๙. อนุรุทธเถรคาถา ว่าด้วยตรัสสรรเสริญผู้หมดอาสวะ
โดย บ้านธัมมะ  20 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 40663

[เล่มที่ 53] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 155

เถรคาถา วีสตินิบาต

๙. อนุรุทธเถรคาถา

ว่าด้วยตรัสสรรเสริญผู้หมดอาสวะ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 53]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 155

๙. อนุรุทธเถรคาถา

ว่าด้วยตรัสสรรเสริญผู้หมดอาสวะ

[๓๙๓] พระอนุรุทธะละพระชนกชนนี ละพระประยูรญาติ ละเบญจกามคุณได้แล้ว เพ่งฌานอยู่ บุคคลผู้เพียบพร้อม ด้วยการฟ้อนรำขับร้อง มีดนตรีบรรเลงปลุกให้รื่นเริงใจ อยู่ทุกค่ำเช้า ก็ไม่บรรลุถึงความบริสุทธิ์ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้องนั้นได้ เพราะยังเป็นผู้ยินดีในกามคุณอันเป็นวิสัย แห่งมาร พระอนุรุทธะก้าวล่วงเบญจกามคุณนั้นเสียแล้ว ยินดีในพระพุทธศาสนา ก้าวล่วงโอฆะทั้งปวงแล้ว เพ่ง ฌานอยู่ พระอนุรุทธะได้ก้าวล่วงกามคุณเหล่านี้ คือ รูป เสียง กลิ่น รส และโผฏฐัพพะ อันน่ารื่นรมย์ใจแล้ว เพ่งฌานอยู่ พระอนุรุทธะเป็นนักปราชญ์ หาอาสวะมิได้ ผู้เดียวไม่มีเพื่อน กลับจากบิณฑบาตแล้วเที่ยวแสวงหา ผ้าบังสุกุลอยู่ พระอนุรุทธะเป็นนักปราชญ์มีปรีชา หา อาสวะมิได้ เที่ยวเลือกหาเอาแต่ผ้าบังสุกุล ครั้นได้มา แล้ว ก็มาซักย้อมเอาเองแล้วนุ่งห่ม บาปธรรมอันเศร้า หมองเหล่านี้ ย่อมมีแก่ภิกษุผู้มักมาก ไม่สันโดษ ระคน ด้วยหมู่ มีจิตฟุ้งซ่าน อนึ่ง ภิกษุใดเป็นผู้มีสติ มักน้อย สันโดษ ไม่มีความขัดเคือง ยินดีในวิเวก ชอบสงัด ปรารภความเพียรเป็นนิตย์ กุศลธรรมซึ่งเป็นฝ่ายให้ ตรัสรู้เหล่านี้ย่อมมีแก่ภิกษุนั้น ทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 156

ผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ก็ตรัสสรรเสริญภิกษุนั้นว่า เป็นผู้หมดอาสวะ พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมในโลก ทรง ทราบความดำริของเราแล้ว เสด็จมาหาเรา ด้วยมโนมยิทธิทางกาย. เมื่อใด ความดำริได้มีแก่เรา เมื่อนั้น พระพุทธเจ้าทรงทราบความดำริของเราแล้ว ได้เสด็จเข้า มาหาเราด้วยพระฤทธิ์ แล้วทรงแสดงธรรมอันยิ่งแก่เรา พระพุทธเจ้าผู้ทรงยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า ได้ทรง แสดงธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้าแก่เรา เรารู้ทั่วถึงพระธรรมเทศนาของพระองค์แล้ว เป็นผู้ยินดีในพระศาสนา ปฏิบัติ ตามคำพร่ำสอนอยู่ เราบรรลุวิชชา ๓ โดยลำดับ ได้ทำ ตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว เราถือการนั่ง เป็นวัตรมาเป็นเวลา ๕๕ ปี เรากำจัดความง่วงเหงาหาว นอนมาแล้วเป็นเวลา ๒๕ ปี ในเวลาที่พระผู้มีพระภาคเจ้า จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ภิกษุทั้งหลายถามเราว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้วหรือยัง เราได้ตอบว่า ลมหายใจออกและหายใจเข้ามิได้มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้มีพระหฤทัยตั้งมั่นคงที่ แต่พระองค์ยังไม่ปรินิพพาน ก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระจักษุ ผู้ไม่มีตัณหาเป็น เครื่องทำใจให้หวั่นไหว ทรงทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ คือเสด็จออกจากจตุตถฌานแล้ว จึงจะเสด็จปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอดกลั้นเวทนา ด้วยพระหฤหัย


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 157

อันเบิกบาน ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นดวงประทีป ของชาวโลกกับทั้งเทวโลก เสด็จดับขันธปรินิพพาน ความพ้นพิเศษแห่งพระหฤทัยได้มีขึ้นแล้ว บัดนี้ธรรม เหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่ ๕ ของพระมหามุนี ได้สิ้นสุด ลงแล้ว ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพาน แล้ว จิตและเจตสิกธรรมเหล่าอื่นจักไม่มีอีกต่อไป ดูก่อน เทวดา บัดนี้ การอยู่อีกต่อไปด้วยอำนาจการอุบัติใน เทพนิกาย ย่อมไม่มี ชาติสงสารสิ้นไปแล้ว บัดนี้การ เกิดในภพใหม่มิได้มี ภิกษุใดรู้แจ้งมนุษยโลก เทวโลก พร้อมทั้งพรหมโลก อันมีประเภทตั้งพัน ได้ในเวลา ครู่เดียว ทั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญในคุณ คืออิทธิฤทธิ์ และ ในจุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย ภิกษุรูปนั้นย่อมเห็น เทพเจ้าทั้งหลายได้ตามความประสงค์. เมื่อก่อนเรามี นามว่าอันนภาระ เป็นคนยากจน เที่ยวรับจ้างหาเลี้ยงชีพ ได้ถวายอาหารแด่พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้าผู้เป็นสมณะ เรืองยศ. เพราะบุญกรรมที่ได้ทำมาแล้ว เราจึงได้มาเกิด ในศากยตระกูล พระประยูรญาติขนานนามให้เราว่า อนุรุทธะ เป็นผู้เพียบพร้อมไปด้วยการฟ้อนรำและขับร้อง มีเครื่องดนตรีบรรเลงปลุกให้รื่นเริงใจอยู่ทุกค่ำเช้า ต่อมา เราได้เห็นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ไม่มี ภัยแต่ที่ไหนๆ ได้ยังจิตให้เลื่อมใสในพระองค์ท่านแล้ว


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 158

ออกบวชเป็นบรรพชิต เราระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้ เรา ได้เคยเป็นท้าวสักกรินทร์เทวราชอยู่ในดาวดึงส์เทพพิภพ มาแล้ว เราได้ปราบปรามไพรีพ่ายแพ้แล้ว ขึ้นผ่านสมบัติ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ จอมมนุษย์นิกรในชมพูทวีป มี สมุทรสาครทั้ง ๔ เป็นขอบเขต ๗ ครั้ง ได้ปกครองปวง ประชานิกรโดยธรรม ด้วยไม่ต้องใช้อาชญาหรือศาสตรา ใดๆ เราระลึกชาติหนหลังในคราวที่อยู่ในมนุษยโลกได้ ดังนี้คือเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๗ ชาติ เป็นพระอินทร์ ๗ ชาติ รวมการท่องเที่ยวอยู่เป็น ๑๔ ชาติด้วยกัน ใน เมื่อสมาธิอันประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นธรรมอันเอกปรากฏ ขึ้น ที่เราได้ความสงบระงับกิเลส ทิพยจักษุของเราจึง บริสุทธิ์ เราดำรงอยู่ในฌานอันประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ รู้จุติและอุปบัติ การมา การไป ความเป็นอย่างนี้และ ความเป็นอย่างอื่น ของสัตว์ทั้งหลาย เรามีความคุ้นเคยกับ พระบรมศาสดาเป็นอย่างดี เราได้ทำตามคำสั่งสอน ของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว ปลงภาระอันหนักลงได้แล้ว ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพขึ้นได้แล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ภายใต้พุ่มกอไผ่ ใกล้บ้านเวฬุวคามแห่งแคว้นวัชชี.

