เมื่อวันจันทร์ ที่ ๑๔ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้เดินทางไปยังสวนสัตว์ซาฟารีเวิลด์
กับ กลุ่มของผู้ศึกษาธรรมชาวต่างชาติ ที่เดินทางมาจากหลายประเทศทั่วโลก
เพื่อมาสนทนาธรรมกับท่านอาจารย์ ตลอดเดือนมกราคมนี้
โดยหลังจากการสนทนาธรรมที่หัวหิน เมื่อวันที่ ๕-๑๑ มกราคม ที่ผ่านมา
เมื่อกลับกรุงเทพฯ ก็มีการสนทนาธรรม (ภาคภาษาอังกฤษ) ที่ มูลนิธิฯในวันเสาร์ที่ ๑๒
มกราคม ตลอดทั้งวัน ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมตอนที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บันยัน รีสอร์ท หัวหิน ๕ -๑๑ มกราคม ๒๕๕๖
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ มูลนิธิฯ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๖ Dhamma Study Group (DSG)
โดยหลังจากนั้น จะเดินทางไปยังสวนสุชาดา วังน้ำเขียว ในวันที่ ๑๕ - ๑๘ มกราคม
ที่ แก่งกระจาน ในวันที่ ๒๒ - ๒๕ มกราคม
และ ที่ โรงแรมแกรนด์ อยุธยา ในวันเสาร์ที่ ๒๖ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๕๖
สำหรับในวันนี้ เป็นความประสงค์ของท่านอาจารย์ ที่จะเดินทางมายังซาฟารีเวิลด์
แต่เดิมทั้งพี่แก้วตาและข้าพเจ้าก็คิดไม่ออกว่า ทำไมท่านจึงพาทุกคนมาที่นี่
แต่เมื่อได้เดินทางไปถึง ก็เห็นว่า ที่นี่มีบรรยากาศที่ร่มรื่น เหมาะแก่การพักผ่อน
ทั้งยังให้ได้เดินออกกำลังอย่างมากทีเดียว เพราะต้องเดินจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง
เพื่อชมการแสดง ตามโปรแกรมที่มี ตลอดทั้งวัน เป็นการเดิน สลับการนั่งพักดูการแสดง
ในตอนแรก ก็เป็นการนั่งรถเข้าชมสวนสัตว์แบบเปิด ซึ่งมีนกชนิดต่างๆ มากมาย
ที่อาศัยอยู่ในพื้นที่โล่ง ไม่มีตาข่ายคลุม มีสัตว์หลายชนิดที่เดินอยู่ในทุ่ง
เช่น ยีราฟฝูงใหญ่มากๆ แรด กวาง เก้ง กระทิง ควายป่า ม้าลาย อูฐ ฯลฯ
รวมถึงสัตว์ดุร้ายเช่น เสือ
และ สิงห์โต ที่อยู่ในส่วนที่ต้องควบคุมเป็นพิเศษ แต่ก็ยังอยู่ในส่วนที่ค่อนข้างอิสระ
ในระหว่างการนั่งรถชม ก็มีการพูดกันถึงว่าแม้การเกิดมาเป็นสัตว์ต่างๆ ที่ได้เห็นนี้
ก็มีความต่างๆ กันของความสุขสบาย ซึ่งก็ต่างๆ กันไปตามกรรม ที่ให้ผลต่างๆ กัน
ตามการสะสม พาให้นึกไปถึงว่า หากต้องเกิดเป็นสัตว์ในที่แบบนี้
คงสบายกว่าสัตว์ที่ถูกขังในกรงแคบๆ ไม่มีที่ให้วิ่งเล่น เพียงกินแล้วก็นอน
ท่านอาจารย์ก็พูดขึ้นว่า "...เราก็กำลังอยู่ในกรง..."
