พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค เล่ม ๔ ภาค ๑ - หน้าที่ 230-234
๔. ภารทวาชสูตร
ว่าด้วยเหตุปัจจัยที่ภิกษุประพฤติพรหมจรรย์
[๑๙๕] สมัยหนึ่ง ท่านพระบิณโฑลภารทวาชะอยู่ ณ พระวิหาร
โฆสิตาราม กรุงโกสัมพี ครั้งนั้นแล พระเจ้าอุเทนได้เสด็จไปหาท่านพระ-
บิณโฑลภารทวาชะ ทรงสนทนาปราศรัยกับท่านพระบิณโฑลภารทวาชะ
ครั้งผ่านการสนทนาปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันแล้ว จึงประทับนั่ง ณ ที่
ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ตรัสถามท่านพระบิณโฑลภารทวาชะว่า
ท่านภารทวาชะ เหตุปัจจัยอะไรหนอแล ที่ภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ผู้ยังเป็นหนุ่ม
วัยรุ่น มีผมดำสนิท เ ป็นหนุ่มเต็มตัว อยู่ในปฐมวัย ยังไม่หมดความ
ระเริงในกามทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์ บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิต
และปฏิบัติอยู่ได้นาน ท่านพระบิณโฑลภารทวาชะทูลตอบว่า ขอถวาย
พระพร พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
ตรัสไว้ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงมาตั้งจิตว่าเป็นมารดา
ในสตรีปูนมารดา เธอทั้งหลายจงตั้งจิตว่าเป็นพี่สาวน้องสาว ในสตรี
ปูนพี่สาวน้องสาว เธอทั้งหลายจงตั้งจิตว่าเป็นธิดา ในสตรีปูนธิดา ขอถวาย
พระพร ข้อนี้แล เป็นเหตุเป็นปัจจัยที่ภิกษุเหล่านี้ยังเป็นหนุ่มวัยรุ่น มีผม
ดำสนิท เป็นหนุ่มเต็มตัว อยู่ในปฐมวัย ผู้ยังไม่หมดความระเริงในกาม
ทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิต และปฏิบัติ
อยู่ได้นาน.
[๑๙๖] อุ. ท่านภารทวาชะ จิตเป็นธรรมชาติโลเล บางคราวธรรมคือความโลภทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้นในเหล่าสตรีปูนมารดาก็มี ปูน
พี่สาวน้องสาวก็มี ปูนธิดาก็มี มีไหมหนอ ท่านภารทวาชะ ข้ออื่นที่เป็น
เหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุเหล่านี้ผู้ยังเป็นหนุ่ม วัยรุ่น มีผมดำสนิท เป็นหนุ่ม
เต็มตัว อยู่ในปฐมวัย ยังไม่หมดความระเริงในกามทั้งหลาย ประพฤติ
พรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน.
บิ. ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระ-
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้นได้ตรัสไว้ดัง นี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงมาพิจารณากายนี้แหละ เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องต่ำ
แต่ปลายผมลงมา อันมีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการ
ต่างๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้ คือ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น
กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่
ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น
น้ำตา เปลวมัน น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ น้ำมูตร ดังนี้ ขอถวายพระพร
แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุเหล่านี้ผู้ยังเป็นหนุ่ม วัยรุ่น มีผม
ดำสนิท เป็นหนุ่มเต็มตัว อยู่ในปฐมวัย ผู้ยังไม่หมดความระเริงในกาม
ทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน.
[๑๙๗] อุ. ท่านภารทวาชะ ภิกษุเหล่าใดเป็นผู้มีกายอันอบรมแล้ว เป็นผู้มีศีลอันอบรมแล้ว เป็นผู้มีจิตอันอบรมแล้ว เป็นผู้มีปัญญาอัน
อบรมแล้ว การอบรมกายเป็นต้นนั้น ไม่เป็นกิจอันภิกษุเหล่านั้นทำได้โดย
ยาก ส่วนภิกษุเหล่าใดเป็นผู้มีกายยังไม่ได้อบรมแล้ว เป็นผู้มีศีลยังไม่ได้
อบรมแล้ว เป็นผู้มีจิตยังไม่ได้อบรมแล้ว เป็นผู้มีปัญญายังไม่ได้อบรมแล้ว
การอบรมกายเป็นต้นนั้น เป็นกิจอันภิกษุเหล่านั้นทำได้โดยยาก ท่าน
ภารทวาชะ บางคราวเมื่อบุคคลตั้งใจอยู่ว่า เราจักทำไว้ในใจโดยความเป็น
ของไม่งาม แต่อารมณ์ย่อมมาโดยความเป็นของงามก็มี มีไหมหนอ ท่าน
ภารทวาชะ ข้ออื่นที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ภิกษุเหล่านี้ ผู้ยังเป็นหนุ่ม วัยรุ่น
มีผมดำสนิท เป็นหนุ่มเต็มตัว อยู่ในปฐมวัย ผู้ยังไม่หมดความระเริงในกาม
ทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิต และปฏิบัติ
อยู่ได้นาน.