จบอนุรุทธเถรคาถา


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 159

อรรถกถาอนุรุทธเถรคาถาที่ ๙

คาถาของท่านพระอนุรุทธเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ปหาย มาตาปิตโร ดังนี้. เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?

แม้พระเถระนี้ ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่ ปางก่อน บังเกิดเป็นกุฎุมพี ผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ. ในกาลแห่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าปทุมุตตระ วันหนึ่ง เขาไปวิหารฟังธรรมในสำนัก ของพระศาสดา ได้เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาภิกษุรูปหนึ่ง ไว้ใน ตำแหน่งผู้เลิศแห่งภิกษุผู้มีจักษุทิพย์ แม้ตนเองก็ปรารถนาฐานันดรนั้น จึงยังมหาทานให้เป็นไปตลอด ๗ วัน แด่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีภิกษุ บริวารแสนหนึ่ง ในวันที่ ๗ ได้ถวายผ้าชั้นเลิศแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า และ ภิกษุสงฆ์ แล้วกระทำปณิธานความปรารถนาไว้ ฝ่ายพระศาสดาทรง ทราบว่าความปรารถนาของเขาจะสำเร็จโดยไม่มีอันตราย จึงทรงพยากรณ์ ว่า ในอนาคตกาล จักเป็นผู้เลิศแห่งภิกษุผู้มีจักษุทิพย์ในศาสนาของ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าโคดม. แม้เขาก็ทำบุญทั้งหลายในพระศาสดานั้น เมื่อพระศาสดาปรินิพพานแล้ว เมื่อพระเจดีย์ทองสูง ๗ โยชน์ สำเร็จแล้ว ก็ทำการบูชาประทีปอย่างโอฬาร ด้วยต้นไม้ประดับประทีป และตัวประทีปหลายพัน โดยอธิษฐานว่า ขอจงเป็นอุปนิสัยปัจจัยแก่ ทิพยจักษุญาณเถิด.

เขากระทำบุญทั้งหลายจนตลอดชีวิตด้วยประการอย่างนี้ แล้วท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสป บังเกิดในเรือนกุฎุมพี ในเมืองพาราณสี ถึงความเป็นผู้รู้เดียงสาแล้ว เมื่อ พระศาสดาปรินิพพานแล้ว เมื่อสร้างพระเจดีย์ทองโยชน์หนึ่งสำเร็จแล้ว


ความคิดเห็น 6    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 160

ให้สร้างถาดสำริดเป็นจำนวนมาก บรรจุเต็มด้วยเนยใสอย่างใส แล้ววาง ก้อนงบน้ำอ้อยก้อนหนึ่งๆ ไว้ตรงกลาง วางล้อมพระเจดีย์ให้ขอบปาก กับขอบปาก (ถาด) จดกัน ส่วนตนให้สร้างถาดสำริดใหญ่ถาดหนึ่ง บรรจุ เต็มด้วยเนยใสอย่างใส. ตามไส้ ๑,๐๐๐ ไส้ ให้สว่างโพลง แล้วทูนศีรษะ เดินเวียนพระเจดีย์ตลอดคืนยังรุ่ง.

ในอัตภาพแม้นั้น เขาทำกุศลจนตลอดชีวิตด้วยประการอย่างนี้ จุติ จากอัตภาพนั้นไปบังเกิดในเทวโลก ดำรงอยู่ในเทวโลกนั้นจนตลอดอายุ จุติจากเทวโลกนั้น เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติ ได้บังเกิดในตระกูล เข็ญใจ ในเมืองพาราณสีนั่นแล ได้มีชื่อว่าอันนภาระ. นายอันนภาระนั้น กระทำการงานในเรือนของสุมนเศรษฐีเลี้ยงชีวิตอยู่. วันหนึ่ง เขาเห็น พระปัจเจกพุทธเจ้านามว่า อุปริฏฐะ ผู้ออกจากนิโรธสมาบัติแล้ว เหาะ จากภูเขาคันธมาทน์ มาลงใกล้ประตูเมืองพาราณสี ห่มจีวรแล้วเข้าไป บิณฑบาตในเมือง มีจิตเลื่อมใสรับบาตร เริ่มประสงค์จะใส่ภัตตาหาร ที่เขาแบ่งไว้ส่วนหนึ่ง ซึ่งเขาเก็บไว้เพื่อตน ในบาตรถวายพระปัจเจกพุทธเจ้า. ฝ่ายภรรยาของเขา ก็ใส่ภัตตาหารอันเป็นส่วนของตนในบาตร นั้นเหมือนกัน. เขานำบาตรนั้นไปวางในมือของพระปัจเจกพุทธเจ้า.

พระปัจเจกพุทธเจ้ารับบาตรนั้น กระทำอนุโมทนาแล้วหลีกไป. เพราะได้เห็นการกระทำนั้น ตกกลางคืน เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ฉัตรของ สุมนเศรษฐี ได้อนุโมทนาด้วยเสียงดังๆ ว่า โอ ทาน เป็นทานอย่างเยี่ยม นายอันนภาระประดิษฐานไว้ดีแล้วในพระอริฏฐปัจเจกพุทธเจ้า. สุมนเศรษฐีได้ฟังดังนั้นจึงคิดว่า ทานที่เทวดาอนุโมทนาอย่างนี้นี่แหละ เป็น อุดมทาน จึงขอส่วนบุญในทานนั้น. ฝ่ายนายอันนภาระได้ให้ส่วนบุญแก่


ความคิดเห็น 7    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 161

ท่านเศรษฐีนั้น. สุมนเศรษฐีมีจิตเลื่อมใสกับนายอันนภาระนั้น ได้ให้ ทรัพย์พันหนึ่งแก่เขาแล้วกล่าวว่า จำเดิมแต่นี้ไป ท่านไม่มีกิจในการ ทำงานด้วยมือของตน ท่านจงสร้างบ้านให้เหมาะสมแล้วอยู่ประจำเถิด.

เพราะเหตุที่บิณฑบาตซึ่งถวายแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้ออกจาก นิโรธสมาบัติ ย่อมมีวิบากโอฬารมากในวันนั้นเอง เพราะฉะนั้น ในวันนั้น สุมนเศรษฐีเมื่อจะไปเฝ้าพระราชา จึงได้พานายอันนภาระนั้นไปด้วย. แม้พระราชาก็ทรงทอดพระเนตรด้วยความเอื้อเฟื้อ. เศรษฐีกราบทูลว่า ข้าแต่มหาราช บุรุษผู้นี้สมควรเป็นผู้จะพึงทอดพระเนตรทีเดียว พระเจ้าข้า แล้วกราบทูลถึงบุญที่เขาทำในกาลนั้น ทั้งความที่คนได้ให้ทรัพย์พันหนึ่ง แก่เขาให้ทรงทราบ. พระราชาทรงสดับดังนั้น ก็ทรงโปรด ได้ประทาน ทรัพย์พันหนึ่ง แล้วทรงสั่งว่า เจ้าจงสร้างบ้านอยู่ในที่ชื่อโน้น. เมื่อ นายอันนภาระกำลังชำระสถานที่นั้นอยู่ หม้อทรัพย์ใหญ่ก็ผุดขึ้น เขาเห็น ดังนั้นจึงกราบทูลพระราชาให้ทรงทราบ. พระราชารับสั่งให้ขนทรัพย์ ทั้งหมดมากองไว้แล้วตรัสถามว่า ในนครนี้ ในเรือนของใครมีทรัพย์ ประมาณเท่านี้บ้าง. อำมาตย์ราชบริพารพากันกราบทูลว่า ของใครๆ ไม่มีพระเจ้าข้า. จึงตรัสว่า ถ้าอย่างนั้น อันนภาระนี้ จงเป็นผู้ชื่อว่า อันนภารเศรษฐีในนครนี้ ดังนี้แล้ว พระราชทานฉัตรเศรษฐีแก่เขาใน วันนั้นเอง.

