[เล่มที่ 73] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 564
๑๘. วงศ์พระติสสพุทธเจ้าที่ ๑๗
ว่าด้วยพระประวัติของพระติสสพุทธเจ้า
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 73]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 564
๑๘. วงศ์พระติสสพุทธเจ้าที่ ๑๗
ว่าด้วยพระประวัติของพระติสสพุทธเจ้า
[๑๘] ต่อจากสมัยของพระสิทธัตถพุทธเจ้า พระติสสพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เทียบ มีศีล ไม่มีที่ สุด มีพระบริวารยศหาประมาณมิได้ เป็นพระผู้นำ เลิศแห่งโลก.
พระมหาวีระผู้มีจักษุ ทรงกำจัดอนธการคือความ มืด ทรงยังโลกพร้อมทั้งเทวโลกให้สว่างแล้ว ทรงมี พระกรุณา ทรงอุบัติแล้วในโลก.
พระติสสพุทธเจ้าแม้พระองค์นั้น ทรงมีพระวรฤทธิ์ไม่มีใครเทียบได้ มีศีลและสมาธิที่ไม่มีอะไรเทียบ ทรงถึงฝั่งในธรรมทั้งปวง ประกาศพระธรรมจักร.
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงประกาศพระวาจา อันสะอาดในหมื่นโลกธาตุ สัตว์ร้อยโกฏิตรัสรู้ ในการ แสดงครั้งที่ ๑.
อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าสิบโกฏิ ใน อภิสมัยครั้งที่ ๓ สัตว์หกสิบโกฏิตรัสรู้ ในครั้งนั้น พระติสสพุทธเจ้าทรงเปลื้องสัตว์ คือ มนุษย์และเทวดา จากเครื่องผูก [สังโยชน์].
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 565
พระติสสพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี สันนิบาต ประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิตสงบ คงที่ ๓ ครั้ง.
การประชุมพระสาวกขีณาสพแสนหนึ่ง เป็น สันนิบาตครั้งที่ ๑ การประชุมพระสาวกขีณาสพเก้า ล้าน เป็นสันนิบาต ครั้งที่ ๒.
การประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน ผู้ บานแล้วด้วยวิมุตติ แปดล้าน เป็นสันนิบาต ครั้ง ที่ ๓.
สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์ พระนามว่า สุชาตะ สละโภคสมบัติยิ่งใหญ่ บวชเป็นฤษี.
เมื่อเราบวชแล้ว พระผู้นำโลก ก็อุบัติ เพราะ ดับเสียงว่า พุทโธ เราจึงเกิดปีติ.
เราใช้มือทั้งสองประคองดอกไม้ทิพย์ คือดอก มณฑารพ ดอกปทุม ดอกปาริฉัตตกะ สะบัดผ้าคากรอง เข้าไปเฝ้า.
เราถือดอกไม้ทิพย์นั้น กั้นพระติสสชินพุทธเจ้า ผู้นำเลิศแห่งโลก อันวรรณะ ๔ เหล่า แวดล้อมแล้ว ไว้เหนือพระเศียร.
ครั้งนั้น พระติสสพุทธเจ้าแม่พระองค์นั้น ประทับท่ามกลางชน ทรงพยากรณ์เราว่า เก้าสิบสอง กัปนับแต่กัปนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 566
พระตถาคตออกอภิเนษกรมณ์ จากกรุงกบิลพัสดุ์ อันน่ารื่นรมย์ ตั้งความเพียรทำทุกกรกิริยา.
พระตถาคต ประทับ ณ โคนต้นอชปาลนิโครธ ทรงรับข้าวมธุปายาส ณ ที่นั้นแล้วเสด็จเข้าไปยัง แม่น้ำเนรัญชรา.
พระชินเจ้าพระองค์นั้น เสวยข้าวมธุปายาสที่ริม ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เสด็จดำเนินตามทางอันดีที่เขาจัด แต่งไว้ ไปที่โคนโพธิพฤกษ์.
