[เล่มที่ 54] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 433
เถรีคาถา ติงสนิบาต
สุภาชีวกัมพวนิกาเถรีคาถา
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 54]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 433
เถรีคาถา ติงสนิบาต
สุภาชีวกัมพวนิกาเถรีคาถา
[๔๗๒] พระสุภาชีวกัมพวนิกาเถรี ได้กล่าวคาถาที่ตนกับชายนักเลงหญิงกล่าวโต้ตอบกันเป็นอุทานคาถาว่าพระสุภาเถรีได้เปล่งคาถาเหล่านั้นว่า
ชายนักเลงหญิงยืนกั้นขวางพระสุภาภิกษุ ซึ่งกำลังเดินไปชีวกัมพวันวิหาร ที่น่ารื่นรมย์ พระสุภาภิกษุณีได้พูดกะชายผู้นั้นว่า
ท่านบุตรช่างทอง ข้าพเจ้าทำผิดอะไรต่อท่านจึงมายืนกั้นขวางข้าพเจ้าไว้ ดูก่อนอาวุโส ชายไม่ควรถูกต้องหญิงนักบวช.
เหตุไร ท่านจึงยืนกั้นข้าพเจ้า ผู้มีบทอันบริสุทธิ์ด้วยสิกขาที่พระสุคตทรงแสดงไว้ในสัตถุศาสนาของข้าพเจ้าที่ควรเคารพ ผู้ไม่มีกิเลสดังเนิน เหตุไร ท่านผู้มีจิตขุ่นมัว จึงยืนกั้นเราผู้ไม่มีจิตขุ่นมัว เหตุไร ท่านผู้มีจักมีราคะ จึงยืนกั้นเราผู้ปราศจากราคะ ผู้ไม่มีกิเลสดังเนิน ผู้ใจหลุดพ้นแล้ว ในขันธ์ทั้งปวง.
ชายนักเลงหญิงกล่าวว่า
แม่นางยังสาว สวยไม่ทรามเลย บรรพชาจักทำอะไรแก่แม่นางได้ โปรดทิ้งผ้ากาสยะเสีย มาสิ เรามาร่วมอภิรมย์กัน ในป่าที่มีดอกไม้บานงามเถิด.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 434
ต้นไม้ทั้งหลาย เกิดขึ้นด้วยเกสรดอกไม้โชยกลิ่นหอมตลบไปทั่วป่า ฤดูต้นวสันต์น่าสบาย เรามาร่วมอภิรมย์กัน ในป่าที่มีดอกไม้บานงามเถิด.
ต้นไม้ทั้งหลาย ยอดออกดอกบานแล้ว ต้องลมไหวระริก ดังจะมีเสียงครวญ แม่นางจักมีความยินดีอะไร ผิว่า แม่นางจักเข้าป่าเพียงผู้เดียว.
ป่าใหญ่ หมู่สัตว์ร้ายอาศัยอยู่ คลาคล่ำด้วยช้างพลายตกมันและช้างพัง ไม่มีผู้คน น่าสะพรึงกลัว แม่นางไม่มีเพื่อน ยังปรารถนาจะเข้าไปหรือ.
แม่นางผู้งามไม่มีใครเปรียบเอย แม่นางท่องเที่ยวไป เหมือนตุ๊กตา ที่ช่างสร้างด้วยทอง แม่นางตามใจข้า ก็จะงดงามด้วยผ้าสวย ที่เนื้อเกลี้ยงเกลาละเอียดของแคว้นกาสี ดังเทพนารีในสวนจิตรลดา เชียวละ.
แม่นางผู้มีดวงตาโศกดังกินนรีเอย ข้าจะยอมอยู่ใต้อำนาจแม่นาง ถ้าเราจะอยู่ร่วมกันในกลางป่า เพราะสัตว์ที่น่ารักกว่าแม่นางของข้าไม่มีเลย.
ถ้าแม่นางเชื่อข้า ก็จะมีความสุข มาสิ มาครองเรือนกัน แม่นางจะอยู่บนปราสาทที่ปราศจากลมพาน หญิงทั้งหลายจะคอยปรนนิบัติแม่นาง แม่นางจะนุ่งห่มผ้าเนื้อละเอียดของแคว้นกาสี สวมมาลัยลูบไล้ประืเทืองผิว ข้าจะทำอาภรณ์เครื่องประดับต่างๆ มากชนิดที่เป็นทอง แก้วมณีและมุกดา แก่แม่นาง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 435
เชิญขึ้นที่นอนไหมมีค่ามาก สวยงาม ปูด้วยผ้าโกเชาว์ยาว อ่อนนุ่มดังสำลี คลุมด้วยผ้าที่ซักธุลีสะอาดแล้ว ตกแต่งด้วยจันทน์แก่นหอม.
ดอกอุบลโผล่พ้นน้ำ มิมีมนุษย์เชยชมแล้ว ฉันใด แม่นางก็เป็นพรหมจาร ฉันนั้น เมื่อส่วนแห่งเรือนร่างของแม่นาง ยังไม่มีใครเชยชม ก็จะชราร่วงโรยไปเสียเปล่าๆ.
พระสุภาเถรีถามว่า
ในร่างที่มีอันจะต้องแตกสลายเป็นธรรมดา ซึ่งเต็มด้วยซากศพ รังแต่จะรกป่าช้านี้ อะไรที่ท่านเข้าใจว่าเป็นสาระ เพราะเห็นสิ่งใด จึงเกิดติดใจขึ้นมา ขอท่านโปรดบอกสิ่งนั้นมาสิ.
ชายนักเลงหญิงตอบว่า
เพราะเห็นดวงตาของแม่นาง ประดุจดวงตาของลูกเนื้อทราย ประดุจดวงตาของกินนรีในระหว่างเขา ฤดีรักของข้าก็ยังกำเริบ.
เพราะเห็นดวงตา อุปมาดังยอดดอกอุบลและดวงหน้าพิมลดังรูปทองของแม่นาง ความใคร่ความปรารถนาของข้าก็ยิ่งกำเริบ.
แม่นางผู้มีดวงตาโศกดังกินนรีเอย แม่ข้าจะไปไกลแสนไกล ก็จะยังคงรำลึกถึงดวงตาอันบริสุทธิ์ ที่มีขนตายาวงอน เพราะว่า อะไรๆ ที่น่ารักกว่าดวงตาของแม่นาง สำหรับข้า ไม่มีเลย.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 436
พระสุภาเถรีกล่าวว่า
ท่านมาต้องการข้าพเจ้าผู้เป็นบุตรของพระพุทธเจ้าก็ชื่อว่า ท่านปรารถนาจะไปเดินตามทางที่มิใช่ทางชื่อว่า แสวงหาดวงจันทร์เอามาเป็นของเล่น ชื่อว่าต้องการจะกระโดดขึ้นเขาพระสิเนรุ.
เพราะว่าในโลกพร้อมทั้งเทวโลก บัดนี้ ข้าพเจ้าไม่มีอารมณ์ที่มีราคะความกำหนัดเลย ข้าพเจ้าไม่รู้ดอกว่า ราคะนั้นเป็นเช่นไร เพราะราคะนั้นข้าพเจ้ากำจัดเสียแล้ว พร้อมทั้งราก ด้วยอริยมรรค.
ราคะนั้น ข้าพเจ้ายกออกแล้ว เหมือนเอาเชื้อไฟออกจากหลุมถ่านไฟ เหมือนเอาภาชนะใส่ยาพิษออกจากไฟ ข้าพเจ้าไม่รู้ดอกว่า ราคะนั้น เป็นเช่นไรเพราะราคะนั้น ข้าพเจ้ากำจัดเสียแล้ว พร้อมทั้งรากด้วยอริยมรรค.
หญิงผู้ใด ไม่พิจารณาปัญจขันธ์ หรือไม่เข้าเฝ้าพระศาสดา ขอท่านโปรดประเล้าประโลมหญิงเช่นนั้นเถิด ท่านนั้นจะต้องเดือดร้อน เพราะสุภาภิกษุณี ซึ่งรู้ตามความจริงผู้นี้.
