ข้อความบางตอนจากการบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์
ซึ่งชี้ให้เห็นว่า พระธรรมเทศนาเรื่องใดๆ ก็ตาม ไม่พ้นไปจากเรื่องของสติปัฏฐาน แล้วหนทางปฏิบัติที่ถูกต้องก็มีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น คือ การอบรมอริยมรรคมีองค์ ๘ ต้องอบรมเจริญปัญญารู้ลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงขณะนี้ ...
ใน ขุททกนิกาย สุตตนิบาต วาเสฏฐสูตร
ที่กล่าวถึงพระสูตรนี้ ก็เพื่อที่จะแสดงให้ท่านผู้ฟังได้เห็นว่า ไม่ว่าเป็นพระธรรมเทศนาเรื่องใดๆ ก็ตาม จะไม่พ้นจากเรื่องของสติปัฏฐานเลย ไม่ว่าคำที่บุคคลนั้นจะไปกราบทูลถามในเรื่องใด พระผู้มีพระภาคก็จะตรัสตอบในเรื่องของการที่ไม่พ้นจากการเจริญสติปัฏฐาน ...
ผู้ที่ตรงต่อสภาพธรรมตามความเป็นจริง เมื่อรู้ก็รู้ เมื่อไม่รู้ก็ไม่รู้ เมื่อยังสังสัยก็สงสัย เมื่อรู้เพิ่มขึ้นก็เพิ่มขึ้น เป็นผู้ที่ตรงจริงๆ ต่อสภาพธรรมที่ปรากฏ ไม่หลอกตัวเอง เมื่อไม่รู้แล้วก็จะไปบอกว่ารู้หมดแล้ว อย่างนั้นไม่ใช่ผู้ที่ตรงต่อธรรม ไม่ใช่ผู้ที่จะขัดเกลาหรือละกิเลสได้ แต่ผู้ที่จะขัดเกลาหรือผู้ที่จะละกิเลสได้ ต้องเป็นผู้ที่ตรงจริงๆ แล้วก็ไม่ใช่ไปรู้อื่นด้วย ถ้าจะไม่รู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏตามปกติ จะไปรู้อื่น นั่นไม่ชื่อว่าเป็นผู้ที่ตรงต่อธรรม คือ ไม่เจริญหนทางที่จะให้ละการยึดถือนามธรรม และรูปธรรมตามปกติ เป็นเรื่องที่ต้องเจริญ ต้องอบรมต่อไปอีก จนกว่าจะเป็นปัญญาจริงๆ รู้จริงๆ ละได้จริงๆ แต่เป็นปัญญาจริงๆ ไม่ใช่หลอกๆ ไม่ใช่ไม่รู้ แล้วคิดว่ารู้
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
การตรงต่อตนเองเป็นเรื่องยาก แต่การเป็นผู้ตรงต่อสภาพธรรมยิ่งยากกว่าหลายเท่า
กราบอนุโมทนาท่านอาจารย์และกัลยาณมิตรทุกท่านที่คอยพร่ำเตือนมิให้ประมาทครับ
ขออนุโมทนาครับ
ตรงจนประจักษ์ลักษณะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ที่ว่าตรง เพราะตรง จึงตรง ไม่คดโค้ง เพราะตรง จึงกล่าวได้ ที่ว่าตรง ต้องตรง "รู้" ด้วยใจ ที่ว่าตรง "ไม่ใช่ใคร" เพราะ "เรา" ตรง
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขออนุโมทนาครับ