ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๕
โดย วันชัย๒๕๐๔  17 ส.ค. 2555
หัวข้อหมายเลข 21577

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

เมื่อวันจันทร์ที่ ๑๓ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา

และ คณะวิทยากรของมูลนิธิฯ ได้รับเชิญจากชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท

เพื่อไปสนทนาธรรม ที่ ห้องประชุมใหญ่ ชั้น ๑๐ อาคารเฉลิมพระเกียรติฯ

โรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ในโอกาสวันแม่แห่งชาติ ระหว่างเวลา ๑๓.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.

มีความที่น่าสนใจอย่างยิ่ง ที่จะได้พิจารณาโดยละเอียด สำหรับท่านที่สนใจ

เนื่องจากมีผู้ถามถึง อริยมรรคมีองค์ ๘ และ ท่านอาจารย์ได้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญ

ของมรรคองค์แรก คือ สัมมาทิฏฐิ ที่บุคคลส่วนใหญ่ในสมัยนี้ มองข้ามไป

ข้าพเจ้าเห็นว่าเป็นความละเอียดที่ท่านได้สนทนาไว้ จึงลงข้อความตอนนี้ไว้ทั้งหมด

เพื่อท่านที่สนใจ จะได้พิจารณาโดยละเอียด

อารัมภกถา

(โดย อาจารย์ธนิต ชื่นสกุล)

การฟังธรรมะ ฟังแล้วก็พิจารณาในสิ่งที่ได้ฟัง เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

จนกระทั่งเป็นความเข้าใจถูก ว่าทุกอย่าง เป็นธรรมะ

ถ้าเราพยายามฟัง ศึกษา พิจารณา แล้วมาสนทนากัน จนกว่าจะเข้าใจขึ้น

และ เป็นความเข้าใจที่มั่นคง ก็จะเป็นปัจจัยปรุงแต่ง เป็นสังขารขันธ์

เพราะเราไม่ได้ฟังชาตินี้ ชาติเดียว ไม่รู้กี่ชาติมาแล้ว ที่สะสมมา ก็จะค่อยๆ สะสมต่อไป

ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ที่เป็นเราเดี๋ยวนี้ คนนี้ จากที่เคยเป็นมาแล้ว นานแสนนาน

เพราะเราติดทุกอย่างที่ปรากฏ แล้วจะติดไปจนตาย ชาติหน้าก็เพิ่มขึ้นอีก

กว่าจะอบรม จนกระทั่งรู้จริงๆ ว่าเป็นธรรมะ ก็อีกนานแสนนาน

เพราะสภาพธรรมะ เป็นสิ่งซึ่งลึกซึ้ง และ เห็นได้ยาก

เรื่องของสภาพธรรมะ ฟังดูเหมือนง่าย ที่ทุกคนจะรู้ได้ แต่จริงๆ แล้ว ก็จำได้แค่ชื่อ

และ คำแปลเพียงผิวเผิน ซึ่งไม่ใช่ปรมัตถธรรม

เมื่อฟังเข้าใจ ก็จะทำให้รู้ความต่างกัน ของปัญญาขั้นฟัง กับ ปัญญาขั้นคิด

และ แต่ละคน ก็จะรู้ได้ ด้วยตนเอง

ท่านอาจารย์ ที่สำคัญที่สุด ที่ลืมไม่ได้เลย

คือ ขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ

เพราะฉะนั้น การฟัง จะใช้ภาษาไทย ไม่ใช้ภาษาบาลี ก็จะเป็นการฟัง ให้เข้าใจความจริง

ของสิ่งที่กำลังมีจริง ในขณะนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ เราจะข้ามไป

เราไม่คิดว่า ที่เกิดมานี้ ก็คือ เกิดมา"เห็น" เกิดมา"ได้ยิน" เกิดมา"ได้กลิ่น"

เกิดมา"ลิ้มรส" เกิดมา"รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส" แล้วก็ "คิดนึก" เรื่องที่เห็น เรื่องที่ได้ยิน

จนกระทั่งลืมว่า ถ้าไม่มี "ขณะที่เห็น" เรื่องใดๆ ก็ไม่มี

ถ้าไม่มี "ขณะที่ได้ยิน" เรื่องราวมากมาย ก็มีไม่ได้

เพราะฉะนั้น การที่เราจะรู้ว่า ไม่ว่าสุข หรือ ทุกข์ วันหนึ่งๆ หรือว่า เรื่องราวต่างๆ

มีเพราะ เกิดมาเห็น เกิดมาได้ยิน เกิดมาได้กลิ่น เกิดมาลิ้มรส เกิดมารู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

เกิดมาคิดนึก แล้วติดข้อง ในสิ่งที่ปรากฏ

โดยไม่เข้าใจความจริงเลย ว่าสิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ แสนสั้น ชั่วคราว

เพียงปรากฏ....แล็วก็...หมดไป.....