เพราะว่า สติของข้าพเจ้ามั่นคงไม่ว่าในการด่าและการไหว้ และในสุขและทุกข์ เพราะรู้ว่าสังขตสังขารที่ปัจจัยปรุงแต่งเป็นอสุภะไม่งาม ใจข้าพเจ้าจึงไม่ติดอยู่ในอารมณ์ทั้งปวงเลยทีเดียว.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 437
ข้าพเจ้านั้น เป็นสาวิกาของพระสุคต ดำเนินไปด้วยยาน คือมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ถอนกิเลสดุจลูกศรเสียแล้ว ไม่มีอาสวะ ยินดีอยู่แต่ในเรือนว่าง.
รูปเขียน ที่ช่างบรรจงเขียนไว้สวยงาม หรือรูปไม้ รูปใบลาน ที่เขาผูกด้วยด้าย และติดไว้ด้วยตะปูทำท่ารำต่างๆ ข้าพเจ้าเห็นมาแล้วเมื่อรูปนั้นถูกรื้อออกปลดด้ายและตะปูออก ก็บกพร่อง [ไม่เป็นรูป] กระจัดกระจายออกเป็นชิ้นๆ ก็ไม่พึงได้สภาพที่ชื่อว่ารูป บุคคลจะพึงตั้งใจไว้ในรูปนั้นไปทำไม.
ร่างกายนี้ ก็เปรียบด้วยรูปนั้น เว้นจากธรรมเหล่านั้นเสีย ก็เป็นไปไม่ได้ แม้ร่างกาย เว้นจากธรรมทั้งหลายเสียก็เป็นไปไม่ได้ บุคคลจะพึงตั้งใจไว้ในรูปนั้นไปทำไม.
บุคคลพึงดูรูปจิตรกรรม ที่จิตรกรระบายด้วยหรดาล ทำไว้ที่ฝาผนัง ในจิตรกรรมนั้น ท่านก็ยังเห็นวิปริต สัญญาความสำคัญว่ามนุษย์ ไร้ประโยชน์จริงๆ.
ดูก่อนคนตาบอด ท่านยังจะเข้าไปใกล้ร่างที่ว่างเปล่า เหมือนพะยับแดดที่ปรากฏต่อหน้า โดยอาการลวง เหมือนต้นไม้ทองในความฝัน เหมือนรูปของมายากล ที่นักเล่นกลแสดงกลางฝูงชนว่าเป็นของจริง.
ฟองที่อยู่กลางดวงตา มีน้ำตา มีมูลตา เกิดที่ดวงตานั้น ส่วนของดวงตาต่างๆ ก็มารวมกัน เหมือนก้อนครั่ง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 438
ที่วางอยู่ในโพรงไม้ พระสุภาเถรี ผู้มีดวงตางาม มีใจไม่ข้องไม่ติดในดวงตานั้น ก็ควักดวงตาออกจากเบ้าตา ส่งมอบให้ชายนักเลงหญิงผู้นั้นทันที พร้อมกับกล่าวว่า เชิญนำดวงตานั้นไปเถิด ข้าพเจ้าให้ท่าน.
ในทันใดนั้นเอง ความร่านรักในดวงตานั้น ของชายนักเลงหญิงนั้น ก็หายไป เขาขอขมาพระเถรีด้วยคำว่า
ข้าแต่แม่นางผู้เป็นพรหมจารี ขอความสวัสดีพึงมีแก่แม่นางเถิด ความประพฤติอนาจารเช่นนี้ จักไม่มีต่อไปอีกละ.
พระสุภาเถรีกล่าวว่า
ท่านกระทบกระทั่งชนเช่นข้าพเจ้า ก็เหมือนกอดกองไฟที่ลุกโชน เหมือนจับงูพิษร้าย ความสวัสดีก็คงมีแก่ท่านบ้างดอก ข้าพเจ้ารับขมาท่าน.
พระสุภาภิกษุณีนั้น พ้นจากชายนักเลยหญิงนั้นแล้ว ไปสำนักพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ พอเห็นพระบุณยลักษณ์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ จักษุก็กลับเป็นปกติเหมือนอย่างเดิม.
จบ สุภาชีวกัมพวนิกาเถรีคาถา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 439
เถรีคาถา ติงสนิบาต
อรรถกถาสุภาชีวกัมพวนิกาเถรีคาถา
ในติงสนิบาต คาถาว่า ชีวกมฺพวนํ รมฺมํ เป็นต้น เป็นคาถาของพระสุภาชีวกัมพวนิกาเถรี มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
พระเถรีแม้รูปนี้ ก็ได้บำเพ็ญบารมีมาในพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ สร้างสมกุศลอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพาน มาในภพนั้นๆ อบรมกุศลมูลเพิ่มพูนสัมภารธรรมเครื่องปรุงแต่งวิโมกข์มาโดยลำดับ มีญาณแก่กล้า มาในพุทธุปบาทกาลนี้ ก็บังเกิดในตระกูลพราหมณ์มหาศาล ในกรุงราชคฤห์มีนามว่าสุภา.
เล่ากันมาว่า นางมีส่วนแห่งเรือนร่างประกอบด้วยผิวพรรณดั่งทอง เพราะฉะนั้น นางจึงมีนามคล้อยตามไป ด้วยว่า สุภา แปลว่า งาม ขณะพระศาสดาเสด็จเข้าไปกรุงราชคฤห์ นางก็ได้ศรัทธาเป็นอุบาสิกา ต่อมา เกิดความสังเวชในสังสารวัฏฏ์ เห็นโทษในกามทั้งหลาย และกำหนดเอาเนกขัมมะการบวชเป็นทางเกษม บวชในสำนักพระนางปชาบดีโคตมี บำเพ็ญวิปัสสนา ๒ - ๓ วันเท่านั้น ก็ดำรงอยู่ในพระอนาคามิผล.
ต่อมา วันหนึ่ง ชายนักเลงหญิงคนหนึ่ง เป็นชาวกรุงราชคฤห์เป็นหนุ่มแรกรุ่น เห็นพระเถรีกำลังเดินไปเพื่อพักกลางวันที่ชีวกัมพวันวิหารเกิดจิตปฏิพัทธ์ขึ้นมา ก็ยืนกั้นขวางทางไว้ กล่าวเชิญชวนด้วยกามารมณ์ พระเถรีเมื่อจะประกาศโทษของกามทั้งหลาย และอัธยาศัยในเนกขัมมะการบวชของตนด้วยประการต่างๆ จึงกล่าวธรรมแก่ชายผู้นั้น ชายผู้นั้นแม้ฟังธรรมกถาแล้วก็ไม่ยอมถอย ยังติดตามอยู่นั่นแหละ พระเถรีเห็นเขาไม่อยู่ในถ้อยคำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 440
ของตน และยังชื่นชอบที่ลูกตา ก็กล่าวว่า เอาเถิด ท่านคงชอบลูกตา แล้วก็ควักลูกตาข้างหนึ่งของตนมอบให้เขา. ลำดับนั้น ชายผู้นั้น ก็สะดุ้งเกิดสลดใจ สิ้นร่านรักในพระเถรีนั้น ขอขมาพระเถรีแล้วก็หลีกไป. พระเถรีก็ไปสำนักพระศาสดา พร้อมกับที่พบพระศาสดานั้นแหละ ตาของพระเถรีก็กลับเป็นปกติดังเดิม. ลำดับนั้น พระเถรียืนอยู่ ถูกปีติที่ดำเนินไปในพระพุทธคุณสัมผัสไม่ขาดสาย พระศาสดาทรงทราบอาจาระทางจิตของพระเถรี ทรงแสดงธรรม ตรัสบอกกรรมฐานเพื่ออรหัตตมรรค พระเถรีข่มปีติได้แล้วทันใดนั้นเอง เจริญวิปัสสนา ก็บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทา ๔.ครั้น บรรลุพระอรหัตแล้ว อยู่ด้วยผลสุขและนิพพานสุข พิจารณาทบทวนข้อปฏิบัติของตน ก็กล่าวคาถาที่ตนกับชายนักเลงหญิงนั้นกล่าวแล้ว เป็นอุทานพระสุภาเถรีได้เปล่งคาถาเหล่านี้ว่า
ชายนักเลงหญิงกั้นขวางพระสุภาภิกษุ ซึ่งกำลังเดินไปชีวกัมพวันวิหารที่น่ารื่นรมย์ พระสุภาภิกษุณีได้พูดกะชายผู้นั้นว่า
ท่านบุตรช่างทอง ข้าพเจ้าทำผิดอะไรต่อท่าน ท่านจึงมายืนกั้นขวางข้าพเจ้าไว้ ชายไม่ควรถูกต้องหญิงนักบวช.