แต่นั้น พระผู้มีพระยศใหญ่ ทรงทำประทักษิณ โพธิมัณฑสถานอันยอดเยี่ยม ตรัสรู้ ณ โคนโพธิพฤกษ์ ชื่ออัสสัตถะ.
ท่านผู้นี้ จักมีพระชนนีพระนามว่า พระนาง มายา พระชนกพระนามว่า พระเจ้าสุทโธทนะ ท่าน ผู้นี้จักมีพระนามว่า โคตมะ.
จักมีพระอัครสาวก ชื่อว่าพระโกลิตะ และพระอุปติสสะ ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่าพระอานันทะ จักบำรุง พระชินเจ้าพระองค์นี้.
จักมีพระอัครสาวิกา ชื่อว่าพระเขมา และพระ อุบลวรรณา ผู้ไม่มีอาสวะ ปราศจากราคะ มีจิตสงบ ตั้งมั่น โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกต้นอัสสัตถะ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 567
อัครอุปัฏฐาก ชื่อจิตตะ และหัตถกะอาฬวกะ อัครอุปัฏฐายิกา ชื่อนันทมาตา และอุตตรา พระโค- ดมผู้มีพระยศ พระชนมายุ ๑๐๐ ปี.
มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย ฟังพระดำรัสนี้ ของ พระติสสพุทธเจ้า ผู้ไม่มีผู้เสมอ ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ปลาบปลื้มใจว่า ท่านผู้นี้เป็นหน่อพุทธางกูร.
หมื่นโลกธาตุ ทั้งเทวโลก พากันโห่ร้อง ปรบ มือ หัวร่อร่าเริง ประคองอัญชลีนมัสการกล่าวว่า
ผิว่า พวกเราพลาดพระศาสนาของพระโลกนาถ พระองค์นี้ไซร้ ในอนาคตกาล พวกเราก็จักอยู่ต่อหน้า ของท่านผู้นี้.
มนุษย์ทั้งหลาย เมื่อข้ามแม่น้ำ พลาดท่าน้ำข้าง หน้า ก็ถือเอาท่าน้ำข้างหลังข้ามแม่น้ำใหญ่ ฉันใด.
พวกเราทั้งหมด ผิว่า ผ่านพ้นพระชินพุทธเจ้า พระองค์นี้ไซร้ ในอนาคตกาล พวกเราจักอยู่ต่อหน้า ของท่านผู้นี้ ฉันนั้นเหมือนกัน.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
พระติสสพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มีพระนคร ชื่อว่าเขมกะ พระชนกพระนามว่า พระเจ้าชนสันธะ พระชนนี พระนามว่า ปทุมา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 568
พระองค์ทรงครองฆราวาสวิสัยอยู่แสนปี ทรงมี ปราสาทชั้นเยี่ยม ๓ หลัง ชื่อว่าคุณเสลา อนาทิยะ และ นิสภะมีพระสนมนารี ที่แต่งกายงามสามหมื่นนาง พระ อัครมเหสีพระนามว่า พระนางสุภัททา พระโอรส พระนามว่า อานันทะ.
พระชินพุทธเจ้า ทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จออก อภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือม้า ทรงตั้งความเพียร ครึ่ง เดือนเต็ม.
พระมหาวีระติสสพุทธเจ้า ผู้นำเลิศแห่งโลกอัน ท้าวมหาพรหมอาราธนาแล้ว ทรงประกาศพระธรรมจักร ณ ยสวดีทายวัน อันสูงสุด.
พระติสสพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี พระอัครสาวก ชื่อว่าพระพรหมเทวะ และ พระอุทยะ พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่าพระสมังคะ.
พระอัครสาวิกาชื่อว่าพระผุสสา และ พระสุทัตตา โพธิพฤกษ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียก ว่าอัสนะ ต้นประดู่.