เพราะฉะนั้น การที่จะให้ "เข้าถึง" ความจริงนี้ จึงต้องอาศัย "การฟัง"

และ การพิจารณา ว่า ที่เราเข้าใจว่า "มีเรา" และ มีสิ่งต่างๆ มากมาย

ถ้าแยกย่อย ละเอียดยิบ เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ตลอดเวลา

ไม่มั่นคง ไม่เป็นสิ่งที่เที่ยง หรือ ยั่งยืน

ชั่วคราว แล้วก็จากโลกนี้ไป

จากการที่ยังไม่มีเรา และ ยังไม่มีการเกิด แต่เมื่อมีการเกิดแล้ว ก็มีเรา ชั่วคราว

ทุกวันๆ จนถึงขณะที่จะหายไป จากโลกนี้ แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย

เพราะฉะนั้น ขณะนี้ ก็เหมือนอย่างนั้นเลย

กำลังหายไป หายไป แต่ก็มีสิ่งอื่น ที่เกิดสืบต่อ เพราะว่ายังไม่ถึงขณะสุดท้ายของชีวิต

ก็ทำให้ดูเสมือนว่า เรายังอยู่ในโลกนี้ไปทุกวัน แต่ก็มีวันหนึ่ง ที่จะต้องหายไปจากโลกนี้

แล้วก็จะไปสู่โลกไหน? และ จะเป็นใคร?

ก็แล้วแต่ว่าขณะนี้ ใครทำอะไร? จะดี จะชั่ว ก็เป็นการเดินทาง ไปสู่จุดหมายปลายทาง

ซึ่งแต่ละคน ก็ไม่สามารถจะรู้ได้ ว่าจะถึงเมื่อไหร่ แต่ก็ต้องถึงแน่

แล้วก็ที่หมายปลายทาง ก็คือ

ขณะที่ไปทางกุศล หรือ ไปทางอกุศล นั่นเอง

พลตรีกฤษฎา วันนี้ ผมขออนุญาตถามเรื่อง มรรคมีองค์ ๘ นะครับ คือ มรรคมีองค์ ๘ นี้

บางท่านก็ไปย่นย่อว่ามี ศีล สมาธิ ปัญญา บางท่านก็ว่า ทาน ศีล ภาวนา

ผมขออนุญาตเรียนถามว่า เป็นอย่างไร? ถูกต้องเพียงไหน? ครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ มรรคมีองค์ ๘ เป็นสิ่งที่มีจริงๆ นะคะ

แล้วก็องค์ที่ ๑ ที่ขาดไม่ได้เลย คือ "สัมมาทิฏฐิ"

ปัญญา ความเห็นถูกต้อง ของสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ

ถ้าไม่มีความเข้าใจสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ขณะนี้ ไม่มีทางที่จะมี "สัมมาทิฏฐิ"

ซึ่งเป็น "หัวหน้า" ของมรรคมีองค์ ๘

แล้วถ้าขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง จะนำไปสู่การไม่รู้ ตามความเป็นจริง

ต่อเมื่อไหร่ ได้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นสัมมาทิฏฐิ

เมื่อนั้น สภาพธรรมะอื่นๆ ที่เกิดร่วมกัน ก็ปรากฏ เป็นมรรคแต่ละองค์ ในอีก ๗ องค์

รวมทั้งสิ้นก็เป็น ๘

เพราะฉะนั้น โดยมาก ทุกๆ คน ลืมความเป็น "สัมมาทิฏฐิ"

ไม่ได้เข้าใจเลย ว่าขณะนี้ มีสิ่งที่กำลังปรากฏ

ต้อง "เริ่มต้น" จากการ "ฟัง"

แล้วก็รู้ความจริงว่า คำที่ภาษาบาลีใช้คำว่า "ธรรมะ"

หมายความถึง สิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในขณะนี้

พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริง จนกว่าคนที่ฟัง

จะเริ่มมีความเห็นถูก มีความเข้าใจถูก ในภาวะสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด

