เรียนอาจารย์ทั้งสองท่าน
"เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ แต่เห็นสามารถเห็นสิ่งที่ปรากฏ" พจนาท่านอาจารย์ในพระอภิธรรมพื้นฐาน ๕๓๙ ขอความอนุเคราะห์อาจารย์ช่วยกรุณาแปลเพื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้นด้วยครับ
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
...เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ แต่เห็นสามารถเห็นสิ่งที่ปรากฏ...
ความหมาย คือ เป็นการแสดงถึงสภาพธรรมที่แตกต่างกัน คือ เห็นเป็นนามธรรม เป็นสภาพรู้ ส่วนสิ่งที่ปรากฏ เป็นรูปธรรม ไม่ใช่สภาพธรรมที่รู้อะไร แตกต่างจากสภาพเห็น แต่สภาพธรรมทั้งสองก็อาศัยซึ่งกันและกัน คือ สภาพธรรมที่เป็นเห็น สามารถเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ ถ้าไม่มีสภาพธรรมที่ปรากฎทางตา ก็ไม่สามารถเกิดสภาพเห็นได้เลย แต่ท่านอาจารย์ก็อธิบายต่อให้เข้าใจถูกต้องว่า เป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เรา ทั้งสภาพธรรมที่เห็นและ สภาพธรรมที่ปรากฎทางตา
ขอเชิญอ่านข้อความพื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ ๕๓๙ ครับ
ธิดารัตน์ : ท่านอาจารย์จะแนะนำอย่างไร เรื่องของสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะว่าเป็นสิ่งที่เหมือนกับมีอยู่ แต่ละเอียดและลึกซึ้ง เข้าถึงสภาวะจริงๆ ยากมาก
สุ. : ขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏให้เห็น ถูกต้องไหมคะ แล้วคิดอะไร
ชมชื่น : คิดถึงสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
ส. : ไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะคิด ใช่ไหมคะ แต่ถึงแม้ว่าไม่คิด สิ่งที่กำลังปรากฏก็กำลังปรากฏ และความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็คือ สิ่งนี้มีจริงๆ สามารถปรากฏให้เห็นได้ เป็นธรรมะอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น เวลานี้แทนที่จะไปคิดถึงเขียว แดง เหลือง ม่วง หรืออะไรก็ตามแต่ มีความเข้าใจเกิดขึ้นว่า ไม่มีใครสามารถทำให้สิ่งที่ปรากฏขณะนี้เกิดขึ้นได้ และไม่มีใครสามารถทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น สภาพธรรมะที่มีจริงๆ เป็นความจริง ก็คือ ขณะที่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏ ต้องมีเห็น เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏแต่สามารถที่จะเห็น เห็นไหมคะ ลองคิดดูแค่นี้ เห็นไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏ แต่เห็นสามารถเห็นสิ่งที่ปรากฏ นี่คือความจริงในขณะที่เห็นเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ถ้าเข้าใจถูก แทนที่จะไปนึกถึงเขียวหรือแดง หรือเป็นอย่างโน้น เป็นอย่างนี้ เริ่มเห็นถูกว่า นี่เป็นธรรมะ ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่มีขณะใดเลยที่จะแสดงว่าเป็นของเราได้ เพราะว่า เพียงปรากฏให้เห็น หรือว่าเป็นสภาพที่กำลังเห็นเท่านั้น เพราะฉะนั้น ความคิดจะพาเราไปคิดเรื่องต่างๆ มากมาย แต่แม้การฟัง จะให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ คือ เห็น เพราะกำลังเห็น ก็ข้ามการพิจารณาให้เข้าใจว่า เห็นเป็นอย่างนี้แน่นอน และสิ่งที่ปรากฏก็เป็นอย่างนี้แน่นอน คือเป็นเพียงธรรมะที่ปรากฏให้เห็นเท่านั้น เพื่อละความติดข้องในความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งเป็นเรื่องราวทั้งหมด เป็นคุณชมชื่นนั่งอยู่ตรงนี้ ขณะนั้นก็คือ ไม่รู้ว่าเป็นธรรมะที่ปรากฏให้เห็นและมีสภาพที่กำลังเห็น สิ่งนี้จึงปรากฏได้
...ขออนุโมทนา ครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความเป็นจริงของธรรม เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ที่สำคัญที่สุด คือ ต้องฟังพระธรรมต่อไป ไม่มีหนทางอื่น ในเมื่อเป็นธรรม ความจริงก็คืออย่างนี้ สิ่งที่ปรากฏทางตา จะเป็นอื่นไปไม่ได้ ก็ต้องเป็นรูปชนิดหนึ่งสามารถปรากฏเมื่อกระทบกับตา โดยมีกรรมเป็นปัจจัยทำให้มีการเห็นเกิดขึ้น สิ่งที่ควรรู้ ก็รู้อย่างนี้และกำลังปรากฏอย่างนี้ แต่เพราะความไม่รู้ที่สะสมมามีมาก ก็ต้องฟังจนกว่าจะค่อยๆ เข้าใจขึ้นว่า สภาพที่ปรากฏก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมะ ไม่ใช่ใครอื่นใดเลย เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้เท่านั้น เห็นก็เป็นธรรมที่มีจริงอย่างหนึ่ง คือ เป็นจิตประเภทหนึ่งที่เกิดขึ้นทำกิจเพียงเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ไม่ใช่สัตว์บุคคลที่เห็น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เห็น คือ จิตเป็นสภาพรู้ ที่รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นธรรม ค่ะ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