จำเดิมแต่นั้น เขากระทำกุศลกรรมจนตลอดอายุ จุติจากอัตภาพ นั้น ท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้ถือปฏิสนธิในพระราชมนเทียรของพระเจ้าสุกโกทนศากยะ ในเมือง กบิลพัสดุ์ ได้มีพระนามว่าอนุรุทธะ. เจ้าอนุรุทธะนั้นเป็นพระกนิษฐ-


ความคิดเห็น 8    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 162

ภาดาของเจ้ามหานามศากยะ เป็นโอรสของพระเจ้าอาของพระศาสดา เป็นผู้ละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง มีบุญมาก อันพวกหญิงนักฟ้อนผู้ประดับประดา แวดล้อมอยู่ในปราสาท ๓ หลังอันเหมาะสมแก่ฤดูทั้ง ๓ เสวยสมบัติดุจ- เทวดา เข้าไปเฝ้าพระศาสดาผู้เสด็จประทับอยู่ในอนุปิยอัมพวัน กับกุมาร ทั้งหลายมีภัททิยกุมารเป็นต้น ผู้อันเจ้าศากยะทั้งหลาย ซึ่งพระเจ้าสุทโธทนมหาราชให้กำลังใจสั่งไปเพื่อเป็นบริวารของพระศาสดา จึงบวชใน สำนักของพระศาสดา ก็ในภายในพรรษานั่นเอง ทำทิพยจักษุให้ บังเกิด แล้วเรียนเอากรรมฐานในสำนักของพระธรรมเสนาบดี แล้วไปยัง ปาจีนวังสทายวัน ในเจติยรัฐ กระทำสมณธรรมอยู่ ตรึกถึงมหาปุริสวิตก ได้ ๗ ประการ ไม่อาจรู้ประการที่ ๘. พระศาสดาทรงทราบความเป็นไป ของเธอ จึงตรัสมหาปุริสวิตกข้อที่ ๘ แล้วทรงแสดงมหาอริยวังสปฏิปทา อันประดับด้วยความยินดีในการเจริญสันโดษด้วยปัจจัย ๔.

ท่านพระอนุรุทธะนั้น เจริญวิปัสสนาตามแนวแห่งพระธรรมเทศนา นั้น ได้ทำให้แจ้งพระอรหัตมีอภิญญาและปฏิสัมภิทาเป็นองค์ประกอบ. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในอปทานว่า๑

เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่าสุเมธ เชษฐบุรุษของโลก เป็นนระผู้องอาจ ผู้นายกของโลก เสด็จหลีกเร้นอยู่ จึงได้เข้าไปเฝ้าพระสุเมธสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นนายกของโลก แล้วได้ประคองอัญชลี ทูลอ้อนวอน พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดว่า ข้าแต่พระมหาวีรเจ้าผู้


๑. ขุ. อ. ๓๒/ข้อ ๖.


ความคิดเห็น 9    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 163

เชษฐบุรุษของโลกเป็นนระผู้องอาจ ขอจงทรงอนุเคราะห์ เถิด ข้าพระองค์ขอถวายประทีป แก่พระองค์ผู้เข้าณานอยู่ ที่ควงไม้ พระสยัมภูผู้ประเสริฐ ธีรเจ้านั้น ทรงรับแล้ว จึงห้อยไว้ที่ต้นไม้ ประกอบยนต์ในกาลนั้น เราได้ถวาย ไส้ตะเกียงน้ำมันพันหนึ่ง แก่พระพุทธเจ้าผู้เผาพันธุ์ของ โลก ประทีปลุกโพลงอยู่ ๗ วันแล้วดับไปเอง ด้วยจิตอัน เลื่อมใสนั้น และด้วยการตั้งเจตนาไว้ เราละกายมนุษย์ แล้วได้เข้าถึงวิมาน เมื่อเราเข้าถึงความเป็นเทวดา วิมาน อันบุญกุศลนิรมิตไว้เรียบร้อย ย่อมรุ่งโรจน์โดยรอบ นี้ เป็นผลแห่งการถวายประทีป เราได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๒๘ ครั้ง เวลานั้น เรามองเห็นได้ตลอดโยชน์หนึ่งโดย รอบทั้งกลางวันกลางคืน เราย่อมไพโรจน์ทั่วโยชน์หนึ่ง โดยรอบ ในกาลนั้น ย่อมครอบงำเทวดาทั้งปวงได้ นี้เป็น ผลแห่งการถวายประทีป เราได้เป็นจอมเทวดาเสวยราช สมบัติในเทวโลก ๓๐ กัป ใครๆ ย่อมไม่ดูหมิ่นเราได้ นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป เราได้บรรลุทิพยจักษุมอง เห็นได้ตลอดพันโลกด้วยญาณในศาสนาของพระศาสดา นี้เป็นผลแห่งการถวายประทีป พระสัมพุทธเจ้าพระนามว่า สุเมธ เสด็จอุบัติในกัปที่ ๓๐,๐๐๐ นับแต่กัปนี้ เรามีจิต ผ่องใสได้ถวายประทีปแก่พระองค์ คุณวิเศษเหล่านี้คือ ปฏิสัมภิทา ๔...ฯ ลฯ... คำสอนของพระพุทธเจ้าเราได้ ทำเสร็จแล้ว.


ความคิดเห็น 10    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 164

ครั้นในกาลต่อมา พระศาสดาประทับนั่งในท่ามกลางหมู่พระอริยเจ้า ในพระเชตวันมหาวิหาร ทรงสถาปนาท่านไว้ในตำแหน่งผู้เลิศแห่ง ภิกษุทั้งหลายผู้มีจักษุทิพย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อนุรุทธะนี้เป็นเลิศ แห่งภิกษุสาวกทั้งหลายของเราผู้มีจักษุทิพย์.