อัครอุปัฐฏาก ชื่อว่า สัมพละ และสิริ อัครอุปัฏ- ฐายิกา ชื่อว่ากีสาโคตมี และอุปเสนา.
พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้น สูง ๖๐ ศอก พระ ผู้ไม่มีผู้เปรียบ ไม่มีผู้เสมือน ปรากฏเด่นเหมือนภูเขา หิมวันต์.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 569
พระผู้มีจักษุ ทรงดำรงอยู่ในโลกแสนปี แม้ พระองค์ผู้มีพระเดชไม่มีผู้เทียบ ก็มีพระชนมายุเท่า นั้น.
พระองค์ทั้งพระสาวก เสวยพระยศอันยิ่งใหญ่ ที่อุดม เลิศ ประเสริฐสุด รุ่งโรจน์แล้วก็ดับขันธ- ปรินิพพาน เหมือนกองไฟที่ดับไปฉะนั้น.
พระองค์ทั้งพระสาวก ก็ปรินิพพานไปเหมือน พลาหกหายไปเพราะลม เหมือนน้ำค้างหายไปเพราะ ดวงอาทิตย์ เหมือนความมืดหายไปเพราะดวงประทีป ฉะนั้น.
พระติสสชินวรพุทธเจ้า ปรินิพพาน ณ พระวิหาร นันทาราม พระชินสถูปของพระองค์ ณ ที่นั้นสูง ๓ โยชน์.
จบวงศ์พระติสสพุทธเจ้าที่ ๑๗
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 570
พรรณนาวงศ์พระติสสพุทธเจ้าที่ ๑๗
ต่อมาภายหลังจากสมัยของพระผู้มีพระภาคเจ้า สิทธัตถะ พระองค์นั้น ก็ว่างพระพุทธเจ้าไปกัปหนึ่ง ที่สุดเก้าสิบสองกัปนับแต่กัปนี้ ก็บังเกิดพระพุทธ- เจ้า ๒ พระองค์ในกัปหนึ่ง คือ พระติสสะ และ พระปุสสะ บรรดาพระ พุทธเจ้าทั้ง ๒ พระองค์นั้น พระมหาบุรุษพระนามว่า ติสสะ ทรงบำเพ็ญ บารมีทั้งหลายบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต จุติจากนั้นแล้ว ทรงถือปฏิสนธิใน พระครรภ์ของ พระนางปทุมาเทวี ผู้มีพระเนตรงามดังกลีบปทุม อัครมเหสีของ พระเจ้าชนสันธะ กรุงเขมกะ ถ้วนกำหนดทศมาส ก็ ประสูติจากพระครรภ์พระชนนี ณ อโนมราชอุทยาน. ทรงครองฆราวาสวิสัย อยู่เจ็ดพันปี พระองค์มีปราสาท ๓ หลัง ชื่อว่า คุหาเสละ นาริสยะ และ นิสภะ มีพระสนมนารีสามหมื่นสามพันนาง มี พระนางสุภัททาเทวี เป็นประมุข.