เหตุไร ท่านจึงยืนกั้นข้าพเจ้า ผู้มีบทอันบริสุทธิ์ด้วยสิกขาที่พระสุคตทรงแสดงไว้ในสัตถุศาสนาของข้าพเจ้าที่ควรเคารพ ผู้ไม่มีกิเลสดังเนิน เหตุไร ท่านผู้มีจิตขุ่นมัว จึงยืนกั้นข้าพเจ้าผู้ไม่มีจิตขุ่นมัว ท่านผู้มีจิตมีราคะ จึงยืนกั้นข้าพเจ้าผู้ปราศจากราคะ ผู้ไม่มีกิเลสดังเนิน ผู้มีใจหลุดพ้นแล้วในขันธ์ทั้งปวง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 441
ชายนักเลงหญิงกล่าวว่า
แม่นางยังสาวสวยไม่ทรามเลย บรรพชาจักทำอะไรแก่แม่นางได้ โปรดทิ้งผ้ากาสายะเสีย มาสิ เรามาร่วมอภิรมย์กันในป่าที่มีดอกไม้บานงามเถิด.
ต้นไม้ทั้งหลาย เกิดขึ้นด้วยเกสรดวกไม้ โชยกลิ่นหอมไปทั่วป่า ฤดูต้นวสันต์น่าสบาย มาสิ เรามาร่วมอภิรมย์กันในป่าที่มีดอกไม้บานงามเถิด.
ต้นไม้ทั้งหลาย ยอดออกดอกบานแล้ว ต้องลมไหว ระริก ดังจะมีเสียงครวญ แม่นางจักมีความยินดีอะไรกัน ผิว่า แม่นางจักเข้าป่าเพียงผู้เดียว.
ป่าใหญ่ หมู่สัตว์ร้ายอาศัยอยู่ คลาคล่ำด้วยช้างพลายตกมันและช้างพัง ไม่มีผู้คน น่าสะพรึงกลัว แม่นางไม่มีเพื่อน ยังปรารถนาจะเข้าไปหรือ.
แม่นางผู้งามไม่มีใครเปรียบเอย แม่นางท่องเที่ยวไปเหมือนตุ๊กตา ที่ช่างสร้างด้วยทอง แม่นางตามใจข้า ก็จะงดงามด้วยผ้าสวย ที่เนื้อเกลี้ยงเกลาละเอียดของแคว้นกาสี ดังเทพนารีในสวนจิตรลดา [สวรรค์ดาวดึงส์] เชียวละ
แม่นางผู้มีดวงตาโศกดังกินนรีเอย ข้าจะยอมอยู่ใต้อำนาจแม่นาง ถ้าเราจะอยู่ร่วมกันในกลางป่าเพราะสัตว์ที่น่ารักกว่าแม่นางของข้าไม่มีเลย.
ถ้าแม่นางเชื่อข้า แม่นางก็จะมีความสุข มาสิมาครองเรือนกัน แม่นางจะอยู่บนปราสาทที่ปราศจากลมพาน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 442
หญิงทั้งทลายจะคอยปรนนิบัติแม่นาง แม่นางจะนุ่งห่มผ้าเนื้อละเอียดของแคว้นกาสี สวมมาลัยลูบไล้ประเทืองผิว ข้าจะทำอาภรณ์เครื่องประดับต่างๆ มากชนิด ที่เป็นทองแก้วมณีและมุกดาแก่แม่นาง.
เชิญขึ้นที่นอนไหมมีค่ามาก สวยงาม ปูด้วยผ้าโกเชาว์ขนยาว อ่อนนุ่มดังสำลี คลุมด้วยผ้าที่ซักธุลีสะอาดแล้ว ตกแต่งด้วยจันทน์แก่นหอม.ดอกอุบล โผล่พ้นน้ำ มิมีมนุษย์เชยชมแล้วฉันใด แม่นางก็เป็นพรหมจารีฉันนั้น เมื่อส่วนแห่งเรือนร่างของแม่นาง ยังไม่มีใครเชยชม ก็จะชราร่วงโรยไปเสียเปล่าๆ.
พระสุภาเถรีถามว่า
ในร่างที่มีอันจะต้องแตกสลายเป็นธรรมดา ซึ่งเต็มด้วยซากศพ รังแต่จะรกป่าช้านี้ อะไรที่ท่านเข้าใจว่าเป็นสาระ เพราะเห็นสิ่งใด จึงเกิดติดใจขึ้นมาขอท่านโปรดบอกสิ่งนั้นมาสิ.
ชายนักเลงหญิงตอบว่า
เพราะเห็นดวงตาของแม่นาง ประดุจดวงตาลูกเนื้อทราย ประดุจดวงตากินนรีในระหว่างเขา ฤดีร่านรักของข้าก็ยิ่งกำเริบ.
เพราะเห็นดวงตา อุปมาดังยอดดอกอุบล และดวงหน้าพิมลดังรูปทองของแม่นาง ความใคร่ความปรารถนาของข้าก็ยิ่งกำเริบ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 443
แม่นางผู้มีดวงตาโศกดังกินนรีเอย แม้ข้าจะไปไกลแสนไกล ก็จะยังคงรำลึกถึงดวงตาอันบริสุทธิ์ที่มีขนตายาวงอน เพราะว่าอะไรๆ ที่น่ารักกว่าดวงตาของแม่นาง สำหรับข้าไม่มีเลย.
พระสุภาเถรีกล่าวว่า
ท่านมาต้องการข้าพเจ้าผู้เป็นบุตรของพระพุทธเจ้า ก็ชื่อว่า ท่านปรารถนาจะเดินไปตามทางที่มิใช่ทางชื่อว่าแสวงหาดวงจันทร์เอามาเป็นของเล่น ชื่อว่าต้องการจะกระโดดขึ้นเขาสิเนรุ.เพราะว่า ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก บัดนี้ ข้าพเจ้าไม่มีอารมณ์ เป็นที่มีราคะความกำหนัดเลย ข้าพเจ้าไม่รู้ดอกว่า ราคะนั้นเป็นเช่นไร เพราะราคะนั้นข้าพเจ้ากำจัดเสียแล้วพร้อมทั้งราก ด้วยอริยมรรค. ราคะนั้น ข้าพเจ้ายกออกแล้ว เหมือนเอาเชื้อไฟออกจากหลุมถ่านไฟ เหมือนเอาภาชนะใส่ยาพิษออกจากไฟ ข้าพเจ้าไม่รู้ดอกว่า ราคะนั้นเป็นเช่นไรเพราะราคะนั้นข้าพเจ้ากำจัดเสียแล้ว พร้อมทั้งรากด้วยอริยมรรค.
หญิงผู้ใด ไม่พิจารณาปัญจขันธ์ หรือไม่เข้าเฝ้าพระศาสดา ขอท่านโปรดประเล้าประโลมหญิงเช่นนั้นเถิด ท่านนั้นจะต้องเดือดร้อน เพราะสุภาภิกษุณีซึ่งรู้ตามความจริงผู้นี้.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 444
เพราะว่า สติของข้าพเจ้ามั่นคงไม่ว่าในการด่าและการไหว้ และในสุขและทุกข์ เพราะรู้ว่าสังขตสังขารที่ปัจจัยปรุงแต่งเป็นอสุภะไม่งาม ใจข้าพเจ้าจึงไม่ติดอยู่ในอารมณ์ทั้งปวงเลยทีเดียว
ข้าพเจ้านั้นเป็นสาวิกาของพระสุคต ดำเนินไปด้วยยาน คือมรรคอันประกอบด้วยองค์ ๘ ถอนกิเลสดุจลุกศรเสียแล้ว ไม่มีอาสวะ ยินดีอยู่แต่ในเรือนว่าง.
รูปเขียน ที่ช่างบรรจงเขียนไว้สวยงาม หรือรูปไม้ รูปใบลาน ที่เขาผูกด้วยด้าย และติดไว้ด้วยตะปู ทำท่ารำต่างๆ ข้าพเจ้าเห็นมาแล้ว เมื่อรูปนั้นถูกรื้อออก ปลดด้ายและตะปูออก ก็บกพร่อง [ไม่เป็นรูป] กระจัดกระจายออกเป็นชิ้นๆ ก็ไม่พึงได้สภาพที่ชื่อว่ารูป บุคคลจะพึงตั้งใจไว้ในรูปนั้นไปทำไม.