ทำให้ข้าพเจ้าคิดได้ว่า มัวแต่คิดถึงสัตว์เหล่านี้ ว่าถูกขังอยู่ในกรง มีความทุกข์ ลำบาก
หรือ มีความสุขสบาย ต่างๆ กัน ตามกรรมที่เคยกระทำไว้
แต่กลับลืมไปเสียสนิทเลยว่า เราทุกคน ก็กำลังอยู่ในกรงด้วยเช่นกัน ไม่ต่างกันเลย
เป็นกรงของสังสารวัฏฏ์ ที่ ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีทางออก ไม่มีทางที่จะหนีไปไหนได้เลย
ถ้าไม่ศึกษา ให้เข้าใจในความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ตรงตามที่พระผู้มีพระภาคฯทรงแสดง
ก็ยังต้องเป็นผู้ว่ายเวียนอยู่ในกรงของกิเลส กรงของสังสารวัฏฏ์ ต่อไปไม่มีที่สิ้นสุด
หลังจากนั่งรถชมในส่วนของสวนสัตว์เปิดแล้ว รถก็เวียนมาส่งที่เดิม
เพื่อที่จะเข้าชมในส่วนของการแสดงต่างๆ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ๆ ค่อนข้างกว้างใหญ่
มีบรรยากาศร่มรื่น และ มีการพ่นละอองน้ำตามเส้นทางที่เดินเป็นระยะๆ เมื่ออากาศร้อน
"ผู้ประมาท" นอกจากจะมืดตื้อ แล้วยังถูกใส่ไว้ในกรงกิเลส
ถูกนำเข้าไปในฝักของอวิชชา ถูกอวิชชาหุ้มห่อ ดุจสัตว์ที่เกิดในฟองไข่
นอกจากนั้นสภาพที่ถูกอวิชชาหุ้มห่อไว้นั้น ยังยุ่งดุจเส้นด้ายของนายช่างหูก
ที่เก็บไว้ไม่ดี ถูกหนูกัด ย่อมยุ่งเหยิงในที่นั้นๆ เหมือนผู้ที่มากไปด้วยความเห็นผิด
คิดผิด ประพฤติ ปฏิบัติผิด เหมือนเส้นด้ายที่ยุ่ง
ซ้ำนายช่างหูกยังเอาไปคลุกน้ำข้าว ขยำ ทำให้ติดกันเป็นปม
สัตว์ทั้งหลาย ก็ฉันนั้น ไม่อาจรู้เหตุและผลของสภาพธรรมทั้งหลาย
เป็นผู้พลาดพลั้งยุ่งยาก วุ่นวายในปัจจัย คือ นามธรรม และ รูปธรรม
สัตว์อื่นนอกจากพระโพธิสัตว์แล้ว ที่จะสามารถจะประพฤติเหตุปัจจัย
ให้ตรงต่อการพ้นจากสังสารโดยธรรมดาของตน ย่อมไม่มี
(คัดจากกระดานธรรมทัศนะ)
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้าที่ 343 ข้อความบางตอนจาก อรรถกถา คัททูลสูตรดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายจะเศร้าหมอง เพราะจิตเศร้าหมอง จะผ่องแผ้ว
เพราะจิตผ่องแผ้ว. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่พิจารณาเห็น สัตว์อื่นแม้เหล่าเดียว
ที่จะวิจิตรเหมือนสัตว์เดียรัจฉานเหล่านี้นะภิกษุทั้งหลาย.
ภิกษุทั้งหลาย สัตว์เดียรัจฉาน แม้เหล่านั้น วิจิตรแล้ว เพราะจิตนั่นเอง.
จิตนั่นเอง ยังวิจิตร กว่า สัตว์เดียรัจฉาน แม้เหล่านั้นแล.
เมื่อได้ชมการแสดงของช้าง ทำให้ข้าพเจ้าคิดถึงพระสูตรหนึ่ง
เมื่อครั้งที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จหลีกไปประทับจำพรรษาในป่า
เพื่อทรงกำราบภิกษุ ๒ พวกที่ทะเลาะเบาะแว้งกัน
และ ไม่ยอมเชื่อฟังคำตรัสห้ามของพระองค์ ที่ทรงตรัสห้ามถึง ๓ ครั้ง
มีเพียงพญาช้างและลิงป่ามาคอยเฝ้าอุปัฏฐาก เมื่อถึงกาลที่จะเสด็จกลับ ทรงตรัสห้าม
มิให้ช้างตามไป ด้วยมิใช่เป็นที่อยู่ของช้าง อาจเกิดอันตรายได้ ดังพระสูตรที่ยกมาครับ
.........