แต่ละหนึ่ง ที่กำลังมีจริงในขณะนี้

ก็คือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้น แล้วก็ ดับไป

เพราะฉะนั้น ความเห็นถูก ก็คือว่า สามารถที่จะเข้าใจถูก ความจริงของสื่งที่กำลังปรากฏ

จนกว่าจะรู้แจ้ง อย่างผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้ แล้วทรงแสดงว่า

"สิ่งใดสิ่งหนึ่ง มีความเกิดขึ้น เป็นธรรมดา สิ่งนั้น มีความดับไป เป็นธรรมดา"

เราลืม นะคะ เมื่อกี้นี้ก็ดับหมดแล้ว

"เห็น" เมื่อกี้นี้ ไม่ใช่เห็นขณะนี้ "ได้ยิน" ขณะนี้ ก็ไม่ใช่ได้ยิน ขณะก่อน

เพราะฉะนั้น โดยมาก ก็จะข้ามความสำคัญของสิ่งที่มีจริง

ว่าเพียงเกิดขึ้น เมื่อมีเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป

แต่เมื่อไม่รู้ ก็ยึดถือสิ่งที่มีจริง ว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยง และเข้าใจว่า เป็นเราที่เห็น

แต่ตามความเป็นจริง เห็นเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัย แล้วเห็นก็ดับ

เพราะฉะนั้น ในขณะนี้เอง ทุกอย่างเกิดดับอยู่ตลอดเวลา

"สัมมาทิฏฐิ" คือ "ฟัง" จนกระทั่งมีความเข้าใจถูก ใน "ลักษณะ" ของสภาพธรรมะ

ที่กำลังปรากฏ

แล้วก็จะทำให้ ความคิด ซึ่งเคยคิดเรื่องอื่นๆ ไม่ได้เหมือนเดิม

คือ ฟังธรรมะ บางคนในขณะนี้ ก็คิดเรื่องอื่น

ถ้าใช้คำภาษาบาลี สภาพธรรมะที่คิด หรือ ตรึก หรือ จรด ในอารมณ์ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ

หมายความว่า เห็น แล้ว คิด

เพราะฉะนั้น "ความคิด" ของแต่ละคน ในขณะนี้

ห่างไกล....จากการ...เห็น...

คิดเรื่องนั้น คิดเรื่องนี้ ลืมว่า "เห็น" คือ สิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดขึ้น แล้วดับไป

เพราะฉะนั้น วันหนึ่งๆ ซึ่งคิดเรื่องอื่นมากมาย

แต่พอฟังพระธรรม มีความเข้าใจว่า

สิ่งที่ควรรู้ยิ่ง คือ สิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ

เช่น "เห็น" แล้วก็ "คิด" เรื่องสิ่งที่เห็น

"ได้ยิน" แล้วก็ "คิด" เรื่องที่ได้ยิน แต่ไม่รู้ความจริงว่า

"เห็น" เกิดขึ้นเห็น แล้วดับ "ได้ยิน" เกิดขึ้นได้ยิน แล้วดับ

แม้คิด ก็เกิดคิด ตามที่เคยสะสม ตามที่เคยเห็น เคยได้ยิน แล้วก็ดับ

ไม่มีใครสามารถที่จะบังคับบัญชา แม้ความคิด หรือ แม้การเห็น แม้การได้ยิน

ตรงกับที่ทรงแสดงว่า ธรรมะทั้งหลาย เป็นอนัตตา หมายความว่า ไม่ใช่เรา

แต่เป็นสิ่งที่มีจริง ที่อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป

แม้ในขณะนี้ ก็เป็นอย่างนั้น

เพราะฉะนั้น ถ้าไม่มีความเข้าใจอย่างนี้ จะไม่มีการมี มรรคมีองค์ ๘ เลย

เพราะเหตุว่า มรรคมีองค์ ๘ คือ หนทางที่จะทำให้ รู้แจ้งความจริง ของสภาพธรรมะ

ซึ่งในขณะนี้ เกิดแล้วดับไป

เพราะฉะนั้น สัมมาสังกัปปะ เป็นมรรคองค์ที่ ๒

ซึ่ง เมื่อมีสัมมาทิฏฐิแล้ว เราจะคิดเรื่องอื่น น้อยลง เพราะว่า ไม่มีสาระ

คิดแล้วก็หมด แต่ว่า แทนที่จะคิดถึงเรื่องอื่น ก็มาค่อยๆ เข้าใจ สิ่งที่กำลังปรากฏ เพิ่มขึ้น