ร่างกายนี้ก็เปรียบด้วยรูปนั้น เว้นจากธรรมเหล่านั้นเสียก็เป็นไปไม่ได้ แม้ร่างกายเว้นจากธรรมทั้งหลาย ก็เป็นไปมิได้ บุคคลจะพึงตั้งใจไว้ในรูปนั้นไปทำไม.
บุคคลพึงดูรูปจิตรกรรม ที่จิตรกรระบายด้วยหรดาล ทำไว้ที่ฝาผนัง ในจิตรกรรมนั้น ท่านก็ยังเห็นวิปริต สัญญาความสำคัญว่ามนุษย์ ไร้ประโยชน์จริงๆ.
ดูก่อนคนตาบอด ท่านยังจะเข้าไปใกล้ร่างที่ว่างเปล่า เหมือนพยับแดดที่ปรากฏต่อหน้า โดยอาการลวง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 445
เหมือนต้นไม้ทองในความฝัน เหมือนรูปของมายากล นักเล่นกลแสดงกลางฝูงชนว่าเป็นของจริง.
ฟองที่อยู่กลางดวงตา มีน้ำตา มีมูลตา เกิดที่ดวงตานั้น ส่วนของตาต่างๆ ก็มารวมกัน เหมือนก้อนครั่ง ที่วางอยู่ในโพรงไม้ พระสุภาเถรี ผู้มีดวงตางาม มีใจไม่ข้องไม่ติดอยู่ในดวงตานั้น ก็ควักดวงตาออกจากเบ้าตา ส่งมอบให้ชายนักเลงหญิงผู้นั้นทันทีพร้อมกับกล่าวว่า เชิญนำดวงตานั้นไปเถิด ข้าพเจ้าให้ท่าน.
ทันใดนั้นเอง ความร่านรักในดวงตานั้นของชายนักเลงหญิงนั้นก็หายไป เขาขอขมาพระเถรีด้วยคำว่า
ข้าแต่แม่นางผู้เป็นพรหมจารี ขอความสวัสดีพึงมีแก่แม่นางเถิด ความประพฤติอนาจารเช่นนี้ จักไม่มีต่อไปอีกละ.
พระสุภาเถรีกล่าวว่า
ท่านกระทบกระทั่งชนเช่นข้าพเจ้า ก็เหมือนกอดกองไฟที่ลุกโชน เหมือนจับงูพิษร้าย ความสวัสดีก็คงมีแก่ท่านบ้างดอก ข้าพเจ้ารับขมาท่าน.
พระสุภาภิกษุณีนั้น พ้นจากชายนักเลงหญิงนั้นแล้ว ก็ไปสำนักพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ พอเห็นพระบุณยลักษณ์ของพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐ จักษุก็กลับเป็นปกติเหมือนอย่างเดิม.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 446
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ชีวกมฺพวนํ ได้แก่ สวนมะม่วงของหมอชีวกโกมารภัจ. บทว่า รมฺมํ ได้แก่ น่ารื่นรมย์. เขาว่า สวนมะม่วงนั้นน่าปลื้มใจ น่ารื่นรมย์ใจอย่างยิ่ง เพราะพรั่งพร้อมด้วยภูมิภาค และพรั่งพร้อมด้วยร่มเงาและน้ำ โดยอาการที่ปลูกต้นไม้ไว้. บทว่า คจฺฉนฺตึ ได้แก่ ผู้เดินเข้าไปมุ่งสวนมะม่วงเพื่อพักกลางวัน. บทว่า สุภํ ได้แก่ พระเถรีผู้มีชื่ออย่างนี้. บทว่า ธุตฺตโก ได้แก่ ชายนักเลงหญิง. เขาว่า ลูกชายของช่างทองผู้มีสมบัติมากผู้หนึ่งเป็นชาวกรุงราชคฤห์ เป็นคนหนุ่มสะสวย เป็นชายนักเลงหญิง ผู้มัวเมาเที่ยวไป เขาพบพระเถรีนั้นเดินสวนทางมาก็เกิดจิตปฏิพัทธ์จึงยืนขวางทาง ด้วยเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ชายนักเลงหญิงยืนกั้นไว้ อธิบายว่า ห้ามเราไป. บทว่า ตเมนํ อพฺรวี สุภา ความว่า พระสุภาภิกษุณีกล่าวกะชายนักเลงหญิงที่ยืนกั้นคนนั้นนั่นแหละ ก็ในข้อนั้น พระเถรีกล่าวถึงตัวเองเท่านั้น ทำประหนึ่งว่าเป็นคนอื่นว่า สุภาภิกษุณีผู้กำลังเดินไป สุภาภิกษุณี ได้กล่าวดังนี้ คาถานี้ท่านพระสังคีติกาจารย์กล่าวไว้ โดยแสดงการเชื่อมคาถาที่พระเถรีกล่าวแล้ว.
พระสุภาเถรีกล่าวว่า พระสุภาภิกษุณีได้กล่าวดังนี้แล้ว กล่าวคำว่าเราทำผิดอะไรต่อท่าน เป็นต้น ก็เพื่อแสดงอาการที่พระเถรีนั้นกล่าวแล้ว.บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กึ เต อปราธิตํ มยา ความว่า ท่าน เราทำผิดอะไรต่อท่าน. บทว่า ยํ มํ โอวริยาน ติฏฺฐสิ อธิบายว่า ด้วยความผิดอันใด ท่านจึงยืนกั้นเราผู้กำลังเดินไป คือห้ามการเดินไป ความผิดอันนั้นไม่มีดอกนะจ๊ะ พระเถรีเมื่อแสดงว่า ถ้าท่านปฏิบัติอย่างนี้ ด้วยสำคัญว่า เราเป็นหญิง การปฏิบัติแม้อย่างนี้ก็ไม่สมควร จึงกล่าวว่า น หิ ปพฺพชิตายอาวุโส ปุริโส สมฺผุสนาย กปฺปติ ความว่า ดูก่อนท่านบุตรช่างทอง แม้โดยจารีตโลก ชายก็ไม่ควรถูกต้องนักบวชทั้งหลาย ส่วนหญิงนักบวช
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 447
ไม่สมควรถูกต้องแม้แต่สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ การถูกต้องชายยกไว้ก่อนก็ได้ หญิงนักบวชนั้นไม่สมควรถูกต้องชายแม้ผู้มีของภายนอกด้วยของภายนอก โดยอำนาจราคะเลยทีเดียว.
ด้วยเหตุนั้น พระเถรีจึงกล่าวว่า ครุเก มม สตฺถุสาสเน เป็นต้น ข้อนั้นมีความว่า สิกขาเหล่าใดอันพระสุคตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงทรงบัญญัติเฉพาะภิกษุณีทั้งหลาย ไว้ในสัตถุศาสนาของเรา ที่หนักดังฉัตรหิน คือที่ควรเคารพ เหตุไร ท่านจึงยืนกั้นเราผู้กำลังเดินไป ซึ่งเป็นอย่างนี้คือเป็นผู้มีบทอันบริสุทธิ์ คือมีส่วนกุศลอันบริสุทธิ์ ด้วยสิกขาเหล่านั้น ผู้ชื่อว่าไม่มีกิเลสดังเนิน เพราะไม่มีกิเลสดังเนินมีราคะเป็นต้น โดยประการทั้งปวง.
บทว่า อาวิลจิตฺโต ความว่า เพราะเหตุไรท่านผู้มีจิตขุ่นมัวด้วยอำนาจวิตก มีกามวิตกเป็นต้นอันกระทำความขุ่นมัวแห่งจิต จึงยืนกั้นเรา ผู้ชื่อว่าไม่ขุ่นมัว เพราะไม่มีความขุ่นมัวนั้น. ท่านผู้มีกิเลสดุจละออง ด้วยอำนาจกิเลสดุจละอองคือราคะเป็นต้น ผู้มีกิเลสดังเนิน ยืนกั้นเราผู้ชื่อว่าปราศจากกิเลสดุจละออง ผู้ไม่มีกิเลสดังเนิน ผู้ชื่อว่ามีใจหลุดพ้นแล้ว เพราะหลุดพ้นเด็ดขาดในที่ทั้งปวงคือในเบญจขันธ์.