ท่านเสวยวิมุตติสุขอยู่ วันหนึ่ง พิจารณาข้อปฏิบัติของตนแล้วเกิด ปีติโสมนัส ได้กล่าวคาถาด้วยสามารถอุทานมีอาทิว่า เราละพระชนก และพระชนนี ดังนี้. ฝ่าอาจารย์บางพวกกล่าวว่า พระสังคีติกาจารย์ ทั้งหลาย เมื่อจะประกาศการบรรพชาและการบรรลุพระอรหัตของพระเถระ ได้กล่าวคาถา ๔ คาถาข้างต้น คาถาต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงมีพระทัยโปรดปรานอริยวังสปฏิบัติของพระเถระ จึงตรัสไว้. คาถา นอกนี้แม้ทั้งหมด พระเถระเท่านั้นกล่าวไว้ตามเหตุการณ์นั้นๆ. ดังนั้น คาถาเหล่านี้ทั้งที่พระเถระกล่าวไว้ ทั้งที่ตรัสไว้โดยเฉพาะพระเถระ ก็พึง ทราบว่า เป็นคาถาของพระเถระแม้โดยประการทั้งปวง, คือท่านกล่าว คาถาเหล่านี้ไว้ว่า

พระอนุรุทธะละพระชนกชนนี ละพระประยูรญาติ ละเบญจกามคุณได้แล้ว เพ่งฌานอยู่ บุคคลผู้เพียบพร้อม ด้วยการฟ้อนรำขับร้อง มีดนตรีบรรเลงปลุกให้รื่นเริงใจ อยู่ทุกเช้าค่ำ ก็ไม่บรรลุถึงความบริสุทธิ์ด้วยการฟ้อนรำ ขับร้องนั้นได้ เพราะยังเป็นผู้ยินดีในกามคุณอันเป็นวิสัย แห่งมาร. พระอนุรุทธะก้าวล่วงเบญจกามคุณนั้นแล้ว ยินดีในพระพุทธศาสนา ก้าวล่วงโอฆะทั้งปวงแล้ว เพ่ง ฌานอยู่. พระอนุรุทธะได้ก้าวล่วงกามคุณเหล่านี้ คือ


ความคิดเห็น 11    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 165

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอันรื่นรมย์ใจ เพ่ง ฌานอยู่. พระอนุรุทธะเป็นนักปราชญ์ หาอาสวะมิได้ ผู้เดียวไม่มีเพื่อน กลับจากบิณฑบาตแล้ว เที่ยวแสวงหา ผ้าบังสุกุลอยู่. พระอนุรุทธะเป็นนักปราชญ์ มีปรีชา หาอาสวะมิได้ เที่ยวเลือกหาเอาแต่ผ้าบังสุกุล ครั้นได้ มาแล้ว ก็มาซักย่อมเอาเองแล้วนุ่งห่ม. บาปธรรมอัน เศร้าหมองเหล่านี้ ย่อมมีแก่ภิกษุผู้มักมาก ไม่สันโดษ ระคนด้วยหมู่ มีจิตฟุ้งซ่าน. อนึ่ง ภิกษุใดเป็นผู้มีสติ มักน้อย สันโดษ ไม่มีความขัดเคือง ยินดีในวิเวก ชอบ สงัด ปรารภความเพียรเป็นนิตย์ กุศลธรรมซึ่งเป็นฝ่าย ให้ตรัสรู้เหล่านี้ ย่อมมีแก่ภิกษุนั้น ทั้งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงแสวงหาคุณอันยิ่งใหญ่ ก็ตรัสสรรเสริญ ภิกษุนั้นว่า เป็นผู้หมดอาสวะ. พระศาสดาผู้ยอดเยี่ยมใน โลก ทรงทราบความดำริของเราแล้ว เสด็จมาหาเราด้วย มโนมยิทธิทางกาย เมื่อใดความดำริได้มีแก่เรา เมื่อนั้น พระพุทธเจ้าทรงทราบความดำริของเราแล้ว ได้เสด็จ เข้ามาหาเราด้วยพระฤทธิ์ แล้วทรงแสดงธรรมอันยิ่ง แก่เรา พระพุทธเจ้าผู้ทรงยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า ได้ทรงแสดงธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้าแก่เรา เรารู้ทั่วถึง พระธรรมเทศนาของพระองค์แล้ว เป็นผู้ยินดีในพระศาสนา ปฏิบัติตามคำพร่ำสอนอยู่ เราบรรลุวิชชา ๓ โดยลำดับ ได้ทำตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเสร็จแล้ว.


ความคิดเห็น 12    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 166

เราถือการไม่นอนเป็นวัตรมาเป็นเวลา ๕๕ ปี เรากำจัด ความง่วงเหงาหาวนอนมาแล้วเป็นเวลา ๒๕ ปี ในเวลา ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ภิกษุ ทั้งหลายถามเราว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว หรือยัง เราได้ตอบว่า ลมหายใจออกและหายใจเข้า มิได้มีแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีพระหฤทัยตั้งมั่น ผู้คงที่ แต่พระองค์ยังไม่ปรินิพพานก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้มี พระจักษุ ผู้ไม่มีตัณหาเป็นเครื่องทำใจให้หวั่นไหว ทรง ทำนิพพานให้เป็นอารมณ์ คือเสด็จออกจากจตุตถฌาน แล้ว จึงจะเสด็จปรินิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง อดกลั้นเวทนาด้วยพระหฤทัยอันเบิกบาน ก็เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้เป็นดวงประทีปของชาวโลกพร้อมเทวโลก เสด็จดับขันธปรินิพพาน ความพ้นพิเศษแห่งพระหฤทัย ได้มีขึ้นแล้ว บัดนี้ ธรรมเหล่านี้อันมีสัมผัสเป็นที่ ๕ ของ พระมหามุนี ได้สิ้นสุดลงแล้ว ในเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จปรินิพพานแล้ว จิตและเจตสิกธรรมเหล่าอื่น จักไม่มีอีกต่อไป. ดูก่อนเทวดา บัดนี้การอยู่อีกต่อไป ด้วยอำนาจการอุบัติในเทพนิกายย่อมไม่มี ชาติสงสาร สิ้นไปแล้ว บัดนี้การเกิดในภพใหม่มิได้มี. ภิกษุใดรู้แจ้ง มนุษยโลก เทวโลกพร้อมทั้งพรหมโลก อันมีประเภท ตั้งพันได้ในเวลาครู่เดียว ทั้งเป็นผู้เชี่ยวชาญในคุณ คือ อิทธิฤทธิ์ และในการจุติและอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย


ความคิดเห็น 13    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 167

ภิกษุรูปนั้นย่อมเห็นเทพเจ้าทั้งหลายได้ตามความประสงค์. เมื่อก่อนเรามีนามว่า อันนภาระ เป็นคนยากจนเที่ยว รับจ้างหาเลี้ยงชีพ ได้ถวายอาหารแก่พระอุปริฏฐปัจเจกพุทธเจ้า ผู้เป็นสมณะผู้เรื่องยศ. เพราะบุญกรรมที่ได้ทำ มาแล้ว เราจึงได้มาเกิดในศากยตระกูล พระประยูรญาติ ได้ขนานนามให้เราว่า อนุรุทธะ เป็นผู้เพียบพร้อมด้วย การฟ้อนรำและขับร้อง มีเครื่องดนตรีบรรเลงปลุกให้ รื่นเริงใจอยู่ทุกค่ำเช้า ต่อมาเราได้เห็นพระบรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ไม่มีภัยแต่ที่ไหนๆ ได้ยังจิตให้ เลื่อมใสในพระองค์ท่านแล้ว ออกบวชเป็นบรรพชิต เราระลึกถึงชาติก่อนๆ ได้ เราได้เคยเป็นท้าวสักกรินทร์ เทวราช อยู่ดาวดึงส์เทพพิภพมาแล้ว เราได้ปราบปราม ไพรีพ่ายแพ้แล้ว ขึ้นผ่านสมบัติเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ จอมมนุษย์นิกรในชมพูทวีป มีสมุทรสาครทั้ง ๔ เป็น ขอบเขต ๗ ครั้ง ได้ปกครองปวงประชานิกรโดยธรรม ด้วยไม่ต้องใช้อาชญาหรือศาสตราใดๆ เราระลึกชาติหน หลังในคราวที่อยู่ในมนุษยโลกได้ ดังนี้ คือเป็นพระเจ้า จักรพรรดิ ๗ ชาติ เป็นพระอินทร์ ๗ ชาติ รวมการ ท่องเที่ยวอยู่เป็น ๑๔ ชาติด้วยกัน. ในเมื่อสมาธิอันประกอบด้วยองค์เป็นธรรมอันเอกปรากฏขึ้น ที่เราได้ความ สงบระงับกิเลส ทิพยจักษุของเราจึงบริสุทธิ์. เราดำรงอยู่ ในฌานอันประกอบด้วยองค์ ๕ ประการ รู้จุติและอุปบัติ


