำให้น้ำไหลออกอย่างเดียว ไม่ทำให้กลับไหลเข้า แม้ฉันใด ภิกษุเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมระบายอกุศลธรรมอันลามกออกอย่างเดียว ไม่ให้กลับคืนมาได้ ฉันนั้นเหมือนกัน
เพราะฉะนั้น ไม่ใช่มีแต่เจตนาที่จะสมาทานรักษาศีล แต่ต้องเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ ด้วย จึงจะสามารถระบายอกุศลธรรมอันลามกออก ไม่ให้กลับคืนมาได้ ไม่ให้ล่วงทุจริตกรรมได้ เวลาที่สติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมแต่ละครั้ง แต่ละขณะ น้อมไปสู่การสละ ที่จะไม่ยึดถือสภาพของนามธรรมนั้น รูปธรรมนั้นว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน เป็นการระบายอกุศลธรรมออก
สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค เมฆสูตรที่ ๒ ก็มีข้อความว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ลมแรงย่อมยังมหาเมฆอันเกิดขึ้นแล้วให้หายหมดไปได้ในระหว่างนั่นเอง แม้ฉันใด ภิกษุเมื่อเจริญอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ กระทำให้มากซึ่งอริยมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ย่อมยังอกุศลธรรมอันลามกที่เกิดขึ้นแล้ว ให้หาย สงบไปในระหว่างได้โดยพลัน ฉันนั้นเหมือนกัน
ถ้าสะสมเจริญอบรมสติกับปัญญา ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม หมดความสงสัยลังเลในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรม จนสามารถที่จะแทงตลอดในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมได้ แม้ในขณะที่อกุศลธรรมเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย สติสามารถที่จะระลึกรู้ลักษณะของอกุศลธรรมในขณะนั้น ปัญญาแทงตลอดในสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนของอกุศลธรรมนั้น และสามารถจะรู้แจ้ง อริยสัจธรรมได้
ทุกท่านไม่สามารถที่จะยับยั้งอกุศลธรรม เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่อกุศลธรรมใดจะเกิด อกุศลธรรมอันลามกนั้นย่อมเกิดขึ้น และอาจจะมีกำลังแรง เพราะว่าสะสมมานาน แต่แม้กระนั้น ถ้าสติปัญญาอบรมเจริญมาที่จะละการยึดถือสภาพธรรมนั้น ที่จะแทงตลอดประจักษ์ในความจริงของสภาพธรรมนั้น ก็ทรงอุปมาเหมือนกับลมแรง ที่ย่อมยังมหาเมฆที่เกิดขึ้นแล้ว ให้หายหมดไปได้ในระหว่างนั่นเอง
แต่ถ้ายังไม่ถึงความเป็นพระอริยเจ้า ก็ย่อมจะล่วงศีลได้ตามกำลังของกิเลส ซึ่งเรื่องของศีล เป็นเรื่องที่จะพิสูจน์จิตใจของแต่ละท่านว่า กิเลสของท่านมีกำลังแรงกล้าแค่ไหน ถ้ายังสามารถที่จะประพฤติทุจริตกรรม ก็แสดงว่า กิเลสนั้นยังมีกำลังแรงมาก
ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค ข้อ ๘๗ มีว่า
ศีลมีที่สุดก็มี ศีลไม่มีที่สุดก็มี ในศีล ๒ อย่างนั้น ศีลมีที่สุดนั้นเป็นไฉน
ศีลมีที่สุดเพราะลาภก็มี ศีลมีที่สุดเพราะยศก็มี ศีลมีที่สุดเพราะญาติก็มี ศีลมีที่สุดเพราะอวัยวะก็มี ศีลมีที่สุดเพราะชีวิตก็มี ฯ
ท่านตรวจสอบชีวิตของท่านได้ คงจะล่วงทุจริตกรรมกันบ้าง ทางกาย ทางวาจา ซึ่งแต่ละครั้งขอให้ท่านตรวจสอบว่าเพราะอะไร เพราะลาภ หรือเพราะยศ หรือเพราะญาติ หรือเพราะอวัยวะ หรือเพราะชีวิต
ศีลมีที่สุดเพราะลาภนั้นเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมล่วงสิกขาบทตามที่ตนสมาทานไว้ เพราะเหตุแห่งลาภ เพราะปัจจัยแห่งลาภ เพราะการณ์แห่งลาภ ศีลนี้เป็นลาภปริยันตศีลหมายความว่า มีที่สุดเพราะลาภ
ศีลมีที่สุดเพราะยศนั้นเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมล่วงสิกขาบทตามที่ตนสมาทานไว้ เพราะเหตุแห่งยศ เพราะปัจจัยแห่งยศ เพราะการณ์แห่งยศ ศีลนี้เป็นยสปริยันตศีล