บิ. ขอถวายพระพร พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระ-
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้นได้ตรัสไว้ดังนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
เธอทั้งหลายจงมาเถิด เธอทั้งหลายจงเป็นผู้มีทวารอันคุ้มครองแล้วใน
อินทรีย์ทั้งหลายอยู่เถิด เธอทั้งหลายเห็นรูปด้วยตาแล้ว จงอย่าเป็นผู้ถือเอา
โดยนิมิต อย่าเป็นผู้ถือเอาโดยอนุพยัญชนะ จงปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์
ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว เป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คือ อภิชฌาและ
โทมนัสดรอบงำได้ จงรักษาจักขุนทรีย์ จงถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์
เธอทั้งหลายฟังเสียงด้วยหูแล้ว . . . สูดกลิ่นด้วยจมูกแล้ว .. . ลิ้มรสด้วยลิ้น
แล้ว . . . ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว . . . รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว
อย่าได้เป็นผู้ถือเอาโดยนิมิต อย่าได้เป็นผู้ถือเอาโดยอนุพยัญชนะจงปฏิบัติ
เพื่อความสำรวมมนินทรีย์ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว เป็นเหตุให้อกุศลธรรมอัน
ลามก คือ อภิชฌาและโทมนัสดรอบงำได้ จงรักษามนินทรีย์ จงถึงความ
สำรวมในมนินทรีย์ ขอถวายพระพร แม้ข้อนี้ ก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้
ภิกษุเหล่านี้ผู้ยิ่งเป็นหนุ่ม วัยรุ่น มีผมดำสนิท เป็นหนุ่มเต็มตัว อยู่ใน
ปฐมวัย ผู้ยังไม่หมดความระเริงในกามทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์
บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน.
[๑๙๘] อุ. น่าอัศจรรย์ ท่านภารทวาชะ น่าประหลาดจริงท่านภารทวาชะ คำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา-
สัมพุทธเจ้าตรัสดีแล้ว ท่านภารทวาชะ ข้อนี้แล เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้
ภิกษุเหล่านี้ผู้ยังเป็นหนุ่ม วัยรุ่น มีผมดำสนิท เป็นหนุ่มเต็มตัว อยู่ใน
ปฐมวัย ยังเป็นผู้ไม่หมดความระเริงในกามทั้งหลาย ประพฤติพรหมจรรย์
บริสุทธิ์บริบูรณ์จนตลอดชีวิต และปฏิบัติอยู่ได้นาน ท่านภารทวาชะ ใน
สมัยใด แม้ข้าพเจ้าเอง มีกายมิได้รักษาแล้ว มีวาจามิได้รักษาแล้ว มีจิต
มิได้รักษาแล้ว มีสติมิได้ตั้งไว้แล้ว มีอินทรีย์ทั้งหลายมิได้สำรวมแล้ว
เข้าไปสู่ฝ่ายใน ในสมัยนั้น ธรรม คือ ความโลภทั้งหลายย่อมครอบงำ
ข้าพเจ้ายิ่งนัก ท่านภารทวาชะ แต่ว่า ในสมัยใดแล ข้าพเจ้ามีกายอัน
รักษาแล้ว มีวาจาอันรักษาแล้ว มีจิตอันรักษาแล้ว มีสติอันตั้งไว้แล้ว
มีอินทรีย์ทั้งหลายอันสำรวมแล้ว เข้าไปสู่ฝ่ายใน ในสมัยนั้น ธรรม คือ
ความโลภทั้งหลายไม่ครอบงำข้าพเจ้า ท่านภารทวาชะ ภาษิตของท่าน
ไพเราะนัก ท่านภารทวาชะ ภาษิตของท่านเพเราะนัก ท่านภารทวาชะ
ประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของ
ที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือตามประทีปไว้ในที่มืด ด้วยหวังว่า
ผู้มีจักษุจะเห็นรูปได้ ฉะนั้น ท่านภารทวาชะ ข้าพเจ้าขอถึง พระผู้มีพระ-
ภาคเจ้าพระองค์นั้นกับทั้งพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นที่พึ่ง ขอท่าน
ภารทวาชะจงจำข้าพเจ้าว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งจนตลอด
ชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเถิด.
จบ ภารทวาชสูตรที่ ๔
สาธุ