เมื่อพระเถรีกล่าวอย่างนี้แล้ว ชายนักเลงหญิงเมื่อจะแจ้งความประสงค์ของตน จึงกล่าวคาถา ๑๐ คาถาโดยนัยว่า ทหรา จ เป็นต้น บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทหรา ได้แก่วัยรุ่น คืออยู่ในปฐมวัย. บทว่า อปาปิกาจสิ ได้แก่ มีรูปไม่เลว อธิบายว่า มีรูปสวยอย่างยิ่งด้วย. บทว่า กึ เตปพฺพชฺชา กริสฺสติ ชายนักเลงหญิงกล่าวด้วยความประสงค์ว่า บรรพชาจักทำอะไรแก่แม่นางผู้อยู่ในปฐมวัยมีรูปสวยอย่างนี้ หญิงแก่หรือหญิงรูปขี้เหร่ดอกควรจะบวชเสีย. นิกฺขิปา ได้แก่จงละทิ้ง. บาลีว่า อุกฺขิปาก็มี ความว่า จงเปลื้อง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 448
บทว่า มธุรํ ได้แก่ งาม อธิบายว่า กลิ่นหอม. บทว่า ปวนฺติ แปลว่า โชยกลิ่น. บทว่า สพฺพโส คือรอบๆ. บทว่า กุสุมรเชนสมุฎฺฐิตา ทุมา ความว่า ต้นไม้เหล่านั้นเป็นเหมือนเกิดเอง ด้วยละอองดอกไม้ของตัวเอง กล่าวคือเรณูดอกไม้ที่เกิดขึ้นโดยลมพัดอ่อนๆ. บทว่าปฐมวสนฺโต สุโข อุตุ ความว่า ฤดูต้นเดือนวสันต์นี้ และมีสัมผัสสบายกำลังดำเนินไป.
บทว่า กุสุมิตสิขรา ได้แก่ มียอดดอกบานดีแล้ว. บทว่า อภิคชฺชนฺติว มาลุเตริตา ได้แก่ถูกลมพานไหว คล้ายครวญ คือตั้งอยู่ประหนึ่งส่งเสียงครวญ. ด้วยบทว่า ยทิ เอกา วนโมคหิสฺสสิ ชายนักเลงหญิงกล่าวอย่างนี้ เพราะร่านรักในสุขที่เกี่ยวกับตนว่า ถ้าแม่นางจะเข้าป่าคนเดียว แม่นางจะมีความยินดีอะไรในป่านั้นเล่า.
บทว่า วาฬมิคสงฺฆเสวิตํ ได้แก่ อันกลุ่มเนื้อร้ายมีราชสีห์และเสือเป็นต้นเข้าไปอาศัยอยู่ในที่นั้นๆ. บทว่า กุญฺชรมตฺตกเรณุโลฬิตํ ได้แก่เป็นถิ่นเกลื่อนกล่นด้วยช้างพลายตกมันและช้างพัง ด้วยการทำจิตใจของเหล่าเนื้อกวางให้เดือดร้อน และด้วยการหักกิ่งไม้และกอไม้เป็นต้น. ไม่มีเหตุเช่นนี้ในป่านั้นทุกเมื่อก็จริง ขึ้นชื่อว่าป่าก็ต้องเป็นเช่นนี้ เพราะฉะนั้น ชายนักเลงหญิงประสงค์จะให้พระเถรีนั้นหวาดกลัว จึงกล่าวอย่างนี้. บทว่า รหิตํ ได้แก่เว้นจากชนคือปราศจากผู้คน. บทว่า ภึสนกํ ได้แก่ น่าเกิดภัย.
บทว่า ตปฺปนียกตาว ธีติกา ความว่า แม่นางเที่ยวไปประดุจตุ๊กตา ที่ช่างตกแต่งด้วยทองสีแดง คือประดุจรูปปฏิมาทอง ที่นายช่างยนต์ผู้ฉลาดตกแต่งโดยการประกอบยนต์ บัดนี้นี่แหละ แม่นางก็ยังเที่ยวไปทางโน้นทางนี้. บทว่า จิตฺตลเตว อจฺฉรา ได้แก่ประดุจเทพอัปสร ในสวนชื่อว่าจิตตลดา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 449
บทว่า กาสิกสุขุเมหิ ได้แก่ เนื้อละเอียดอย่างยิ่ง ที่เกิดขึ้นในแคว้นกาสี. บทว่า วคฺคุภิ ได้แก่ ที่เกลี้ยงสนิท. บทว่า โสภสี สุวสเนหินูปเม ได้แก่ แม่นางผู้งามไม่มีใครเปรียบคือเว้นที่จะเปรียบได้เลย บัดนี้แม่นางอยู่ในอำนาจเรา ก็จะงดงามด้วยผ้านุ่งห่ม เพราะฉะนั้น ชายนักเลงหญิงจึงกล่าวกะพระเถรีดังกล่าว แล้วดังหนึ่งว่า เป็นไปจริงส่วนเดียว ตามความประสงค์ของตน.
บทว่า อหํ ตว วสานุโค สิยํ ความว่า ข้าพเจ้ายอมอยู่ใต้อำนาจแม่นาง จะยอมสนองทุกกิจการ. บทว่า ยทิ วิหเรมเส กานนนฺตเรความว่า ผิว่าเราทั้งสองจะอยู่ร่วมอภิรมย์กันในกลางป่า ชายนักเลงหญิงกล่าวถึงเหตุแห่งภาวะที่ตกอยู่ใต้อำนาจว่า เพราะว่าสัตว์ที่น่ารักกว่าแม่นาง สำหรับข้าพเจ้าไม่มีเลย อีกนัยหนึ่ง ชายนักเลงหญิงกล่าวหมายถึงชีวิตของตนว่าปาณะ อธิบายว่า เพราะว่า ชีวิตของข้าพเจ้าที่จะเป็นที่รักกว่าแม่นางไม่มีเลย.บทว่า กินฺนริมนฺทโลจเน แปลว่า ดูราแม่นางผู้มีดวงตาโศกเหมือนกินนรเอย.
บทว่า ยทิ เม วจนํ กริสฺสสิ สุขิตา เอหิ อคารมาวส ความว่า ถ้าแม่นางจะเชื่อข้า ก็จงละการนั่งคนเดียว การนอนคนเดียว ละทุกข์ในพรหมจรรย์เสีย มาสิ มาเสพสุขด้วยกามสมบัติ อยู่ครองเรือนกัน. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า สุขิตา เหติ อคารมาวสนฺติ. เนื้อความของอาจารย์พวกนั้นว่า แม่นางจักประสบสุขคนทั้งหลายเขาก็อยู่ครองเรือนกัน. บทว่า ปาสาทนิวาตวาสินี ได้แก่ อยู่ในปราสาทที่ปราศจากลมพาน. บาลีว่า ปาสาทวิมานวาสินี ก็มี ความว่า อยู่ในปราสาทเสมือนวิมาน. บทว่า ปริกมฺมํ ได้แก่การขวนขวาย.
บทว่า ธารย ได้แก่ จงครอง คือจงนุ่งและจงห่ม. บทว่า อภิโรเปหิ ได้แก่หรือจงแต่ง อธิบายว่า จงประดับเรือนร่าง โดยตกแต่งประดับประดา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 450
บทว่า มาลวณฺณกํ ได้แก่ มาลัย และของหอมของลูบไล้. บทว่า กญฺจนมณิมุตฺตกํ ได้แก่ ประกอบด้วยทอง และแก้วมณีและแก้วมุกดา อธิบายว่า แต่งด้วยแก้วมณีและแก้วมุกดาที่ประกอบด้วยทอง. บทว่า พหุํ ได้แก่ มีมากประการ ต่างโดยเครื่องประดับมือเป็นต้น. บทว่า วิวิธํ ได้แก่ต่างๆ อย่างโดยรูปพรรณหลากชนิด.