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑ - หน้าที่ 90
ช้างทำกาละไปเกิดเป็นเทพบุตร
ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะช้างนั้นว่า "ปาริเลยยกะ นี้ความ
ไปไม่กลับของเรา, ฌานก็ดี วิปัสสนาก็ดี มรรคและผลก็ดี ย่อมไม่มี
แก่เจ้าด้วยอัตภาพนี้, เจ้าหยุดอยู่เถิด" พระยาช้างได้ฟังรับสั่งดังนั้นแล้ว
ได้สอดงวงเข้าปากร้องไห้ เดินตามไปข้างหลังๆ . ก็พระยาช้างนั้น
เมื่อเชิญพระศาสดาให้กลับได้ พึงปฏิบัติโดยอาการนั้นแลจนตลอดชีวิต.
ฝ่ายพระศาสดาเสด็จถึงแดนบ้านนั้นแล้ว ตรัสว่า "ปาริเลยยกะ จำเดิม
แต่นี้ไป มิใช่ที่ของเจ้า, เป็นที่อยู่ของหมู่มนุษย์. มีอันตรายเบียดเบียน
อยู่รอบข้าง, เจ้าจงหยุดอยู่เถิด" ช้างนั้นยืนร้องไห้อยู่ในที่นั้น, ครั้นเมื่อ
พระศาสดาทรงละคลองจักษุไป, มีหัวใจแตก. ทำกาละแล้ว เกิดใน
ท่ามกลางนางเทพอัปสรพันหนึ่ง ในวิมานทองสูง ๓๐ โยชน์ ในภพ
ดาวดึงส์ เพราะความเสื่อมใสในพระศาสดา ชื่อของเทพบุตรนั้นว่า
"ปาริเลยยกเทพบุตร." ฝ่ายพระศาสดาได้เสด็จถึงพระเชตวันแล้วโดย
ลำดับ.
การได้อยู่ที่ซาฟารีเวิลด์ทั้งวัน ทำให้ข้าพเจ้าได้คิดว่า นี่เป็นความแยบคาย
ของการได้พักผ่อน พร้อมๆ ไปกับการได้เดินออกกำลังที่ดีเยี่ยม ซึ่งในวันนั้น ทุกๆ คน
ได้เดินออกกำลังเป็นระยะทางหลายกิโลเมตร เป็นการเดินสลับกับการนั่งพักดูการแสดง
และ หากจะได้มีการคิดพิจารณาถึงสิ่งต่างๆ ในขณะที่ได้พบ เห็น และ สัมผัส
ซึ่งล้วนเป็นอนัตตา บุคคลย่อมทราบได้ด้วยตน ว่ามีมาก มีน้อย หรือ ไม่มีเลย ตลอดทั้งวัน
อันจะทำให้เป็นผู้ที่เข้าใจตนเองตามความเป็นจริง เพื่อที่จะเป็นเครื่องเตือนตน
ถึงความเป็นผู้ที่ไม่ประมาท ในกาลต่อไป และ เป็นผู้ที่มั่นคงขึ้น ที่จะรู้ว่า
หนทางแห่งการรู้สภาพธรรม ตามความเป็นจริง เป็นสิ่งที่ยาก หรือ ง่าย เพียงใด
สามารถที่จะรู้ได้โดยเร็ว หรือ ต้องมีการสะสม อบรม เจริญปัญญา ความรู้ ความเข้าใจ
บ่อยๆ เนืองๆ จากการฟัง การศึกษา การพิจารณา พระธรรม ในหนทางที่ถูกต้อง
ตรงตามที่ได้ทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ซึ่งต้องอาศัยความอดทน และ ความเพียร
รวมถึงกุศลธรรมประการต่างๆ เพื่อถึงความสมบูรณ์พร้อม ในวันหนึ่ง แม้แสนไกล
ทีละเล็ก ทีละน้อย บ่อยๆ เนืองๆ
และ เป็นเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ไม่มีหนทางอื่น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิต และ กุศลศรัทธาของพี่แก้วตา เอนกพุฒิ
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิต และ กุศลศรัทธาของพี่แก้วตา เอนกพุฒิ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่าน ด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิต และ กุศลศรัทธาของพี่แก้วตา เอนกพุฒิ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งามและทุกๆ ท่านครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณและอนุโมทนาน้องวันชัยสำหรับรายละเอียดทั้งหมด แม้ร่วมเดินทางไปด้วย ก็อาจ
จะไม่เห็นรายละเอียดมากเท่านี้ก็ได้ โดยเฉพาะคำเตือนที่มีประโยชน์มากว่า เราทุกคนก็ถูก
ขังอยู่ในกรงของกิเลสเช่นกัน
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กรงของสังสารวัฏฏ์
เพลิดเพลินและได้สาระ
อนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