ความคิดเห็น 14    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 168

การมา การไป ความเป็นอย่างนี้ แลความเป็นอย่างอื่น ของสัตว์ทั้งหลาย เรามีความคุ้นเคยกับพระบรมศาสดา เป็นอย่างดี เราได้ทำตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เสร็จแล้ว ปลงภาระอันหนักลงได้แล้ว ถอนตัณหาเครื่อง นำไปสู่ภพขึ้นได้แล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะ จักนิพพานด้วย อนุปาที่เสสนิพพานธาตุ ภายใต้พุ่มกอไผ่ ใกล้บ้าน เวฬุวคาม แคว้นวัชชี.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปหาย แปลว่า ละแล้ว. บทว่า มาตาปิตโร แปลว่า พระชนนีและพระชนก.

จริงอยู่ ในข้อนี้มีอธิบายดังนี้ :- ใครๆ อื่นถูกความเสื่อมญาติ และความเสื่อมโภคทรัพย์ครอบงำ จึงบวช และบวชแล้วก็ขวนขวายกิจ อื่นอยู่ฉันใด เราฉันนั้นหามิได้ ก็เราละวงญาติใหญ่และกองโภคทรัพย์ มาก ไม่อาลัยในกามทั้งหลายบวชแล้ว.

บทว่า ฌายติ ได้แก่ เป็นผู้ขวนขวายฌานแม้ทั้งสอง คืออารัมมณู- ปนิชฌาน และลักขณูปนิชฌานอยู่.

บทว่า สเมโต นจฺจคีเตหิ ได้แก่ เป็นผู้พรั่งพร้อมด้วยการ ฟ้อนและการขับ อธิบายว่า ดูการฟ้อน ฟังการขับร้องอยู่. บางอาจารย์ กล่าวว่า สมฺมโต ดังนี้ก็มี อธิบายว่า อันเขาบูชาแล้วด้วยการฟ้อนและ การขับร้อง.

บทว่า สมฺมตาฬปฺปโพธโน ความว่า เป็นผู้อันเขาพึงปลุกให้ตื่น ในเวลาใกล้รุ่งด้วยเสียงดนตรีทั้งหลาย.

บทว่า น เตน สุทฺธิมชฺฌคํ ความว่า เราไม่ได้บรรลุถึงความ


ความคิดเห็น 15    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 169

บริสุทธิ์ในสงสาร เพราะการบริโภคกามนั้น.

บทว่า มารสฺส วิสเย รโต ได้แก่ เป็นผู้ยินดีในกามคุณอัน เป็นอารมณ์ของกิเลสมาร อธิบายว่า ไม่เป็นผู้มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า สังสารสุทธิ ความบริสุทธิ์ในสงสาร ย่อมมีเพราะการบริโภคกามคุณอันเป็น อารมณ์ของกิเลสมาร. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ก้าวล่วงเบญจ- กามคุณนั้น ดังนี้เป็นต้น.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอตํ ได้แก่ กามคุณทั้ง ๕ ประการ นั้น. บทว่า สมติกฺกมฺม แปลว่า ก้าวล่วงพ้นไปแล้ว อธิบายว่า เป็น ผู้ไม่ห่วงใยละทิ้งไป.

บทว่า สพฺโพฆํ ได้แก่ โอฆะทั้งปวง มีโอฆะคือกามเป็นต้น.

เพื่อจะแสดงกามคุณ ๕ โดยสรุป จึงกล่าวคำมีอาทิว่า รูป เสียง ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มโนรมา มีวิเคราะห์ดังต่อไปนี้ :- กามคุณมีอาทิว่า เสียง ชื่อว่า เป็นที่รื่นรมย์ใจ คือเป็นที่ทำใจให้เอิบอาบ เพราะทำใจให้ยินดี โดยอรรถว่าเป็นที่ตั้งแห่งโลภะ.

บทว่า ปิณฺฑปาตมติกฺกนฺโต ได้แก่ ผู้ล่วงพ้นการรับบิณฑบาต อธิบายว่า กลับจากการรับบิณฑบาต.

บทว่า เอโก ได้แก่ เป็นผู้เดียวไม่มีปัจฉาสมณะ.

บทว่า อหุติโย ได้แก่ ผู้หมดตัณหา. จริงอยู่ ตัณหาชื่อว่าเป็น เพื่อนสองของตน. เหมือนดังที่ตรัสไว้ว่า บุรุษมีตัณหาเป็นเพื่อนสอง.

บทว่า เอสติ แปลว่า แสวงหา.

บทว่า วิจินิ ความว่า เมื่อแสวงหา ได้เลือกหาในที่ที่เกิดผ้า บังสุกุล มีกองหยากเยื่อเป็นต้นในที่นั้นๆ.


ความคิดเห็น 16    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 170

บทว่า อคฺคหิ ความว่า ครั้นเลือกหาแล้ว ไม่เกลียดแม้ผ้าที่เปื้อน ของไม่สะอาด จึงถือเอา. บทว่า โธวิ แปลว่า ทำให้สะอาดแล้ว.

บทว่า รชยิ ได้แก่ ซักแล้วเย็บให้ติดกัน แล้วย้อมด้วยการย้อม อันเป็นกัปปิยะของสมควร.

บทว่า ธารยิ ได้แก่ ครั้นย้อมแล้ว ทำพินทุกัปแล้วใช้ครอง, คือนุ่งและห่ม.

บัดนี้ พระเถระเมื่อแสดงโอวาทที่พระศาสดาทรงประทานในปาจีนวังสทายวัน และความที่ตนถึงที่สุดแห่งโอวาทนั้น จึงได้กล่าวคาถามีอาทิ ว่า ผู้มักมาก ไม่สันโดษ.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มหิจฺโฉ ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความ อยากได้ปัจจัยมาก อธิบายว่า ปรารถนาปัจจัยอันยิ่งใหญ่และมาก.

บทว่า อสนฺตุฏฺโ ได้แก่ ผู้ไม่สันโดษ คือเว้นจากสันโดษมี ยถาลาภสันโดษเป็นต้น.

บทว่า สํสฏฺโ ได้แก่ ผู้ระคนด้วยคฤหัสถ์และบรรพชิต ด้วย การระคนอันไม่ควร.

บทว่า อุทฺธโต แปลว่า ผู้ฟุ้งซ่าน.

บทว่า ตสฺส ได้แก่ บุคคลที่กล่าวโดยนัยมีอาทิว่า ผู้มักมาก.

บทว่า ธมฺมา ได้แก่ ธรรมทั้งหลายเช่นนี้ คือความมักมาก ความไม่สันโดษ ความเป็นผู้ระคนด้วยหมู่ ความฟุ้งซ่าน. ชื่อว่าบาป เพราะอรรถว่าลามก.

บทว่า สงฺกิเลสา ได้แก่ ธรรมทั้งหลาย ชื่อว่าเศร้าหมอง เพราะ กระทำความเศร้าหมองให้แก่จิตนั้น.


