พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า “ละชั่ว” ทรงแสดงถึงความลึกซึ้งของธรรมโดยละเอียดอย่างยิ่ง เพื่อให้เข้าถึงความเป็นตัวธรรมจริงๆ ที่ไม่มีเราที่จะละชั่ว ไม่มีเราที่จะทำดี ต้องมั่นคงในความเป็นอนัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีจริง เกิดขึ้นแล้วดับไปเป็นธรรมทั้งหมด หาความเป็นสัตว์บุคคลไม่ได้เลย เพราะเหตุนี้การละชั่ว ต้องเกิดจากการเข้าใจธรรม การฟังธรรมเพื่อเข้าใจความจริงที่กำลังปรากฏอยู่จริงๆ ในชีวิตประจำวันตามปกติ ฟังธรรมเพื่อให้เกิดความเห็นถูกเข้าใจถูกว่า ขณะที่ธรรมกำลังปรากฏนั้นเกิดเพราะเหตุปัจจัย เกิดแล้วดับไป ไม่ใช่เรา ละชั่วก็เป็นธรรม เกิดแล้วดับแล้ว เพราะฉะนั้น การละชั่ว จึงเป็นหน้าที่ของปัญญาที่มีความเห็นถูกเข้าใจถูกในสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม เพราะความไม่รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ จึงยึดถือสภาพธรรมนั้นว่า เป็นเรา มีเราที่ละชั่ว ทำดี ซึ่งสิ่งที่ชั่วที่สุดคือ ความไม่รู้ความจริง ด้วยเหตุนี้ ปัญญาเท่านั้นที่รู้แล้วละความไม่รู้.
[เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 55
ทรงแสดงโอวาทปาติโมกข์
[๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี ทรงสวดพระปาติโมกข์ในที่ประชุมพระภิกษุสงฆ์ดังนี้- ขันติคือความทนทานเป็นตบะอย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้ง หลายตรัสว่า พระนิพพานเป็นธรรมอย่างยิ่ง ผู้ทำร้ายผู้อื่น ผู้เบียดเบียนผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต ไม่ชื่อว่าเป็น สมณะเลย. การไม่ทำบาปทั้งสิ้น การยังกุศลให้ถึงพร้อมการทำจิต ของตนให้ผ่องใส นี้เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย. การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมใน พระปาติโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้ประมาณในภัตตาหาร ๑ ที่นอนที่นั่งอันสงัด ๑ การประกอบความเพียรในอธิจิต ๑ หกอย่างนี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่ ...
การฟังพระธรรมเป็นทางที่จะทำให้ละชั่ว
โอวาทปาติโมกข์
ขอเชิญคลิกฟังได้ที่ ...
ชั่วก็เป็นธรรม ละชั่วก็เป็นธรรม
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