บทว่า สุโธตรชปจฺฉทํ ได้แก่ มีผ้าปิดที่ลอกละอองออกแล้ว เพราะฟอกดี. บทว่า สุภํ ได้แก่ สวยงาม. บทว่า โคนกตูลิกสนฺถตํ ได้แก่ลาดด้วยผ้าโกเชาว์สีดำขนยาวและผ้าสำลีที่เต็มด้วยขนหงส์เป็นต้น. บทว่า นวํ ได้แก่ ใหม่เอี่ยม. บทว่า มหารหํ ได้แก่ มีค่ามาก. บทว่า จนฺทนมณฺฑิตสารคนฺธิกํ ได้แก่ มีกลิ่นหอนอวล เพราะตกแต่งด้วยจันทน์มีแก่น มีจันทน์แดงเป็นต้น อธิบายว่า แม่นางโปรดขึ้นสู่ที่นอนเห็นปานนั้น แล้วโปรดนอนโปรดนั่งตามสบาย.
ในบทว่า อุปฺปลํ จุทกา สมุคฺคตํ ดังนี้ จ อักษรเป็นเพียงนิบาตความว่า ดอกอุบลที่ผุดโผล่ชูพ้นน้ำตั้งอยู่บานแล้ว. บทว่า ยถา ตํอมนุสฺสเสวิตํ ความว่า ก็ดอกอุบลนั้นพึงไร้มนุษย์เสพ คือใครๆ มิได้เชยชมแล้ว เพราะเกิดในสระโบกขรณี ที่รากษสหวงแหนแล้ว. บทว่า เอวํ ตฺวํพฺรหฺมจารินี ได้แก่ แม่นางก็เป็นพรหมจารีเหมือนดอกอุบลบานดีนั้น ฉันนั้น.เหมือนกัน. บทว่า สเกสงฺเคสุ ความว่า เมื่อส่วนแห่งเรือนร่างของตนอันใครๆ มิได้เชยชมแล้ว แม่นางก็จักถึงความชรา คือจะแก่คร่ำคร่าไปเสียเปล่าๆ.
เมื่อชายนักเลงหญิง ประกาศความประสงค์ของตนอย่างนี้แล้ว พระเถรีเมื่อจะตัดความประสงค์นั้นในเรื่องนั้น ด้วยการชี้ชัดถึงสภาพของร่างกายจึงกล่าวคาถาว่า กึ เต อิธ เป็นต้น คาถานั้นมีความว่า ท่านบุตรช่างทอง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 451
ในร่างอันไม่สะอาดนี้ คือที่สำคัญกันว่ากายนี้ อันเต็มไปด้วยซากศพมีผมเป็นต้นต้องแตกสลายไปส่วนเดียวเป็นธรรมดา รังแต่จะรกป่าช้า ชื่อว่าอะไรเล่าที่ท่านเข้าใจ ชื่นชมว่า เป็นสาระ เพราะเห็นสิ่งอันใด ความไร้ใจ คือความขาดความดำริแห่งใจในอารมณ์อย่างหนึ่ง หรือความไม่ไร้ใจ จึงปรากฏกลายเป็นความสุขใจขึ้น ท่านจงบอกสิ่งอันนั้นแก่เราสิ.
ชายนักเลงหญิงฟังคำอย่างนี้แล้ว ถึงแม้ว่ารูปของพระเถรีนั้น งดงามโดยความสันทัด แต่นับตั้งแต่แรกเห็น ก็มีจิตปฏิพัทธ์ที่จุดรวมแห่งความสนใจ [ทิฏฐ] อันใดเมื่อจะอ้างจุดรวมแห่งความสนใจ [ทิฏฐิ] อันนั้น จึงกล่าวคาถาว่า อกฺขีนิ ตูริยาริว เป็นต้น พระเถรีนี้ เป็นผู้มีอินทรีย์อันสงบ เพราะเป็นผู้สำรวมด้วยดีแล้วโดยแท้ แต่เพราะเหตุที่เขาถูกลวงด้วยอากัปกิริยามีความสง่างามแห่งจริตเองเป็นต้น. ที่สันทัดพิเศษด้วยแง่งอน อันเป็นจุดรวมแห่งความสนใจซึ่งเขาหาได้ที่ดวงตาทั้งสองของพระเถรีนั้น ที่ประดับด้วยประสาททั้ง ๕ อันผ่องใส ที่สำเร็จมาด้วยอานุภาพกรรม อันมีดวงตาที่มั่นคงผ่องใสเสงี่ยมสงบเป็นจุดรวม จึงเกิดเป็นนักเลงหญิงขึ้นมา ฉะนั้น ความกำหนัดด้วยอำนาจทิฏฐิของเขาจึงถึงความไพบูลย์เป็นพิเศษ. เนื้อทรายเรียกว่า ตูริ ในบทว่า อกฺขีนิ จ ตูริยาริว ในคาถานั้น จ ศัพท์เป็นเพียงนิบาต อธิบายว่าดวงตาทั้งสองของแม่นางประหนึ่งดวงตาของลูกเนื้อทราย. บาลีว่า โกริยาริวก็มี ท่านอธิบายว่าประหนึ่งดวงตาของแม่ไก่ร้องกระต๊าก. บทว่า กินฺนริยาริวปพฺพตนฺตเร ความว่า ดวงตาของแม่นาง เหมือนดวงตาของกินนรี ที่ท่องเที่ยว ณ ท้องภูเขา. บทว่า ตว เม นยนานิ ทกฺขิย ความว่า เพราะเห็นดวงตาของแม่นางมีคุณพิเศษที่กล่าวมาแล้ว ความอภิรมย์ในกามจึงกำเริบแก่ข้าพเจ้าอย่างยิ่งคือทับทวี.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 452
บทว่า อุปฺปลสิขโรปมานิ เต ได้แก่ ดวงตาของแม่นางเสมือนปลายดอกอุบลแดง. บทว่า วิมเล แปลว่า ไร้มลทิน. บทว่า หาฎกสนฺนิเภได้แก่ หน้าของแม่นางเสมือนหน้าของรูปทอง ประกอบความว่า เพราะเห็นดวงตาทั้งสอง.
บทว่า อปิ ทูรคตา ได้แก่ แม้ไปยังที่อันไกล. บทว่า สรมฺหเสความว่า ข้าไม่คิดถึงสิ่งไรอื่น รำลึกถึงแต่ดวงตาทั้งสองของแม่นางเท่านั้น.บทว่า อายตปมฺเห ได้แก่ ขนตายาว. บทว่า วิสุทฺธทสฺสเน ได้แก่ดวงตาที่ไร้มลทิน. บทว่า น หิ มตฺถิ ตยา ปิยตฺตโร นยนา ความว่าไม่มีอะไรอื่นของข้าพเจ้าที่จะเป็นที่รักกว่าดวงตาของแน่นาง ความจริง คำว่าตยา เป็นตติยาวิภัติ ใช้ในอรรถฉัฏฐีวิภัติ.
พระเถรีเมื่อจะเปลี่ยนความปรารถนาของชายผู้นั้น ซึ่งพร่ำเพ้อถึงสิ่งนั้นๆ เหมือนคนบ้า เพราะความงามของจักษุดังนี้ จึงกล่าวคาถา ๑๒ คาถาโดยนัยว่า อปเถน เป็นต้น บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อปเถน ปยาตุ-มิจฺฉสิ ประกอบความว่า ท่านบุตรช่างทองเมื่อสตรีอื่นมีอยู่ ท่านผู้ใดต้องการคือปรารถนาเราผู้เป็นบุตรพระพุทธเจ้า คือเป็นโอรสธิดาของพระผู้มีพระ-ภาคพุทธเจ้า ท่านผู้นั้น เมื่อทางตรงอันเกษมมีอยู่ ชื่อว่าปรารถนาจะไปคือประสงค์จะเดินไปตามทางที่มิใช่ทาง คือตามทางผิด ที่มีภัยกั้นด้วยหนาม ชื่อว่าแสวงหาดวงจันทร์เป็นของเล่น คือประสงค์จะทำดวงจันทร์ให้เป็นของเล่นชื่อว่าปรารถนาจะกระโดดเขาพระเมรุ คือประสงค์จะกระโดดขึ้นขุนเขาสิเนรุซึ่งสูง ๔๘,๐๐๐ โยชน์ แล้วยืนอยู่ต่อมา เพราะฉะนั้น ท่านนั้นปรารถนาเราผู้เป็นบุตรพระพุทธเจ้า.