ความคิดเห็น 17    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 171

บทว่า สโต จ โหติ อปฺปิจฺโฉ ความว่า ก็ในกาลใด บุคคล นี้ เสพ คบ เข้าไปนั่งใกล้กัลยาณมิตร ฟังสัทธรรม ใส่ใจโดยแยบคาย เป็นผู้มีสติ และละความมักมากเสีย เป็นผู้มักน้อย. ในกาลนั้น ชื่อว่า เป็นผู้สันโดษ เพราะละความไม่สันโดษ. ชื่อว่าผู้ไม่ขัดเคือง เพราะละ ความฟุ้งซ่านอันกระทำความขัดเคืองจิต. ผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตเป็นสมาธิ ชื่อว่าผู้ยินดีในควานสงัด เพราะละการคลุกคลีกับหมู่ ชื่อว่า เป็นผู้สงัดแล้ว เพราะยินดียิ่งในความวิเวก ด้วยความหน่าย (และ) ด้วยความเอิบอิ่มใน ธรรม คือมีใจดี มีจิตยินดี ชื่อว่าปรารภความเพียร เพราะละความ เกียจคร้าน.

บุคคลนั้นผู้ประกอบด้วยคุณ มีความมักน้อยเป็นต้นอย่างนี้ ย่อมมี โพธิปักขิยธรรมอันนับเนื่องในมรรค มี ๓๗ ประเภทมีสติปัฏฐานเป็นต้น อันสงเคราะห์เอาวิปัสสนา ๓ อย่าง ชื่อว่าเป็นกุศล เพราะอรรถว่าเกิด จากความฉลาด.

บุคคลนั้นผู้ประกอบด้วยโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นผู้ไม่มี อาสวะ จำเดิมแต่ขณะแห่งอรหัตตมรรค เพราะทำอาสวะทั้งหลายให้สิ้นไป ด้วยประการทั้งปวง อธิบายว่า ด้วยอำนาจการให้ถึงที่สุดในมหาปุริสวิตก ในป่าปาจีนวังสทายวัน อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้แสวงหาคุณใหญ่ตรัสไว้ ดังนี้ คือด้วยประการอย่างนี้.

บทว่า มม สงฺกปฺปมญฺาย ความว่า ทรงรู้ความดำริของเรา ผู้ปรารภมหาปุริสวิตกโดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมนี้ สำหรับผู้มักน้อย ธรรมนี้ไม่ใช่สำหรับผู้มักมาก และซึ่งตั้งอยู่โดยภาวะ ไม่สามารถเพื่อจะให้มหาปุริสวิตกเหล่านั้นถึงที่สุดลงได้.


ความคิดเห็น 18    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 172

บทว่า มโนมเยน ได้แก่ ดุจสำเร็จด้วยใจ อธิบายว่า เปลี่ยน แปลงไปได้เหมือนกับเนรมิตด้วยใจ.

บทว่า อิทฺธิยา ได้แก่ ด้วยอธิษฐานฤทธิ์ซึ่งเป็นไปอย่างนี้ว่า กายนี้จงเป็นเหมือนจิตนี้. บทว่า ยทา เม อหุ สงฺกปฺโป มีวาจาประกอบความว่า ใน กาลใด เราได้มีความปริวิตกว่า มหาปุริสวิตกข้อที่ ๘ เป็นเช่นไรหนอแล ในกาลนั้น ทรงทราบความดำริของเรา ได้เสด็จเข้าไปหาเราด้วยพระฤทธิ์.

บทว่า อุตฺตริ เทสยิ ความว่า ทรงแสดงสูงขึ้นให้มหาปุริสวิตก ข้อที่ ๘ ครบบริบูรณ์ว่า ภิกษุทั้งหลาย ธรรมนี้สำหรับผู้ไม่มีธรรมเครื่อง เนิ่นช้าเป็นที่มายินดี ผู้ยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า ไม่ใช่สำหรับผู้มี ธรรมเครื่องเนิ่นช้าเป็นที่มายินดี ผู้ยินดีในธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า. ก็ พระเถระเมื่อจะแสดงธรรมที่ทรงแสดงแล้วนั้น จึงกล่าวว่า พระพุทธเจ้า ทรงยินดีในธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า ทรงแสดงธรรมเครื่องไม่เนิ่นช้า.

อธิบายว่า กิเลสทั้งหลายมีราคะเป็นต้น ชื่อว่า ปปัญจธรรม ธรรม เครื่องเนิ่นช้า โลกุตรธรรมทั้งหลายชื่อว่า นิปปปัญจธรรม ธรรมเครื่อง ไม่เนิ่นช้า เพราะเข้าไปสงบระงับกิเลสเหล่านั้น และเพราะกิเลสเหล่านั้น ไม่มี, พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงยินดี คือทรงยินดียิ่งในธรรมเครื่องไม่ เนิ่นช้านั้น ได้ทรงแสดงธรรมตามที่ทรงบรรลุเช่นนั้น คือทรงประกาศ พระธรรมเทศนาว่าด้วยสัจจะทั้ง ๔ ที่พระองค์ทรงยกขึ้นแสดงเอง.

บทว่า ตสฺสาหํ ธมฺมมญฺาย ความว่า เรารู้พระธรรมเทศนา ของพระศาสดานั้นแล้ว ปฏิบัติตามที่ทรงพร่ำสอนอยู่ เป็นผู้ยินดี คือ ยินดียิ่งในคำสอนอันสงเคราะห์ด้วยสิกขา ๓.


ความคิดเห็น 19    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 173

พระเถระครั้นแสดงการสมาคมการอยู่ร่วมของตน ซึ่งเป็นประโยชน์ อันพระศาสดาทรงให้สำเร็จแล้วด้วยการสมาคมนั้น บัดนี้เมื่อจะแสดง ความเป็นผู้ปรารภความเพียร จำเดิมแต่กาลที่คนบวชแล้ว และการเสีย สละความสุขในการนอน และความสุขในการนอนข้าง เพราะความเป็น ผู้ไม่ห่วงในร่างกาย และความเป็นผู้ปรารภความเพียร จำเดิมแต่กาลที่มี มิทธะน้อย จึงกล่าวคาถาว่า ปญฺจปญฺาสวสฺสานิ ดังนี้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโต เนสชฺชิโก อหํ ความว่า จำเดิมแต่กาลที่เราได้เห็นคุณมีอาทิอย่างนี้ว่า ความเกื้อกูลแก่การประกอบ ความเพียร ความประพฤติของสัปบุรุษอันเกี่ยวเนื่องด้วยกรรมฐาน และ ความประพฤติขัดเกลากิเลส แล้วเป็นผู้ถือการนั่งเป็นวัตรนั้นเป็นเวลา ๕๕ ปี.

บทว่า ยโต มิทฺธํ สมูหตํ ความว่า จำเดิมแต่กาลที่เราเสีย สละการนอนหลับนั้นเป็นเวลา ๒๕ ปี. บางอาจารย์กล่าวว่า พระเถระ เป็นผู้ถือการนั่งเป็นวัตร ๕๕ ปี เบื้องต้นไม่ได้หลับ ๒๕ ปี ต่อแต่นั้น จึงได้หลับในเวลาปัจฉิมยาม เพราะร่างกายอ่อนเปลี้ย.

คาถา ๓ คาถามีอาทิว่า นาหุ อสฺสาสปสฺสาสา นี้ พระเถระถูก ภิกษุทั้งหลายถามในเวลาที่พระศาสดาเสด็จปรินิพพานว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้วหรือ เมื่อจะประกาศภาวะคือการปรินิพพาน จึงกล่าวไว้.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นาหุ อสฺสาสปสฺสาสา ิตจิตฺตสฺส ตาทิโน ความว่า ลมอัสสาสปัสสาสะมิได้มีแก่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ผู้คงที่ ผู้เข้าสมาบัติทุกอย่างอื่นเกลื่อนกล่นด้วยอาการต่างๆ โดยอนุโลม


ความคิดเห็น 20    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 174

และปฏิโลม แล้วออกจากสมาบัติในตอนหลังสุด มีพระหฤทัยตั้งมั่นอยู่ ในจตุตถฌาน.