เพราะฉะนั้น สัมมาสังกัปปะ ได้แก่สภาพธรรมะ ที่ภาษาบาลี ใช้คำว่า วิตก

แต่ความจริงคือ สภาพที่ไป แล้วก็ จรด ในสิ่งต่างๆ ที่กำลังปรากฏ

ต้องมี วิตกเจตสิก หรือที่เราใช้คำว่า "คิด"

มีใครบ้าง ที่ไม่คิด เห็นแล้ว คิดทันที ถ้าไม่กล่าวโดยสภาพของจิต อย่างละเอียด

ซึ่งเกิดสืบต่อกัน แต่กล่าวถึงที่พอจะรู้ได้ ก็คือ

เห็นแล้วคิด ได้ยินแล้วคิด

เพราะฉะนั้น จะขาดการคิด ไม่ได้เลย แม้ขณะนี้ ก็เห็น แล้ว คิด นั่นเอง

ถ้าไม่คิด จะไม่มีว่า สิ่งหนึ่ง สิ่งใด ปรากฏเลย

ไม่มีรูปร่างสัณฐาน ไม่มีความจำ ว่าเป็นอะไร แต่พอเห็นแล้วคิด จึงรู้ว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร

เพราะฉะนั้น ไม่ได้คิดแต่เฉพาะ สิ่งที่ปรากฏ ยังคิดเรื่องอื่นอีกมากมาย

วันนี้ คิดเรื่องธรรมะ บ้างหรือยัง?

หรือว่า คิด...เข้าใจ..."ลักษณะ" ของสภาพธรรมะ ที่กำลังเห็น

ว่ามีจริงๆ เพียงเกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป

นี่คือ กว่าจะได้เข้าใจ ที่จะเป็นการเดินทางไป สะสมไป อบรมไป

จนกระทั่ง สามารถที่จะรู้ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ

นี่ก็ ๒ องค์ นะคะ สัมมาทิฏฐิ กับ สัมมาสังกัปปะ

แต่ก็ เริ่มเข้าใจถูก ว่าไม่ใช่ขณะอื่นเลย เดี๋ยวนี้เอง หลังเห็น แล้วก็ คิด

แต่คิดเรื่องอื่นเมื่อไหร่ ก็ไม่ใช่มรรคมีองค์ ๘

แต่ถ้าคิดถึง สิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วได้ยิน ได้ฟัง

แล้วเริ่มเข้าใจถูกต้อง

ขณะนั้นก็คือ ความหมายของ มรรคมีองค์ ๘

ต้องฟังอีกนาน ไม๊คะ?

กว่าความคิดของเรา จะไม่ไปสู่ที่อื่น

แต่มารู้ "ลักษณะ" ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้

เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ไม่ใช่เพื่อที่จะไปเร็ว หรือว่า จะได้อะไร

แต่เป็นความจริงใจ เป็นสัจจะ

อริยสัจจะ จะมีได้ ต้องเริ่มต้นจากสัจจะ คือ ความจริงใจ

ต่อการที่จะเข้าใจ ในสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้

แล้วบุคคลนั้นเอง ไม่ต้องถามใครเลย

เพราะเหตุว่า พระธรรมที่ทรงแสดง

เพื่อให้คนฟังเกิดปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ของตนเอง

ไม่ใช่ของคนอื่น

เพราะฉะนั้น จากการฟัง ก็จะทำให้เป็นผู้ที่ตรง

ว่าขณะนี้ รู้จักธรรมะหรือยัง?

ธรรมะ ไม่ใช่ตัวหนังสือ ธรรมะไม่ได้อยู่ในหนังสือ

แต่ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง

ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ

เพราะฉะนั้น ถ้าฟังขณะนี้ ก็จะเข้าใจได้ว่า ทุกอย่างที่มีจริง เป็นสิ่งที่มีจริง

ซึ่งภาษาบาลี ใช้คำว่า "ธรรมะ"

ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ เวลาที่อ่านพระไตรปิฎก หรือว่า อรรถกถา หรือได้ยินได้ฟัง