บัดนี้ พระเถรีกล่าวว่า นตฺถิ เป็นต้น ก็เพื่อแสดงว่าอารมณ์นั้นมิใช่วิสัยของตน และว่าความปรารถนานำมาแต่ความคับแค้น บรรดาบทเหล่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 453
นั้น บทว่า ราโค ยตฺถปิ ทานิ เม สิยา ความว่า บัดนี้ ราคะของเราพึงมีพึงเป็นในอารมณ์ใด อารมณ์นั้นไม่มีเลยในโลกทั้งเทวโลก. บทว่านปิ นํ ชานามิ กีริโส ความว่า เราไม่รู้จักราคะนั้นว่าเป็นเช่นไร คำว่าอถ ในบทว่า อถ มคฺเคน หโต สมูลโก เป็นเพียงนิบาต ราคะพร้อมทั้งราก โดยราก กล่าวคืออโยนิโสมนสิการ ความใส่ใจโดยไม่แยบคายเรากำจัดคือถอนได้แล้วด้วยอริยมรรค.
บทว่า อิงฺคาลกุยา ได้แก่ จากหลุมถ่าน. บทว่า อุชฺฌิโต ได้แก่ เหมือนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ที่ลมพัดฟุ้งขึ้นแล้ว อธิบายว่า เหมือนเชื้อไฟ.บทว่า วิสปตฺโตริว ได้แก่ เหมือนภาชนะ ยาพิษ. บทว่า อคฺคิโต กโตความว่า ที่ปราศจากคือเอาออกจากไฟ คือถ่านไฟ อธิบายว่า นำออก คือทำลายเสียไม่ให้เหลือแม้เพียงเศษของยาพิษ.
บทว่า ยสฺสา สิยา อปจฺจเวกฺขิตํ ความว่าขันธบัญจกนี้ พึงเป็นของอันหญิงใดไม่พิจารณา ไม่กำหนดรู้แล้วด้วยญาณ. บทว่า สตฺตา วาอนฺสาสิโต สิยา ความว่า พระศาสดา พึงเป็นผู้อันหญิงใด ไม่เข้าเฝ้าแล้วเพราะไม่เห็นตัวธรรม. บทว่า ตฺวํ กาทิสิกํ ปโลภย ความว่า ท่านเอยโปรดประเล้าประโลม เข้าไปหาหญิงเห็นปานนั้น ผู้ไม่เฟ้นสังขาร ผู้ไม่พิจารณาโลกุตรธรรม ด้วยกามทั้งหลายเถิด. บทว่า ชานนฺตึ โส อิมํ วิหญฺสิความว่า ท่านนั้นอาศัยสุภาภิกษุณีรูปนี้ ผู้รู้ความเป็นไปและความกลับตามเป็นจริง คือแทงตลอดสัจจะ ย่อมเดือดร้อนเอง คือจะถึงความคับแค้นความทุกข์ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต.
บัดนี้ พระเถรีเมื่อจะแสดงความที่ชายผู้นั้น จะถึงความคับแค้น ด้วยการชี้แจงเหตุ จึงกล่าวว่า มยฺหํ หิ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 454
หิ เป็นนิบาตใช้ในอรรถว่าเหตุ. บทว่า อกฺกุฏฺวนฺทิเต ได้แก่ ในการด่าและการไหว้. บทว่า สุขทุกฺเข ได้แก่ ในสุขและทุกข์ หรือเพราะประสพอารมณ์ที่น่าปรารถนาและไม่น่าปรารถนา. บทว่า สตี อุปฏฺิตา ได้แก่ สติที่ประกอบด้วยการพิจารณา มั่นคงตลอดกาล. บทว่า สงฺขตมสุภนฺติ ชานิยได้แก่ รู้ธรรมที่เป็นไปในภูมิ ๓ ที่เป็นสังขาร ว่าไม่งาม เพราะเป็นที่ไหลออกของกิเลสและของไม่สะอาด. บทว่า สพฺพตฺเถว ความว่า ใจของเราไม่ติดอยู่ใน ๓ ภพ ทุกภพ ด้วยกิเลสเครื่องฉาบคือตัณหาเป็นต้นเลย.
บทว่า มคฺคฏฺงฺคิกยานยายินี ได้แก่ ดำเนินไปคือเข้าไปสู่บุรีคือพระนิพพาน ด้วยยานอันเป็นอริยะ กล่าวคือมรรคประกอบด้วยองค์ ๘. บทว่าอุทฺธฏสลฺลา ได้แก่ มีกิเลสดุจลูกศรคือราคะเป็นต้น อันถอนเสียแล้วจากสันดานของตน.
บทว่า สุจิตฺติตา ได้แก่ อันแต่งคือทำให้งามด้วยดี โดยอาการมีมือเท้าและหน้าเป็นต้น. บทว่า โสมฺภา ได้แก่ รูปเขียน. บทว่า ทารุกปิลฺลกานิ วา ได้แก่ รูปที่จัดแต่งด้วยท่อนไม้เป็นต้น. บทว่า ตนฺตีหิได้แก่ เอ็นและด้าย. บทว่า ขีลเกหิ ได้แก่ ท่อนไม้ที่เขาตั้งไว้ เพื่อทำเป็นมือ เท้า หลังและหูเป็นต้น. บทว่า วินิพทฺธา ได้แก่ ผูกด้วยอาการต่างอย่าง. บทว่า วิวิธํ ปนจฺจกา ได้แก่ ทำท่ารำที่เขาจัดตั้งไว้ ด้วยการชักและปล่อยเป็นต้น ซึ่งด้ายยนต์เป็นอาทิ. ประกอบความว่า อันเขาเห็นเหมือนร่ายรำอยู่.
บทว่า ตมฺหุทฺธเฏ ตนฺติขีลเก ความว่า อาศัยสิ่งที่ประกอบให้วิเศษด้วยการตั้งการแต่งอย่างดี จึงมีชื่อว่ารูป เมื่อด้ายและไม้ เขาถอดออกจากที่ปลดออกจากเครื่องผูก ทำกันแลกันให้บกพร่อง เพราะทำให้เป็นส่วนๆ ก็เรี่ยร้ายกระจัดกระจาย เพราะทิ้งอยู่ในที่นั้นๆ . บทว่า น วินฺเทยฺย ขณฺฑโส
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 455
กเต ความว่า เมื่อส่วนของรูปใบลาน ถูกทำให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย บุคคลก็ไม่พบ ไม่ได้ใบลาน เมื่อเป็นดังนั้น บุคคลจะพึงตั้งใจไว้ในรูปนั้นทำไมอธิบายว่า บุคคลจะพึงตั้งใจความสำคัญใจ ไว้ในส่วนของรูปใบลานนั้นทำไมคือพึงตั้งความสำคัญใจ ในตอไม้หรือในเชือก หรือในก้อนดินเป็นต้น สัญญานั้นไม่พึงตกไปในอวัยวะที่เป็นวิสังขาร แม้บางคราว.
บทว่า ตถูปมา ได้แก่ ก็เสมือนรูปนั้น คือเสมือนรูปใบลานนั้น.ถ้าจะถามว่าอะไรเล่าท่านพระเถรีจึงกล่าวว่า เทหกานิ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เทหกานิ ได้แก่ อวัยวะส่วนแห่งร่างกายมีมือเท้าและหน้าเป็นต้น. บทว่า มํ ความว่า ปรากฏเนื่องกับเรา. บทว่า เตหิ ธมฺเมหิได้แก่ จากธรรมเหล่านั้น มีปฐวีธาตุเป็นต้น และจักษุเป็นต้น. บทว่า วินาน วตฺตนฺติ ความว่า ด้วยว่าชื่อว่าร่างกายพ้นธรรมมีปฐวีธาตุเป็นต้น ที่ตั้งโดยประการนั้นๆ มีอยู่ก็หาไม่. บทว่า ธมฺเมหิ วินา น วตฺตติ ความว่าร่างกายเว้นจากอวัยวะคือธรรม คืออวัยวะเสีย ก็ไม่เป็นไปก็ไม่ได้เพื่อเป็นดังนั้น บุคคลจะพึงตั้งใจไปในร่างกายนั้นทำไม อธิบายว่า บุคคลจะพึงตั้งใจความสำคัญใจว่า ร่างกายหรืออวัยวะมีมือเท้าเป็นต้นในอะไรเล่า คือในปฐวีธาตุหรืออาโปธาตุเป็นต้น เพราะเหตุที่ในความเป็นธรรมคือปฐวีธาตุเป็นต้นและประสาท มีสมัญญาว่าร่างกายบ้าง มือเท้าเป็นต้นบ้าง สัตว์บ้าง หญิงบ้างชายบ้าง ฉะนั้น เราผู้รู้ตามเป็นจริง จึงไม่ยึดมั่นในร่างกายนั้น.