ด้วยคำนั้น ท่านแสดงว่า กายสังขารของท่านผู้เข้าจตุตถฌาน ย่อม ดับไป และลมอัสสาสปัสสาสะ ท่านเรียกว่ากายสังขาร เพราะเหตุนั้น จำเดิมแต่ขณะอยู่ในจตุตถฌาน ลมอัสสาสปัสสาสะจึงไม่มี.

ชื่อว่าผู้ไม่หวั่นไหว เพราะไม่มีความหวั่นไหวกล่าวคือตัณหา อีก อย่างหนึ่ง ชื่อว่าผู้ไม่หวั่นไหว เพราะเป็นผู้ตั้งมั่นอยู่ในสมาธิ.

บทว่า สนฺติมารพฺภ ได้แก่ ปรารภ คืออาศัย หมายเอาอนุ- ปาทิเสสนิพพาน.

บทว่า จกฺขุมา ได้แก่ ผู้มีจักษุด้วยจักษุ ๕. บทว่า ปรินิพฺพุโต แปลว่า ปรินิพพานแล้ว.

จริงอยู่ ในคำนี้มีอธิบายดังต่อไปนี้ :- พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง เข้าผลสมาบัติในจตุตถฌานอันมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วเสด็จปริ- นิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ในลำดับแห่งจตุตถฌานนั้นนั่นแหละ.

บทว่า อสลฺลีเนน ได้แก่ มีพระหฤทัยไม่หดหู่ คือเบิกบานดีแท้.

บทว่า เวทนํ อชฺฌวาสยิ ความว่า เป็นผู้มีสัมปชัญญะ ทรงอดกลั้น เวทนาอันเกิดในเวลาใกล้มรณะ. คือไม่เป็นไปตามเวทนาดิ้นรนไปรอบๆ.

ด้วยบทว่า ปชฺโชตสฺเสว นิพฺพานํ วิโมกฺโข เจตโส อหุ ท่าน แสดงว่า ประทีปที่ลุกโพลง อาศัยน้ำมัน อาศัยไส้ จึงโพลงอยู่ เมื่อ น้ำมันและไส้หมด ย่อมดับไป และดับแล้ว ย่อมไม่ไปอยู่ที่ไหนๆ ย่อม หายไปโดยแท้ ย่อมถึงการมองไม่เห็นฉันใด ขันธสันดานก็ฉันนั้น อาศัย


ความคิดเห็น 21    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 175

กิเลสและอภิสังขารเป็นไปอยู่ เมื่อกิเลสและอภิสังขารเหล่านั้นสิ้นไป ย่อม ดับไป และดับไปแล้วย่อมไม่ตั้งอยู่ในที่ไหนๆ ย่อมอันตรธานไปโดยแท้ ย่อมถึงการมองไม่เห็นเลย ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า นักปราชญ์ ทั้งหลายย่อมดับไป เหมือนดวงประทีปนี้ดับไปฉะนั้น และมีอาทิว่า เหมือนเปลวไฟถูกกำลังลมเป่าฉะนั้น.

บทว่า เอเต นี้ ท่านกล่าวโดยความที่ธรรมทั้งหลายอันเป็นไปใน พระสันดารของพระศาสดา ในขณะเวลาจะปรินิพพาน ได้ประจักษ์แก่ ตน. ชื่อว่ามีครั้งสุดท้าย เพราะเบื้องหน้าแต่นั้นไม่มีการเกิดขึ้นแห่งจิต. บทว่า ทานิ แปลว่า บัดนี้.

บทว่า ผสฺสปญฺจมา นี้ ท่านกล่าวโดยความที่ธรรมทั้งหลายมี ผัสสะเป็นที่ ๕ ปรากฏขึ้น. จริงอย่างนั้น แม้ในกถาว่าด้วยจิตตุปบาท ท่านก็กล่าวธรรมมีผัสสะเป็นที่ ๕ ไว้ข้างต้น.

บทว่า อญฺเ ธมฺมา ได้แก่ ธรรม คือจิตและเจตสิกเหล่าอื่น พร้อมด้วยที่อาศัย ไม่ใช่จิตและเจตสิกในเวลาปรินิพพาน. ถามว่า แม้จิต และเจตสิกในเวลาปรินิพพาน ก็จักไม่มีเลยมิใช่หรือ? ตอบว่า จักไม่มี ก็จริง แต่เพราะไม่มีความกินแหนงใจ ไม่ควรกล่าวหมายเอาจิตและ เจตสิกธรรมเหล่านั้นว่า จักไม่มี. หากจะพึงมีความหนึ่งใจว่า ก็ธรรม อื่นจักมี ดุจมีแก่พระเสขะและปุถุชนไหม ดังนั้น เพื่อจะห้ามความ แหนงใจข้อนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรมเหล่าอื่นจักไม่มี ดังนี้.

พระเถระเรียกเทวดาว่า ชาลินิ ในคำว่า นตฺถิ ทานิ ปุนาวาโส เทวกายสฺมึ ชาลินิ นี้ อธิบายว่า บัดนี้เราไม่มีการอยู่อีกต่อไป ด้วย อำนาจการเกิดในเทวดา คือในเทพนิกาย ได้แก่ในหมู่เทพ. ท่านกล่าว


ความคิดเห็น 22    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 176

เหตุในข้อนั้นด้วยบทมีอาทิว่า วิกฺขีโณ หมดสิ้นแล้ว.

ได้ยินว่า เทวดานั้นเป็นหญิงบำเรอของพระเถระในชาติก่อน เพราะฉะนั้น บัดนี้ เทวดานั้นเห็นพระเถระแก่เฒ่าแล้ว จึงมาด้วยความ สิเนหาอันมีในก่อน อ้อนวอนขอให้อุปบัติในเทวดาว่า ท่านจงตั้งจิตไว้ ในเทพนิกายที่ท่านเคยอยู่ในกาลก่อน. ลำดับนั้น พระเถระได้ให้คำตอบ แก่เทวดานั้น ด้วยคำมีอาทิว่า บัดนี้ (การอยู่ในภพใหม่) ไม่มี. เทวดา ได้ฟังดังนั้น หมดความหวัง ได้หายไปในที่นั้นเอง.

ลำดับนั้น พระเถระเหาะขึ้นสู่เวหาส เมื่อจะประกาศอานุภาพของ ตน แก่เพื่อนสพรหมจารีทั้งหลาย จึงกล่าวคาถาว่า ยสฺส มุหุตฺเตน ดังนี้.

ความแห่งคำอันเป็นคาถานั้นว่า ภิกษุขีณาสพใดรู้แจ้ง คือรู้ได้โดย ชอบ ได้แก่ กระทำให้ประจักษ์ซึ่งโลกพร้อมกับพรหมโลกตั้งพันประเภท คือพันประการ ได้แก่ ประเภทโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฎิ. จักรวาล๑ โดยกาลเพียงครู่เดียวเท่านั้น ภิกษุนั้นเป็นผู้ถึงความชำนาญในคุณ คืออิทธิฤทธิ์ คือในความถึงพร้อมด้วยฤทธิ์และในจุติและอุปบัติ ด้วย ประการอย่างนี้ ย่อมเห็นเทวดาในเวลาเข้าไป คือพระเถระนั้นไม่เสื่อม ในการเห็นเทวดาทั้งหลาย. ได้ยินว่า เมื่อพระเถระกล่าวคาถาว่า บัดนี้ (ภพใหม่) ไม่มี ดังนี้ ด้วยการให้คำตอบแก่เทวดาชาลินี ภิกษุทั้งหลาย ไม่เห็นเทวดาชาลินี จึงคิดว่า พระเถระร้องเรียกอะไรๆ ด้วยการเรียก ธรรมหรือหนอ. พระเถระรู้อาจาระแห่งจิตของภิกษุเหล่านั้น จึงกล่าว คาถานี้ว่า ยสฺส มุหุตฺเตน ดังนี้.