เมื่อ อานันทกุมาร พระโอรสของพระนางสุภัททาเทวีสมภพ พระมหาบุรุษทรงเห็นนิมิต ๔ เสด็จขึ้นทรงม้าต้น ตัวเยี่ยม ชื่อว่า โสนุตตระ ออกมหาภิเนษกรมณ์ ทรงผนวช มนุษย์โกฏิหนึ่งก็บวชตามเสด็จ พระองค์ อันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อมแล้ว ทรงบำเพ็ญเพียร ๘ เดือน ในวันวิสาขบูรณมี เสวยข้าวมธุปายาสที่ธิดา วีรเศรษฐี ณ วีรนิคม ถวายแล้ว ทรงยับยั้ง พักกลางวัน ณ สลลวัน ป่าต้นช้างน้าว (อ้อยช้างก็ว่า) เวลาเย็นทรงรับ หญ้า ๘ กำ ที่คนเฝ้าไร่ข้าวเหนียวชื่อ วิชิตสังคามกะ ถวายแล้ว เสด็จเข้าไป ยังโพธิพฤกษ์ชื่อ อสนะ คือต้นประดู่ ทรงลาดสันถัตหญ้า กว้าง ๔๐ ศอก ประทับนั่งขัดสมาธิเหนือบัลลังก์หญ้านั้น ทรงกำจัดกองกำลังมารพร้อม ด้วยตัวมาร บรรลุสัพพัญญุตญาณ ทรงเปล่งพระอุทานว่า อเนกชาติสํสารํ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 571
ฯ เปฯ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา ทรงเห็นพระราชโอรสกรุงยสวดีสองพระองค์ พระนามว่า พรหมเทวะ และ อุทยะ พร้อมด้วยบริวาร ถึงพร้อมด้วย อุปนิสัยสมบัติเสด็จไปทางอากาศ เสด็จลงที่ยสวดีมิคทายวัน โปรดให้พนักงาน เฝ้าพระราชอุทยานเชิญพระราชโอรสมาแล้ว ทรงยังหมื่นโลกธาตุให้เข้าใจ ด้วยพระสุรเสียงดังพรหมไม่พร่าไพเราะซาบซึ้ง ประกาศพระธรรมจักรแก่ พระราชโอรสทั้งสองพระองค์นั้นกับทั้งบริวาร ครั้งนั้น ธรรมาภิสมัยครั้งที่ ๑ ได้มีแก่สัตว์ร้อยโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
ต่อจากสมัยของพระสิทธัตถพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า พระนามว่า ติสสะ ผู้ไม่มีผู้เสมอ ไม่มีผู้เทียบ มีพระเดชไม่มีที่สุด มีพระบริวารยศหาประมาณมิได้ เป็น ผู้นำเลิศแห่งโลก.
พระมหาวีระผู้ประกอบด้วยความเอ็นดู ผู้มีจักษุ ทรงกำจัดอนธการคือความมืด ยังโลกทั้งเทวโลกให้ สว่าง ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก.
พระวรฤทธิ์ของพระองค์ ก็ชั่งไม่ได้ ศีลและ สมาธิก็ชั่งไม่ได้ ทรงบรรลุพระบารมีในธรรมทั้งปวง ทรงให้พระธรรมจักรเป็นไปแล้ว.
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงประกาศพระวาจา อันสะอาด ให้สัตว์ร้อยโกฏิในหมื่นโลกธาตุตรัสรู้ธรรม ในการแสดงธรรมครั้งที่ ๑.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สพฺพตฺถ ความว่า ถึงฝั่งในธรรมทั้ง ปวง. บทว่า ทสสหสฺสิมฺหิ ก็คือ ทสสหสฺสิยํ ในหมื่นโลกธาตุ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 572
ภายหลังสมัยต่อมา ในสมัยที่พระมหาบุรุษทรงละการอยู่เป็นหมู่แล้ว เสด็จเข้าไปยังโคนโพธิพฤกษ์ ภิกษุที่บวชกับพระติสสศาสดาจำนวนโกฏิหนึ่ง ก็แยกไปเสียที่อื่นแล้ว ครั้นภิกษุโกฏิหนึ่งนั้น ทราบข่าวว่า พระติสสสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศพระธรรมจักร ก็พากันมาที่ยสวดีมิคทายวัน ถวายบังคม พระทศพลแล้ว ก็นั่งล้อมพระองค์ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมโปรด ภิกษุเหล่านั้น ครั้งนั้น อภิสมัยครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าสิบโกฏิ. ต่อมาอีก ในมหามงคลสมาคม ในเมื่อจบมงคล อภิสมัยครั้งที่ ๓ ก็ได้มีแก่สัตว์หกสิบโกฏิ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
อภิสมัยครั้งที่ ๒ การตรัสรู้ธรรม ได้มีแก่สัตว์ เก้าสิบโกฏิ อภิสมัยครั้งที่ ๓ การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่ สัตว์หกสิบโกฏิ ในครั้งนั้น พระติสสพุทธเจ้า ทรง เปลื้องสัตว์คือมนุษย์และเทวดาทั้งหลายจากเครื่องผูก.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ทุติโย นวุติโกฏินํ ความว่า อภิสมัย ครั้งที่ ๒ ได้มีแก่สัตว์เก้าสิบโกฏิ. บทว่า พนฺธนาโต ก็คือ พนฺธนโต แปลว่า จากเครื่องผูก ความว่า ทรงเปลื้องจากสังโยชน์ ๑๐. บัดนี้ เมื่อจะ ทรงแสดงถึงสัตว์ที่ทรงเปลื้อง โดยสรุป จึงตรัสว่า นรมรู. บทว่า นรมรู ก็คือ นรามเร ได้แก่ มนุษย์และเทวดา.