บทว่า ยถา หริตาเลน มกฺขิตํ อทฺทส จิตฺติกํ ภิตฺติยา กตํอธิบายว่า บุคคลพึงดู พึงเห็นรูปหญิงที่จิตรกรผู้ฉลาดป้ายระบายด้วยหรดาลที่ฝาผนัง คือวาดระบายด้วยหรดาลนั้นให้งดงาม เพราะความพรั่งพร้อมด้วยกิริยามีการชู (มือ) การทอด [แขน] เป็นต้น ก็มีสัญญาความสำคัญว่า ฝาผนังนี้ที่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 456
ตั้งอยู่โดยไม่พิง เป็นมนุษย์หรือหนอ สัญญานั้นก็ไร้ประโยชน์ เพราะประโยชน์กล่าวคือความเป็นมนุษย์ไม่มีอยู่ในรูปหญิงนั้น. ส่วนชายผู้นั้นเห็นวิปริตในรูปหญิงนั้นอย่างเดียวว่าเป็นมนุษย์คือไม่ถือตามความเป็นจริง ทั้งถือว่าเป็นหญิงชายในอาการสักว่าเป็นกองแห่งธรรม ฉันใด ข้ออุปไมยนี้ก็พึงเห็นฉันนั้น.บทว่า มายํ วิย อคฺคโต กตํ ได้แก่ เสมือนพยับแดด ที่ปรากฏข้างหน้า โดยอาการลวง. บทว่า สุปินนฺเตว สุวณฺณปาทปํ ความว่าความฝันนั่นแลชื่อว่า สุปินันตะ ประหนึ่งต้นไม้ทองที่ปรากฏในความฝันนั้น.
บทว่า อุปคจฺฉสิ อนฺธ ริตฺตกํ ความว่า ดูก่อนท่านผู้เขลาเหมือนคนตาบอดเอย ท่านยังจะเข้าไปยึดมั่นอัตภาพนี้ที่ว่างเปล่า เว้นสาระภายใน ดั่งมีสาระว่านั่นของเรา. บทว่า ชนมชฺเฌริว รุปฺปรูปกํ ความว่า เช่นเดียวกับรูปมายากล ที่นักเล่นกลแสดงท่ามกลางมหาชน ปรากฏประหนึ่งว่ามีสาระอธิบายว่าไม่มีสาระ.
บทว่า วฏฺฏนิริว แปลว่า เหมือนก้อนครั่ง. บทว่า โกฏโรหิตาได้แก่ ตั้งอยู่ในโพรง คือโพรงไม้. บทว่า มชฺเฌ ปุพฺพุฬกา ได้แก่เสมือนฟองน้ำที่ตั้งขึ้นกลางหนังตา. บทว่า สอสฺสุกา ได้แก่ ประกอบด้วยน้ำตา. ปิฬโกฬิกา ได้แก่ ขี้ตา. บทว่า เอตฺถ ชายติ ได้แก่ โชยกลิ่นเหม็นเกิดขึ้นที่ปลายสองข้างที่ดวงตานั้น. อีกนัยหนึ่งต่อมที่เกิด ณ หนังตาเรียกกันว่า ปิฬโกฬิกา. บทว่า วิวิธา ได้แก่ มากอย่าง โดยวงกลมสีขาวและเขียว และพื้นทั้ง ๗ มีสีแดงและเหลืองเป็นต้น. บทว่า จกฺขุวิธา ได้แก่ ส่วนแห่งจักษุ หรือประการแห่งจักษุ เพราะจักษุนั้นเป็นกลาปมากกลาป. ปิณฺฑิตา ได้แก่ เกิดขึ้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 457
พระเถรี ชี้แจงถึงความที่จักษุของผู้ที่ร่านรักให้จักษุเป็นของไม่งามและความที่จักษุนั้นเป็นของไม่เที่ยง เพราะตั้งอยู่ไม่ยั่งยืนอย่างนี้แล้ว ครั้นแล้วพระเถรีก็ยังถูกชายผู้นั้น ซึ่งร่านรักในจักษุพัวพัน จำต้องควักดวงตาของตนให้เขาไป เหมือนคนบางคน ถือเอาสิ่งของซึ่งใครๆ ก็อยากได้ เดินทางกัน-ดารที่มีโจร ถูกพวกโจรพัวพัน ก็จำต้องให้สิ่งของที่น่าอยากได้นั้นไปฉะนั้นด้วยเหตุนั้น ท่านพระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า อุปฺปาฏิย จารุทสฺสนาเป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุปฺปาฏิย ได้แก่ ควักคือนำออกจากเบ้าตา. บทว่า จารุทสฺสนา ได้แก่ ดวงตาที่น่ารัก ดวงตาที่น่าจับใจ. บทว่าน จ ปชฺชิตฺถ ได้แก่ ไม่ถึงความติดข้องในจักษุนั้น. บทว่า อสงฺคมานสาความว่า พระเถรีผู้มีจิตไม่ติดข้องในอารมณ์แม้ไรๆ จึงกล่าวว่า เชิญรับจักษุที่ท่านต้องการไป ต่อแต่นั้น จงถือเอาก้อนที่ไม่สะอาด ซึ่งท่านสำคัญว่าจักษุเพราะเราให้แล้ว ครั้นถือเอาแล้ว จงนำจักษุที่ประกอบด้วยประสาท นำไปยังสถานที่ท่านปรารถนาเถิด.
บทว่า ตสฺส จ วิรมาสิ ตาวเท ความว่า ในทันใดนั่นเองคือในขณะที่พระเถรีควักลูกตานั่นแล ราคะ ของชายนักเลงหญิงนั้น ก็หายไป.บทว่า ตตฺถ ได้แก่ ในลูกตา หรือ ในพระเถรีนั้น อีกนัยหนึ่ง บทว่าตตฺถ ได้แก่ ในที่นั้นนั่นเอง. บทว่า ขมาปยิ แปลว่า ให้พระเถรียกโทษให้แล้ว. บทว่า โสตฺถิ สิยา พฺรหมจาริ นี้ความว่า ข้าแต่แม่นางพรหมจารีผู้แสวงคุณอันยิ่งใหญ่ ขอความไม่มีโรค พึงมีแก่แม่นางเถิด. บทว่า น ปุโนเอทิสกํ ภวิสฺสติ ความว่า เบื้องหน้าแต่นี้ไป จักไม่มีการประพฤติอนาจารอย่างนี้ อธิบายว่า ข้าจักไม่ทำละ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้า 458
บทว่า อาสาทิย ได้แก่ กระทบ. บทว่า เอทิสํ ได้แก่ ผู้ปราศจากราคะในอารมณ์ทั้งปวงเห็นปานนี้. บทว่า อคฺคึ ปชฺชลิตํว ลิงฺคิย ได้แก่เหมือนกอดไฟที่ลุกโชน.
บทว่า ตโต แปลว่า จากชายนักเลงหญิงนั้น. บทว่า สา ภิคฺขุนีได้แก่ พระสุภาภิกษุณีนั้น. บทว่า อคมี พุทฺธวรสฺส สนฺติกํ ได้แก่เข้าไปยังสำนัก คือเข้าเฝ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า. บทว่า ปสฺสิย วรปุญฺ-ลกฺขณํ ได้แก่ เห็นพระมหาปุริสลักษณะอันบังเกิดด้วยบุณยสมภารอันสูงสุด.บทว่า ยถา ปุราณกํ ได้แก่ จักษุได้กลับเป็นปกติ เหมือนเก่า คือเหมือนเมื่อก่อนควัก. คำที่มิได้กล่าวในระหว่างๆ ในเรื่องนี้ ก็รู้ได้ง่ายเหมือนกัน เพราะมีนัยที่กล่าวมาแล้ว.
จบอรรถกถาสุภาชีวกัมพวนิกาเถรีคาถา
จบอรรถกถาติงสนิบาต