เรียน ท่านวิทยากร ขอเรียนถามว่า พระโสดาบันละความเป็นเราได้หรือไม่ ที่ว่าละความเห็นผิดว่ามีตัวตนใช่ละความเป็นเราหรือไม่ครับ ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ซึ่งเมื่อกล่าวถึงการมีเรานั้น ก็มีด้วย อำนาจสภาพธรรม 3 อย่าง คือ ตัณหา ที่เป็นโลภเจตสิก มานะ และทิฏฐิ ที่เป็นความเห็นผิด
ตัณหา เป็นความติดข้องต้องการ (โลภเจตสิก) เป็นสภาพธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นเป็นไปในชีวิตประจำวัน เป็นสภาพธรรมติดข้องในสิ่งหนึ่งสิ่งใด
มานะ เป็นความสำคัญตน เป็นความทะนงตน ถือตน มีการเปรียบเทียบกับผู้อื่นว่าดีกว่าเขา เสมอเขา หรือ เลวกว่าเขา
ทิฏฐิ (ความเห็นผิด) เป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่เห็นคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ความเป็นไปของปุถุชนผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลสนั้น ย่อมยึดถือขันธ์ห้าว่าเป็นเราด้วยอำนาจตัณหา คือ โลภะบ้าง มานะความถือตัวบ้าง ทิฏฐิ ความเห็นผิดบ้าง เพราะยังไม่ได้เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏว่า เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยงไม่ยั่งยืน ซึ่งขออธิบายความเป็นเรา 3 อย่าง ดังนี้ ครับ
ความเป็นเราด้วยตัณหา หรือ โลภะ ยกตัวอย่างเช่น ขณะนี้เห็น เห็นบุคคลอื่นแล้วเกิดความติดข้อง ขณะนั้น เป็นเรา หรือ เป็นเขาด้วยความติดข้องหรือ ขณะเห็นตนเองในกระจก เกิดความยินดีพอใจ ในรูปร่างกายของตนเอง ขณะนั้นมีเราแล้ว แต่มีเราด้วยความติดข้องในความเป็นเราในขณะนั้น และแม้อยากเกิดเป็นเทวดา เกิดในภพภูมิที่ดีก็เป็นเราด้วยตัณหาแต่ไม่ประกอบด้วยความเห็นผิด เพราะเพียงยินดีพอใจในภพูมิแต่ไม่ได้มีความเห็นผิดเกิดขึ้นมาความเป็นเราด้วยมานะ คือ ขณะใดที่เปรียบเทียบ ว่าเราสูงกว่าเขา เสมอคนอื่น หรือด้อยกว่าคนอื่น จะเห็นนะครับว่า มานะ เป็นการเปรียบเทียบ แล้วอะไรจะเปรียบเทียบนอกจากว่า จะต้องมีเราที่ไปเปรียบเทียบ มีเขา มีคนอื่นดังนั้น เพราะเป็นอกุศลที่คิดว่าเราสูงกว่า มีเราแล้ว แต่เป็นเราด้วยมานะที่เป็นการเปรียบเทียบ ครับ
ความเป็นเราด้วยทิฏฐิ คือเป็นเราด้วยความสำคัญผิดที่เป็นความเห็นผิดคือ ขณะนั้นเป็นอกุศลที่เป็นโลภะที่ประกอบด้วยความเห็นผิด เช่น ยึดถือว่า ดอกไม้มีจริง เที่ยงยั่งยืนและยึดถือว่ามีเราจริงๆ มีสัตว์ บุคคลจริงๆ ขณะนั้นมีเรา มีเขา มีสิ่งต่างๆ ด้วยความเห็นผิด เพราะยึดถือด้วยความเห็นผิดว่าเที่ยง เป็นสุขและเป็นตัวตนจริงๆ ครับ
เพราะฉะนั้น การละความเป็นเรา ด้วย ทิฏฐิ ความเห็นผิด พระอริยบุคคล ขั้นต่ำสุดคือ พระโสดาบัน ละได้แล้ว ปุถุชนยังละไม่ได้ แต่พระโสดาบัน ยังมีเราด้วยโลภะ และ มานะ อยู่ครับ
ความเป็นเรา ด้วย โลภะ พระอรหันต์เท่านั้นที่ละได้
ความเป็นเราด้วยมานะ พระอรหันต์เท่านั้นที่ละได้
แต่อาศัยการฟัง การศึกษาพระธรรม ก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้น ปัญญาเจริญขึ้น ก็ค่อยๆ ละความเป็นเราไปทีละน้อย จนละได้หมดสิ้นไปตามลำดับที่กล่าวมา ครับ ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระโสดาบัน เป็นพระอริยบุคคลขั้นต้น ดับกิเลสได้ในระดับหนึ่งเท่านั้น ยังไม่สามารถดับกิเลสได้หมดสิ้น เพราะผู้ที่ดับกิเลสได้หมดสิ้นต้องเป็นพระอรหันต์เท่านั้น, พระโสดาบันยังมีความรัก ความติดข้อง ยังมีความขุ่นเคืองใจ แต่จะไม่มีกำลังถึงขั้นล่วงเป็นทุจริตกรรม เพราะท่านดับกิเลสอย่างหยาบได้แล้ว ท่านจะไม่มีความเห็นผิดในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ไม่ว่าสภาพธรรมใดจะเกิดปรากฏก็ตาม ซึ่งก็คือ เป็นธรรมที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เป็นขันธ์แต่ละขันธ์ นั่นเอง เพราะพระโสดาบันดับความเห็นผิดได้ทั้งหมด และก็ต้องเข้าใจต่อไปว่า ผู้ที่จะดับความติดข้องยินดีพอใจในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะได้ นั้น ต้องถึงความเป็นพระอนาคามี และจะดับกิเลสอื่นๆ ที่เหลือได้หมดสิ้น มี ความสำคัญตน ความไม่รู้ เป็นต้น เมื่อถึงความเป็นพระอรหันต์ ดังนั้นพระโสดาบันยังมีความเป็นเราด้วยตัณหา กับ มานะ เพราะยังละตัณหากับมานะไม่ได้ แต่ไม่มีความเป็นเราด้วยความเห็นผิด เพราะดับความเห็นผิดได้หมดแล้ว ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และอนุโมทนา สาธุค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