ได้ยินว่า พระติสสพุทธเจ้าอันพระอรหันต์ที่บวชภายในพรรษา ใน ยสวดีนครแวดล้อมแล้ว ทรงปวารณาพรรษาแล้ว นั้น เป็น สันนิบาตครั้ง ที่ ๑. เมื่อพระโลกนาถพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จถึง นาริวาหนนคร นาริ- วาหนกุมาร โอรสของ พระเจ้าสุชาตะ ผู้เกิดดีทั้งสองฝ่าย พร้อมด้วย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 573
บริวาร เสด็จออกไปรับเสด็จ นิมนต์พระทศพลพร้อมทั้งภิกษุสงฆ์ ถวาย อสทิสทาน ๗ วัน จึงมอบราชสมบัติของพระองค์แก่พระโอรส พร้อมด้วย บริวารก็ทรงผนวชด้วยเอหิภิกขุบรรพชา ในสำนักของพระติสสสัมมาสัมพุทธ- เจ้าผู้เป็นใหญ่แห่งโลกทั้งปวง. นัยว่า การบรรพชาของพระองค์ปรากฏโด่งดัง ไปทุกทิศ. เพราะฉะนั้น มหาชนมาจากทิศนั้นๆ บวชตามเสด็จพระนาริวาหนกุมาร ครั้งนั้น พระตถาคตเสด็จไปท่ามกลางภิกษุเก้าล้าน ทรงยกปาติ- โมกข์ขึ้นแสดง นั้นเป็น สันนิบาตครั้งที่ ๒. ต่อมาอีก ชนแปดล้าน ฟังธรรมกถาเรื่องพุทธวงศ์ ในสมาคมพระญาติ กรุงเขมวดี ก็พากันบวชใน สำนักของพระองค์แล้วบรรลุพระอรหัต. พระสุคตเจ้าอันภิกษุเหล่านั้นแวดล้อม แล้ว ทรงยกปาติโมกข์ขึ้นแสดง นั้นเป็น สันนิบาตครั้งที่ ๓. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระติสสพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี สันนิบาตประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน มีจิต สงบ คงที่ ๓ ครั้ง.
การประชุมพระสาวกขีณาสพแสนหนึ่ง เป็น สันนิบาตครั้งที่ ๑ ประชุมพระสาวกขีณาสพเก้าล้าน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๒.
ประชุมพระสาวกขีณาสพ ผู้ไร้มลทิน ผู้บาน แล้วด้วยวิมุตติแปดล้าน เป็นสันนิบาตครั้งที่ ๓.
