เรียนท่านวิทยากร โลกปัจจุบันคนส่วนมากแสวงหาวัตุถเสพย์กันอย่างไม่สิ้นสุด เป็นที่
สังเวชใจ ถึงขนาดว่าสังคมบางกลุ่มยอมรับในเรื่องการฉ้อโกง แต่สร้างความเจริญได้
แล้วพระธรรมที่ทรงสั่งสอนให้ ทำดี ละชั่ว ทำจิตใจให้บริสุทธิ์ ชาวพุทธจะ ทำอย่างไร
น่าห่วงใยและกังวลมาก จึงขอเรียนท่านวิทยากร ช่วยชี้แจงเพื่อเป็นแนวทางแก่ชาวพุทธ
ที่ยังยึดมั่นในพระธรรมด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ต้องเข้าใจความเป็นจริงของโลกนะครับว่า สัตว์โลกมากไปด้วยกิเลส ดังนั้น เมื่อ
มากไปดวยกิเลส กิเลสก็ย่อมไหลไป ติดข้องในกามคุณ 5 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่
กระทบสัมผัสอันน่าปรารถนา น่าพอใจเป็นธรรมดาของกิเลสที่มีมากนั่นเองครับ และ
ยุคปัจจุบันในขณะนี้ อายุขัยของสัตว์ต่ำกว่าร้อยปี พระพุทธองค์แสดงว่า สัตว์จะมี
กิเลสมากกว่าเดิม ดังนั้นก็เป็นยุคเสื่อมจากคุณธรรม ก็ย่อมยินดี พอใจและสรรเสริญ
ในอกุศลธรรมทั้งหลาย แต่ไม่ยิน พอใจ สรรเสริญกุศลธรรมความถูกต้องครับ พระ
พุทธเจ้าแสดงถึงความเลื่อมใสของบุคลต่างๆ ซึ่ง คนที่จะเลื่อมใสที่จะเลื่อมใสบุคคล
ใด เพราะเหตุแห่งคุณธรรม แสนคนจะมีเพียงคนเดียวเท่านั้น แต่ส่วนมากเลื่อมใส
นับถือเพราะรูปร่างหน้า ตา ชื่อเสียง ความร่ำรวย ไม่ใช่คุณธรรมครับ ดังนั้นจึงเป็น
ธรรมดาจริงๆ ในยุคที่เสื่อมในปัจจุบันนี้ครับ และพระองค์ได้ทำนาย เป็นพุทธพยากรณ์
ไว้แล้วว่า อธรรม คือ คนที่ไม่ดีจะมีกำลัง เป็นใหญ่และมีมากไปด้วย นั่นคือ อกุศลธรมจะ
เจริญมีมาก ส่วนกุศลธรรมีน้อยเกิดน้อย และคนที่มีคุณธรรมมีจำนวนน้อย จึงไม่สามารถ
ที่จะทำอะไรได้ คนดีก็หนีเข้าป่า หรือ ต้องนั่งเงียบไปเพราะ อธรรมมีกำลังครับ ดังนั้น
เราจะทำอะไรได้ ในเมื่อโลกจะต้องเป็นไปตามสัจจะ ไปตามความจริงอย่างนี้ คือ
ค่อยๆ เสื่อมจากคุณธรรมไปและยกย่อง อสัทธรรม ยกย่องอกุศลธรรม ยกย่องชื่อเสียง
ทรัพย์สิน ไม่ใช่คุณธรรมครับ
ส่วนพระธรรมที่พระองค์แสดงเพื่อละ ชั่ว ทำความดี จะมีค่า มีประโยชน์กับผู้ที่สะสม
ศรัทธาและปัญญาในพระพุทธสาสนาในอดีตเท่านั้น คำธรรมแม้ดี แต่เป็นคำที่ไม่ดี
สำหรับคนที่ไม่สนใจพระธรรมได้ครับ ดังนั้น ความสนใจพระธรรม และพระธรรมของ
พระพุทธเจ้า จึงไม่สาธารณะกับบุคคลทั่วไป แม้พระธรรมจะมีอยู่ สอนอยู่แต่ก็ไม่สนใจ
ที่จะศึกษา นี่ก็แสดงถึงความเป็นไปของโลกที่จะต้องเป็นไปอย่างนี้และในที่สุดพระ
ศาสนาก็จะอันตรธานไปจากโลกนี้ อันตรธานจากใจของคนไป อีกไม่นานเลยครับ
ดังนั้นเราแก้โลกทั้งโลก แก้คนที่ไม่สนใจ มากไปด้วยกิเลสไม่ได้เลยครับ แต่สำคัญ
ที่ตัวเราเอง ที่จะศึกษาพระธรรมให้ถูกต้องไปเรื่อยๆ และสะสมความดี สะสมความเป็นผู้
ตรง นับถือ เลื่อมใสในคุณธรรมไม่ใช่ชื่อเสียง ความร่ำรวย ดังเช่น ผู้คนโดยมากเป็น
นั่นเอง เริ่มจากเราเองครับ นี่คือหนทางที่ถูกต้อง ความเข้าใจถูกจากการศึกษาพระ
ธรรม จะค่อยๆ ขัดเกลากิเลสของเราเอง พระพุทธองค์แสดงว่า ไม่พึงแลกิจของผู้อื่น
ที่ทำ แต่ควรแลดูกิจของเราว่าเราทำอะไรอยู่ หมายความว่า คนอื่นจะไม่ดี ไม่มี
ศรัทธา ไม่ทำบุญ มากด้วยกิเลสอย่างไร เราทำอะไรไมได้ ไม่เป็นประโยชน์กับเรา แต่