ก็จะรู้ว่า กำลังฟังเรื่องของธรรมะ หรือ ไม่ใช่ธรรมะ

ถ้าฟังธรรมะ ก็คือ ฟังเรื่องสิ่งที่มีจริง แล้วก็ ยากที่จะเข้าใจ

เพราะว่าเป็น อภิธรรม ละเอียด ลึกซึ้ง

เพราะเหตุว่า ทรงแสดงว่า ธรรมะ ที่มีในขณะนี้ ต้องเกิด

ถ้าไม่เกิด ก็ไม่มี

แต่เมื่อเกิดแล้ว ก็ดับอย่างรวดเร็ว สุดที่จะประมาณได้

ความลึกซึ้งของสภาพธรรมะในขณะนี้ ที่กำลังเกิดดับ

สามารถจะรู้ได้ ด้วยปัญญา ความเห็นถูกต้อง

จากการที่เริ่มรู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรมะ แล้วก็ฟังเรื่องของสิ่งที่มีจริง

จนกระทั่งเป็นความรู้ ความเข้าใจขึ้น

ซึ่งคงจะต้อง

ไม่ใช่เพียงครั้งเดียว....

"...การศึกษาพระธรรมของพระผู้มีพระภาคเป็นไปเพื่อการละ

มิได้ศึกษาเพื่อต้องการได้ในสิ่งหนึ่งสิ่งใดทั้งสิ้น

การฟังพระธรรมก็เพื่อเข้าใจสภาวธรรมทั้งหลาย ที่มีอยู่ในทุกๆ ขณะนี้เอง ว่า

ที่แท้ทุกสิ่งป็นธรรม ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา

เมื่อฟังแล้วก็อย่านึกว่าเข้าใจแล้ว แต่ฟังอีกและฟังอีก บ่อยๆ เนืองๆ ทุกครั้งที่มีโอกาส..."

(คัดจากกระดาน ธรรมทัศนะ)

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาท่านวิทยากร ทุกท่าน

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านพลตรีกฤษฎา ดวงอุไร รองเจ้ากรมแพทย์ทหารบก

ประธานชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท และ สมาชิกชมรมฯ ทุกท่าน

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ



ความคิดเห็น 1    โดย เข้าใจ  วันที่ 18 ส.ค. 2555

ขอกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งและ กราบขอบพระคุณ คุณวันชัย เป็นอย่างมากครับที่ท่านทำให้ผมได้อ่านข้อความสนทนาพระธรรม ที่มีคุณค่ายิ่งก่อให้เกิดปิติโสมมนัสเป็นอย่างมากครับขอกราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย Nareopak  วันที่ 18 ส.ค. 2555

ขออนุโมทนาในกุศลจิต ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และวิทยากรทุกท่าน

ตลอดจนถึงคุณวันชัย ที่สละเวลาถ่ายทอดเสียงธรรมบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์

มาเป็นตัวอักษรให้ได้อ่านกันทั่วหน้าค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย ไตรสรณคมน์  วันที่ 18 ส.ค. 2555

"...เมื่อมีสัมมาทิฏฐิแล้ว เราจะคิดเรื่องอื่นน้อยลง เพราะว่าไม่มีสาระ..."

ขอกราบท่านอาจารย์สุจินต์ ผู้เปรียบเสมือนมารดาทางธรรมมา ณ ทีนี้ค่ะ

สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ

ฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา

ขอขอบคุณและขออนุโมทนาท่านวันชัยทีกรุณาเผื่อแผ่ธรรม

เนื่องในวันสำคัญๆ และในสถานที่ต่างๆ มาโดยตลอดค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 19 ส.ค. 2555

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาท่านวิทยากร ทุกๆ ท่าน

ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคณะชมรมพุทธศาสน์ วังพญาไท สมาชิกชมรมฯ และผู้เข้า

ร่วมฟังการสนทนาธรรมทุกๆ ท่าน

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกประการ ของคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้

ด้วยครับ


ความคิดเห็น 5    โดย orawan.c  วันที่ 19 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาท่านวิทยากร ทุกท่าน และคุณวันชัย ภู่งาม

และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน


ความคิดเห็น 6    โดย daris  วันที่ 19 ส.ค. 2555

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย khampan.a  วันที่ 19 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"...พระธรรมที่ทรงแสดง

เพื่อให้คนฟังเกิดปัญญา ความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ของตนเอง

ไม่ใช่ของคนอื่น..."

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 8    โดย kinder  วันที่ 19 ส.ค. 2555

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย pat_jesty  วันที่ 20 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย และทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย raynu.p  วันที่ 20 ส.ค. 2555

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 20 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย jaturong  วันที่ 22 ส.ค. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 13    โดย หลานตาจอน  วันที่ 22 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 14    โดย daeng  วันที่ 23 ส.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