ศีลมีที่สุดเพราะญาตินั้นเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมล่วงสิกขาบทตามที่ตนสมาทานไว้ เพราะเหตุแห่งญาติ เพราะปัจจัยแห่งญาติ เพราะการณ์แห่งญาติ ศีลนี้เป็นญาติปริยันตศีล
ศีลมีที่สุดเพราะอวัยวะนั้นเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมล่วงสิกขาบทตามที่ตนสมาทานไว้ เพราะเหตุแห่งอวัยวะ เพราะปัจจัยแห่งอวัยวะ เพราะการณ์แห่งอวัยวะ ศีลนี้เป็นอังคปริยันตศีล ฯ
ศีลมีที่สุดเพราะชีวิตนั้นเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ย่อมล่วงสิกขาบทตามที่ตนสมาทานไว้ เพราะเหตุแห่งชีวิต เพราะปัจจัยแห่งชีวิต เพราะการณ์แห่งชีวิต ศีลนี้เป็นชีวิตปริยันตศีล
ศีลเห็นปานนี้เป็นศีลขาด เป็นศีลทะลุ ด่าง พร้อย ไม่เป็นไทย วิญญูชนไม่สรรเสริญ อันตัณหาและทิฏฐิจับต้องแล้ว ไม่เป็นไปเพื่อสมาธิ เป็นที่ตั้งแห่งความเดือดร้อน ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความปราโมทย์ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งปีติ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความระงับ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความสุข ไม่เป็นที่ตั้งแห่งสมาธิ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งยถาภูตญาณทัสสนะ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว ศีลนี้เป็นปริยันตศีล
ถ้าในขณะนั้น สติเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม จะฆ่าได้ไหม จะเอาสิ่งที่บุคคลอื่นไม่ได้ให้มาเป็นของตนได้ไหม ไม่ได้เลย
แต่หลงลืมสติ สติไม่ได้ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้น เป็นศีลที่ขาด เป็นศีลที่ทะลุ เป็นศีลที่ด่างพร้อย ไม่เป็นไทย ไม่เป็นที่ตั้งแห่งยถาภูตญาณทัสสนะ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว ศีลนี้เป็นปริยันตศีล
เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้จะให้ศีลเป็นอย่างไร ไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่างพร้อย ได้ไหม ท่านผู้ฟังกล่าวว่า ถ้ามีปัจจัยที่จะให้เป็นไปได้ก็ได้ ถ้าปัจจัยไม่ให้เป็นไปอย่างนั้น ก็เป็นอย่างนั้นไม่ได้ ตามกำลังของปัจจัยซึ่งแต่ละท่านสะสมมา แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ถ้ารู้จักคุณของศีล อานิสงส์ของศีล ประโยชน์ของศีล ก็ย่อมเกิดแม้เจตนาที่จะวิรัติทุจริต ที่จะรักษาศีลให้มั่นคงยิ่งขึ้น
สำหรับ ข้อ ๘๘ มีข้อความว่า
ศีลไม่มีที่สุดนั้นเป็นไฉน
ศีลไม่มีที่สุดเพราะลาภก็มี ศีลไม่มีที่สุดเพราะยศก็มี ศีลไม่มีที่สุดเพราะญาติ ก็มี ศีลไม่มีที่สุดเพราะอวัยวะก็มี ศีลไม่มีที่สุดเพราะชีวิตก็มี
น่าสรรเสริญศีลอย่างนี้ไหม ไม่ว่าจะเป็นลาภ ก็ไม่ทำให้ศีลนั้นขาด ทะลุ ด่าง พร้อย ไม่ว่าจะเป็นยศ ไม่ว่าจะเป็นญาติ ไม่ว่าจะเป็นอวัยวะ หรือแม้ชีวิต ก็ไม่ทำให้ศีลขาด ทะลุ หรือด่างพร้อยได้
ข้อความต่อไปมีว่า
ศีลไม่มีที่สุดเพราะลาภเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ แม้ความคิดก็ไม่ให้เกิดขึ้นเพื่อจะล่วงสิกขาบทตามที่ตนสมาทานไว้ เพราะเหตุแห่งลาภ เพราะปัจจัยแห่งลาภ เพราะการณ์แห่งลาภ อย่างไรเขาจักล่วงสิกขาบทเล่า ศีลนี้เป็นศีลไม่มีที่สุดเพราะลาภ ฯ
มีความมั่นคงมาก จนกระทั่งแม้ความคิดก็ไม่ให้เกิดขึ้นเพื่อจะล่วงสิกขาบทตามที่ตนสมาทานไว้ อย่างไรเขาจักล่วงสิกขาบทเล่า
ศีลไม่มีที่สุดเพราะยศนั้นเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ... เพราะเหตุแห่งยศ ... ศีลนี้เป็นศีลไม่มีที่สุดเพราะยศ ฯ
ศีลไม่มีที่สุดเพราะญาตินั้นเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ... เพราะเหตุแห่งญาติ ... ศีลนี้เป็นศีลไม่มีที่สุดเพราะญาติ ฯ
ศีลไม่มีที่สุดเพราะอวัยวะนั้นเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ ... เพราะเหตุแห่งอวัยวะ ... ศีลนี้เป็นศีลไม่มีที่สุดเพราะอวัยวะ ฯ
ศีลไม่มีที่สุดเพราะชีวิตนั้นเป็นไฉน
บุคคลบางคนในโลกนี้ แม้ความคิดก็ไม่ให้เกิดขึ้นเพื่อล่วงสิกขาบทตามที่ตนสมาทานไว้ เพราะเหตุแห่งชีวิต เพราะปัจจัยแห่งชีวิต เพราะการณ์แห่งชีวิต อย่างไรเขาจักล่วงสิกขาบทเล่า ศีลนี้เป็นศีลไม่มีที่สุดเพราะชีวิต
ศีลเห็นปานนี้เป็นศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไทย วิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฏฐิไม่จับต้อง เป็นไปเพื่อสมาธิ ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเดือดร้อน เป็นที่ตั้งแห่งความปราโมทย์ เป็นที่ตั้งแห่งปีติ เป็นที่ตั้งแห่งความระงับ เป็นที่ตั้งแห่งความสุข เป็นที่ตั้งแห่งสมาธิ เป็นที่ตั้งแห่งยถาภูตญาณทัสสนะ ย่อมเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว ศีลนี้เป็น อปริยันตศีล
กว่าจะบรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบัน จะต้องอบรมขัดเกลามากมายเหลือเกิน แม้แต่ในเรื่องของศีล ซึ่งไม่มีที่สุดเพราะชีวิต เป็นศีลที่ วิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฏฐิไม่จับต้อง ไม่ใช่รักษาศีลเพื่อต้องการอานิสงส์ คือ การเกิดในสวรรค์ชั้น ต่างๆ หรือรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพารมณ์ แต่ว่าเป็นผู้ที่อบรมเจริญมรรคมีองค์ ๘ เพื่อจะให้ศีลนั้นเป็นศีลที่ ตัณหาและทิฏฐิไม่จับต้อง ... เป็นที่ตั้งแห่งยถาภูตญาณทัสสนะ ย่อมเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับ เพื่อความสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว ศีลนี้เป็นอปริยันตศีล
ถ. พระพุทธองค์มีเทศนาไว้บ้างหรือไม่ว่า เมื่อภัยเกิดขึ้นกับผู้หนึ่งผู้ใด ก็ให้ยอมรับเอา โดยที่ไม่ต้องป้องกันตัวอะไรเลย เจริญสติไปเรื่อย เจริญเมตตาไปเรื่อยว่า จงเป็นสุขเถิด อีกฝ่ายก็ตีเอาๆ ฝายนี้ก็บอกว่าจงเป็นสุขเถิดๆ โดยไม่ต้องป้องกันตัวอะไรเลย
สุ. ต้องแยกกัน เรื่องป้องกันเป็นเรื่องหนึ่ง เรื่องที่ป้องกันไม่ได้ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าไม่ป้องกัน ชีวิตจะมีค่าอะไร จะเหลืออะไรสำหรับที่จะเจริญมรรคมีองค์ ๘ ได้ เรื่องป้องกันนั้น ต้องป้องกันแน่ แต่ถ้าป้องกันไม่ได้แล้ว ไม่ควรจะมีความอาฆาตในบุคคลนั้น ใน กกจูปมสูตร เรื่องป้องกันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่า แต่ไม่ใช่ให้เป็นอกุศล หรือว่าให้ล่วงเป็นอกุศลกรรม ไม่ให้ศีลขาด ศีลทะลุ
ถ. ในสูตรต้นๆ ตามพยัญชนะที่อาจารย์บรรยายว่า ผู้ที่ถวายปัจจัยแก่พระพุทธเจ้า อานิสงส์จะมากกว่าถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้ที่ถวายแก่สงฆ์ อานิสงส์ก็จะมากกว่าผู้ถวายแก่พระพุทธเจ้า และผู้ที่สมาทานศีล ถวายปัจจัยแล้ว อานิสงส์ก็จะมากกว่าผู้ที่ถวายแก่สงฆ์อีก ฉะนั้น ทุกวันนี้ผมไปทอดผ้าป่าก็ดี ทอดกฐินก็ดี ส่วนมากก็ได้ถวายแต่องค์ผ้าป่า หรือถวายองค์กฐินเท่านั้น แต่ไม่ได้สมาทานศีลเลย ปฏิบัติแบบนี้จะเป็นการบกพร่องไหม
สุ. ไม่ได้สมาทานศีล แต่ประพฤติทุจริตหรือเปล่า นี่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะเหตุว่าศีลมีหลายอย่าง สมาทาน หมายความถึงเจตนาที่จะวิรัติทุจริต การสมาทานไม่ใช่เป็นการบังคับ เป็นเจตนาของบุคคลนั้นเองที่ต้องการที่จะวิรัติทุจริตกรรม