ประโยชน์กับเราคือ พึงแลดูกิจของตน คือ กิจคือการอบรมปัญญา กิจว่าเราเข้าใจพระ
ธรรมมากหรือยัง เมื่อรู้ว่ายังน้อยก็ทำกิจของตนคือฟังพระธรรมต่อไป และเจริญกุศลทุก
ประการครับ ทำกิจของตนสำคัญที่สุดครับ แบบแผนการดำเนินชีวิตที่ถูกคือ การศึกษา
พระธรรม ฟังพระธรรมและเจริญกุศลทุกๆ ประการตามกำลังปัญญา และเกื้อกูลคนที่
สะสมศรัทธา ปัญญามาได้ตามกำลังของเราครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนาครับ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ภาค ๒ ตอน ๒-หน้าที่ 62
"บุคคลไม่ควรทำคำแสยงขนของคนเหล่าอื่นไว้
ในใจ, ไม่ควรแลดูกิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำของคน
เหล่าอื่น, พึงพิจารณากิจที่ทำแล้วและยังมิได้ทำ
ของตนเท่านั้น."
พึงพิจารณาเนืองๆ ว่า 'วันคืนล่วงไปๆ เราทำอะไรอยู่"
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ
พิจารณาตัวเองเป็นสำคัญ [เรื่องปาฏิกาชีวก]
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงนั้น เป็นเครื่องอุปการะเกื้อกูลเพื่อให้พุทธบริษัทได้รู้จักตัวเอง ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ให้ไปมองที่คนอื่น แทนที่จะคิดว่าคนอื่นเขาไม่ดี กระทำแต่อกุศลกรรมประการต่างๆ เป็นต้น ก็ควรที่จะเห็นกิเลสของตนเองและพยายามที่จะขัดเกลาให้เบาบางลง เพราะกิเลสซึ่งเป็นความไม่ดีของตนเอง ใครๆ ก็กำจัดหรือละคลายให้ไม่ได้ ต้องเป็นสภาพธรรมฝ่ายดี (ของตนเอง) เกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้นที่จะละคลายขัดเกลากิเลสได้
บุคคลผู้ได้ศึกษาพระธรรมโดยละเอียดมากขึ้น ย่อมรู้จักตัวเองว่าเป็นผู้มีกิเลสมาก (มีมากเหมือนคนอื่นๆ นั่นแหละ) ในวันหนึ่งๆ มากไปด้วยโลภะ โทสะโมหะ อิสสา (ความริษยา) มัจฉริยะ (ความตระหนี่) เป็นผู้ขาดเมตตา เห็นแก่ตัว เป็นผู้ถูกอวิชชาท่วมทับอยู่ตลอดและมีกุศลเกิดขึ้นน้อยมาก ซึ่งจะทำให้เห็นโทษเห็นภัยของกิเลส แล้วมีความเพียรที่จะอบรมเจริญปัญญา เจริญกุศลประการต่างๆ เพื่อละคลายกิเลส เป็นการกระทำที่พึ่งให้แก่ตน, ในทางตรงกันข้าม บุคคลผู้ที่ไม่รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง (ในเมื่อไม่รู้) ก็ย่อมจะทำแต่อกุศลกรรมต่างๆ มากมาย พอกพูนกิเลสให้หนาแน่นขึ้น ซึ่งจะทำให้วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์อีกต่อไป อย่างไม่มีวันจบสิ้น และที่ควรพิจารณา คือ อบายภูมิ มีนรก เป็นต้น รอท่าอยู่แล้วสำหรับผู้กระทำอกุศลกรรม ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม ซึ่งไปได้ง่ายมากเลย
ถ้าพิจารณาตามความเป็นจริง ก็จะเห็นได้ว่า เวลาของแต่ละบุคคลเหลือน้อยแล้ว ที่จะมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ควรที่จะได้เตือนตนเองอยู่เสมอว่า "วันคืนล่วงไป บัดนี้เราทำอะไรอยู่" ซึ่งจะทำให้เป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียรในการเจริญกุศลและอบรมเจริญปัญญาสะสมเป็นที่พึ่งให้กับตนเองต่อไป เพราะทุกคนเกิดมาแล้วต้องตาย ต้องจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น