๑. อัง. ติก. ๒๐/ ข้อ ๕๒๐.


ความคิดเห็น 23    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 177

บทว่า อนฺนภาโร ปุเร ได้แก่ ผู้มีนามอย่างนี้ในชาติก่อน. บทว่า ฆาสหารโก ได้แก่ ผู้การทำการรับจ้างเพื่อต้องการเพียงอาหาร เลี้ยงชีวีต.

บทว่า สมณํ ได้แก่ ผู้มีบาปสงบแล้ว.

บทว่า ปฏิปาเหสิ ได้แก่ มอบถวายเฉพาะหน้า, อธิบายว่า เป็นผู้มีหน้าเฉพาะะด้วยความเลื่อมใส ได้ให้ทานอาหาร.

บทว่า อุปริฏฺํ ได้แก่ พระปัจเจกพุทธเจ้าผู้มีนามอย่างนั้น.

บทว่า ยสสฺสินํ ได้แก่ ผู้มีเกียรติ คือมียศปรากฏ. ด้วยคาถานี้ พระเถระแสดงถึงบุรพกรรมของตน ซึ่งเป็นเหตุให้ได้สมบัติอันยิ่งใหญ่ จน กระทั่งอัตภาพสุดท้าย. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า เรานั้นเกิด ในศากยตระกูล.

บทว่า อิโต สตฺต ความว่า จุติจากมนุษยโลกนี้ แล้วเป็นเทพ ๗ ครั้ง ด้วยความเป็นใหญ่อันเป็นทิพย์ในเทวโลก.

บทว่า ตโต สตฺต ความว่า จุติจากเทวโลกนั้นแล้วเป็น ๗ ครั้ง โดยเป็นพระเจ้าจักรพรรดิในมนุษยโลก.

บทว่า สํสารานิ จตุทฺทส ได้แก่ ท่องเที่ยวไปในระหว่างภพ ๑๔ ครั้ง.

บทว่า นิวาสมภิชานิสฺสํ แปลว่า ได้รู้ขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในชาติ ก่อน.

บทว่า เทวโลเก ิโต ตทา ความว่า ก็เราได้รู้ขันธ์ที่เคยอาศัย อยู่ในกาลก่อนนั้น ในอัตภาพนี้เท่านั้นก็หามิได้ โดยที่แท้ ในคราวที่ ดำรงอยู่ในเทวโลก ในอัตภาพที่ล่วงมาติดต่อกับอัตภาพนี้ เราก็ได้รู้.


ความคิดเห็น 24    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 178

บัดนี้ พระเถระเมื่อจะแสดงอาการที่ตนได้ทิพจักษุญาณและจุตูปปาตญาณ จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาโดยนัยมีอาทิว่า ปญฺจงฺคิเก สมาธิ ประกอบด้วยองค์ ๕.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปญฺจงฺคิเก สมาธิมฺหิ ได้แก่ สมาธิ ในจตุตถฌานอันเป็นบาทแห่งอภิญญา, จริงอยู่ จตุตถฌานสมาธินั้น ท่านเรียกว่า สมาธิประกอบด้วยองค์ ๕ เพราะประกอบด้วยองค์ ๕ เหล่านี้ คือความแผ่ไปแห่งปีติ ความแผ่ไปแห่งสุข ความแผ่ไปแห่งใจ ความ แผ่ไปแห่งอาโลกแสงสว่าง และปัจจเวกขณนิมิต นิมิตสำหรับเป็นเครื่อง พิจารณา.

บทว่า สนฺเต ความว่า ชื่อว่าสงบ เพราะสงบระงับข้าศึก และ เพราะมีองค์สงบแล้ว.

บทว่า เอโกทิภาวิเต ได้แก่ ถึงความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น อธิบาย ว่า ถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญในธรรมที่ประพฤติดีแล้ว.

บทว่า ปฏิปฺปสฺสทฺธิลทฺธมฺหิ แปลว่า ได้ความสงบระงับกิเลส ทั้งหลาย.

บทว่า ทิพฺพจกฺขุ วิสุชฺฌิ เม ความว่า เมื่อสมาธิมีประการ อย่างนี้พรั่งพร้อมแล้ว ทิพจักษุญาณของเราจึงบริสุทธิ์ คือได้เป็นทิพจักษุญาณอันหมดจด โดยความหลุดพ้นจากอุปกิเลส ๑๑ ประการ.

บทว่า จุตูปปาตํ ชานานิ ความว่า เรารู้จุติและอุปบัติแห่งสัตว์ ทั้งหลาย, ก็เมื่อรู้ย่อมรู้การมาและการไปของสัตว์ทั้งหลายว่า สัตว์เหล่านี้ มาจากโลกโน้นแล้วอุปบัติในโลกนี้ และไปจากโลกนี้แล้วอุปบัติในโลก โน้น และเมื่อรู้นั่นแหละ ย่อมรู้ได้ก่อนกว่าอุปบัติถึงความเป็นอย่างนี้


ความคิดเห็น 25    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 23 มี.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๔ - หน้า 179

คือความเป็นมนุษย์ของสัตว์เหล่านั้น และความเป็นประการอื่นจากความ เป็นมนุษย์นั้น และความเป็นเดียรัจฉานโดยประการอื่น. พระเถระเมื่อ จะแสดงว่า ความรู้นี้นั้นแม้ทั้งหมดย่อมมี ในเมื่อสมาธิอันประกอบด้วย องค์ ๕ ถึงพร้อม จึงกล่าวว่า ดำรงอยู่ในฌานอันประกอบด้วยองค์ ๕. ในคำนั้นมีอธิบายว่า เราเป็นผู้ดำรงคือประดิษฐานอยู่ในฌานอันประกอบ ด้วยองค์ ๕ นั้น จึงรู้อย่างนี้.

พระเถระครั้นแสดงวิชชา ๓ อย่างนี้แล้ว เมื่อจะแสดงวิชชาที่ ๓ พร้อมทั้งความสำเร็จแห่งกิจ แม้ที่ได้แสดงไว้แล้วในครั้งก่อน โดย ประสงค์เอาวิชชา ๓ นั้น จงกล่าวคาถา ๒ คาถาโดยนัยมีอาทิว่า พระศาสดาเราคุ้นเคยแล้ว.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วชฺชีนํ เวฬุวคาเม ได้แก่ ในเวฬุวคามแห่งแคว้นวัชชี คือในเวฬุวคามซึ่งเป็นที่เข้าจำพรรษาครั้งสุดท้าย ในแคว้นวัชชี. บทว่า เหฏฺโต เวฬุคุมฺพสฺมึ ได้แก่ ในภายใต้พุ่มไผ่ พุ่มหนึ่งในเวฬุวคามนั้น. บทว่า นิพฺพายิสฺสํ แปลว่า เราจักนิพพาน อธิบายว่า เราจักปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ.

จบอรรถกถาอนุรุทธเถรคาถาที่ ๙