การกระทำของบุคคลอื่น ก็เป็นของคนอื่น แล้วเราล่ะจะสะสมอย่างไหนระหว่างความดีกับความชั่ว ในระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่? ในชาตินี้ ยังเป็นผู้มีกิเลสมาก อกุศลจิตเกิดบ่อยมาก และปัญญาก็ยังไม่เจริญ ถ้าหากว่าไม่ได้สะสมเหตุที่ดีบ่อยๆ เนืองๆ โดยเฉพาะการฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน แล้ว ก็ย่อมจะเป็นโอกาสของอกุศลที่พร้อมจะเกิดขึ้นครอบงำจิตใจอยู่ตลอดเวลา และอาจจะตายไปพร้อมกับความไม่รู้ก็เป็นได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าความตายจะมาถึงเมื่อไหร่ ไม่มีใครทราบได้ ดังนั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่ จึงไม่ควรประมาทในชีวิต และสำคัญที่สุด ควรอย่างยิ่งที่จะสะสมลาภที่ประเสริฐ นั่นก็คือ การฟังพระธรรม ซึ่งจะทำให้เกิดปัญญา ทำให้มีความเข้าใจถูกเห็นถูก ไปตามลำดับ เพราะความเข้าใจพระธรรมเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งในชีวิตได้อย่างแท้จริง ทั้งในชาตินี้และชาติต่อๆ ไปด้วย แต่สำหรับอกุศลธรรมแล้ว เป็นที่พึ่งไม่ได้เลย ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เรียน ท่านวิทยากรทั้งสอง ขอน้อมรับในคำอธิบายด้วยความขอบคุณและพยายาม
กระทำกิจในการสิกขาสร้างกุสลและกระทำให้ตรงตามพระธรรมตามคำแนะนำ ส่วน ชาว
บ้าน ที่เป็นอันธพาลชนต้องปล่อยไป และ ส่วนผู้ที่มองว่าสามารถน้อมนำมาฟังธรรมได้
เราควรจะ ชี้แนนะให้ถูกต้อง
สังคมบางกลุ่มยอมรับในเรื่องการฉ้อโกง แต่สร้างความเจริญได้
การศึกษาธรรมมะทำให้รู้ว่าอะไรเป็นกุศลและอะไรเป็นอกุศลและมั่นคงในกรรมและผลของกรรมจึงอนุโมทนาในกุศลกรรมที่สร้างความเจริญและไม่อนุโมทนาหากเห็นการทำอกุศลกรรมเช่นการฉ้อโกงคะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
"รวยได้ถ้าความรวยนั้นไม่เบียดเบียนสังคม ยอมจนตราบใดที่ความจนนั้นไม่ทำให้คนอื่น และประเทศชาติเดือดร้อน และที่สำคัญอย่าจนความดี" แค่นี้ก็มีความสุขแล้วครับ
ยุคนี้ ใครที่ทำธุรกิจ หรือรับราชการแล้ว ร่ำรวย โดยไม่โกง หรือเบียดเบียนคนอื่นหายากมาก
แต่คนที่ทำดี ซื่อสัตย์ สุจริต ไม่ประกอบธุรกิจที่เบียดเบียนสังคม ไม่มีทางรวย หรือ มีแต่น้อยมาก เพราะสมัยนี้กิเลสคนเยอะ ธุรกิจที่ร่ำรวยต้องหากินโดยอาศัยกิเลสมนุษย์
หรือจะเรียกได้ว่า "ทุนนิยมคือ การตามกระแสกิเลส ความพอเพียงคือการทวนกระแส"
เมื่อทุนนิยมล่มสลาย (ตอนนี้หลายประเทศฝั่งยุโรป และอเมริกากำลังตกอยู่ในความเสี่ยงหลายประเทศ) ทั่วโลกจึงจะเห็นความสำคัญของความพอเพียง
มันก็มีแค่สองอย่างเท่านั้นล่ะ ตามกระแส และทวนกระแส ชัั่วกับดี ฟุ่มเฟือยกับพอดี กระแสส่วนใหนมาก ส่วนนั้นก็ชนะ แต่ถ้าความดีแพ้แม้นั้นเป็นเพียงส่วนน้อย แต่ทุกท่านก็ชนะ ใจตัวเองไม่ต้องเป็นทุกข์กับกระแสสังคม เพราะทั้งดี และชั่วไม่ใช่เรื่องของเรา มันเป็นของธรรมดาโลก แล้วท่านมีมีชีวิต อยู่ แบบธรรมดา ที่ไม่ธรรมดา
เปลี่ยนเป้าหมายของชีวิต "อยากมีความสุข โดยไม่ต้องพึ่งพิงวัตถุ หรืออยากมีวัตถุไว้ตอบสนองความอยาก"
ขออนุโมทนา ขออนุโมทนา