สมัยนั้น พระโพธิสัตว์ของเรา เป็นพระราชาพระนามว่า สุชาตะ กรุงยสวดี ทรงสละราชอาณาจักรที่มั่นคงรุ่งเรือง กองทรัพย์หลายโกฏิ และคน ใกล้ชิดที่มีใจจงรักภักดี สังเวชใจในทุกข์มีชาติทุกข์เป็นต้น จึงออกผนวชเป็น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 574
ดาบส มีฤทธานุภาพมาก สดับข่าวว่าพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วในโลก ก็มี พระวรกายอันปีติ ๕ อย่างถูกต้องแล้ว มีความยำเกรง ก็เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค เจ้าติสสะถวายบังคมแล้วดำริว่า จำเราจักบูชาพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดอกไม้ ทิพย์ มีดอกมณฑารพ ดอกปาริฉัตตกะ เป็นต้น ครั้นดำริอย่างนั้นแล้ว ก็ ไปโลกสวรรค์ด้วยฤทธิ์ เข้าไปยังสวนจิตรลดา บรรจุผอบ ที่สำเร็จด้วยรัตนะ ขนาดคาวุตหนึ่ง ให้เต็มด้วยดอกไม้ทิพย์มีดอกปทุม ดอกปาริฉัตตกะและดอก มณฑารพ เป็นต้น พามาทางท้องนภากาศ บูชาพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยดอก ไม้ทิพย์ที่มีกลิ่นหอม และกั้นดอกปทุมต่างฉัตรคันหนึ่ง ซึ่งมีด้ามเป็นมณี มี เกสรเป็นทอง มีใบเป็นแก้วทับทิม เหมือนฉัตรที่สำเร็จด้วยเกสรหอม ไว้เหนือ พระเศียรของพระผู้มีพระภาคเจ้า ยืนอยู่ท่ามกลางบริษัท ๔. ครั้งนั้น พระผู้มี พระภาคเจ้า ทรงพยากรณ์พระโพธิสัตว์นั้นว่าเก้าสิบสองกัปนับแต่กัปนี้ จักเป็น พระพุทธเจ้า พระนามว่า โคตมะ. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
สมัยนั้น เราเป็นกษัตริย์นามว่า สุชาตะ สละ โภคสมบัติยิ่งใหญ่ บวชเป็นฤษี.
เมื่อเราบวชแล้ว พระผู้นำโลกก็อุบัติเพราะสดับ เสียงว่าพุทโธ เราก็เกิดปีติ.
เราใช้มือทั้งสองประคองดอกไม้ทิพย์ คือดอก มณฑารพ ดอกปทุม ดอกปาริฉัตตกะ สะบัดผ้า คากรองเข้าไปเฝ้า. เราถือดอกไม้นั้น กั้นพระติสสชินพุทธเจ้า ผู้ นำเลิศแห่งโลก อันบริษัท ๔ แวดล้อมแล้วไว้เหนือ พระเศียร.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 575
พระพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประทับนั่งท่ามกลาง ชน ทรงพยากรณ์เราว่า เก้าสิบสองกัปนับแต่กัปนี้ ท่านผู้นี้จักเป็นพระพุทธเจ้า.
พระตถาคตทรงทำความเพียร ฯลฯ จักอยู่ต่อ หน้าของท่านผู้นี้.
เราฟังพระดำรัสของพระองค์แล้ว ก็ยิ่งเลื่อมใส จึงอธิษฐานข้อวัตรยิ่งยวดขึ้นไป เพื่อบำเพ็ญบารมี ๑๐ ให้บริบูรณ์.
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า มยิ ปพฺพชิเต ได้แก่ เมื่อเราเข้าถึง ความเป็นนักบวช. อาจารย์ทั้งหลายเขียนไว้ในคัมภีร์ว่า มม ปพฺพชิตํ สนฺตํ ปาฐะนั้น พึงเห็นว่าเขียนพลั้งเผลอ. บทว่า อุปปชฺชถ ก็คือ อุปฺปชฺชิตฺถ อุบัติขึ้นแล้ว. บทว่า อุโภ หตฺเถหิ ก็คือ อุโภหิ หตฺเถหิ. บทว่า ปคฺคยฺห แปลว่า ถือแล้ว. บทว่า ธุนมาโน ได้แก่ สะบัดผ้าเปลือกไม้. บทว่า จาตุวณฺณปริวุตํ แปลว่า อันบริษัท ๔ แวดล้อมแล้ว อธิบายว่า อันบริษัทคือ กษัตริย์ พราหมณ์ คฤหบดีและสมณะ แวดล้อมแล้ว อาจารย์บางพวกกล่าวว่า จตุวณฺเณหิ ปริวุตํ อันวรรณะ ๔ แวดล้อมแล้ว.
พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงมีพระนครชื่อ เขมะ พระชนก พระนามว่า พระเจ้าชนสันธะ พระชนนีพระนามว่า พระนางปทุมา คู่พระ อัครสาวกชื่อว่า พระพรหมเทวะ และ พระอุทยะ พระพุทธอุปัฏฐาก ชื่อว่า พระสมังคะ คู่พระอัครสาวิกาชื่อ พระผุสสา และ พระสุทัตตา โพธิ-
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 576
พฤกษ์ ชื่อ อสนะต้นประดู่ พระสรีระสูง ๖๐ ศอก พระชนมายุแสนปี พระ อัครมเหสีพระนามว่า พระนางสุภัททา พระโอรสพระนามว่า อานันทะ เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ด้วยยานคือม้า. ด้วยเหตุนั้น จึงตรัสว่า
พระติสสพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ ทรงมี พระนครชื่อเขมกะ พระชนกพระนามว่า ชนสันธะ พระชนนีพระนามว่า พระนางปทุมา.
พระติสสพุทธเจ้า ผู้แสวงคุณยิ่งใหญ่ มีพระอัคร สาวก ชื่อพระพรหมเทวะ และพระสุทัตตาโพธิพฤกษ์ ของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เรียกว่า อสนะ ต้นประดู่.
พระชินพุทธเจ้าพระองค์นั้น โดยส่วนสูง ๖๐ ศอก ไม่มีผู้เปรียบ ไม่มีผู้เสมือน ปรากฏดังภูเขา หิมวันต์.
พระผู้มีจักษุดำรงอยู่ในโลก แสนปี พระผู้มี พระเดชไม่มีผู้เทียบพระองค์นั้น ก็มีพระชนมายุเท่า นั้น.
พระองค์ทั้งพระสาวก เสวยพระยศยิ่งใหญ่ อัน สูงสุด เลิศ ประเสริฐ รุ่งเรืองแล้วก็ปรินิพพานไป ดังกองไฟที่ดับไปฉะนั้น.
พระองค์ทั้งพระสาวกก็ปรินิพพานไป เหมือน พลาหกเมฆฝน หายไปเพราะลม เหมือนน้ำค้างเหือด หายไปเพราะดวงอาทิตย์ เหมือนความนิดหายไปเพราะ ดวงประทีปฉะนั้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย พุทธวงศ์ เล่ม ๙ ภาค ๒ - หน้า 577
แก้อรรถ
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุจฺจตฺตเน ก็คือ อุจฺจภาเวน โดย ส่วนสูง. บทว่า หิมวา วิย ทิสฺสติ ได้แก่ ปรากฏเด่นเหมือนภูเขาหิมวันต์ หรือปาฐะก็อย่างนี้เหมือนกัน ความว่า หิมวันต์ปัญจบรรพต สูงร้อยโยชน์ ปรากฏเด่นชัดน่ารื่นรมย์ยิ่ง เพราะแม้แต่อยู่ไกลแสนไกล ก็สูง และสงบ เรียบร้อย ฉันใด แม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ก็ปรากฏเด่นชัดฉันนั้น. บทว่า อนุตฺตโร ได้แก่ ไม่ยืนนัก ไม่สั้นนัก อธิบายว่า พระชนมายุแสนปี. บทว่า อุตฺตมํ ปวรํ เสฏฺํ เป็นไวพจน์ของกันและกัน. บทว่า อุสฺสโว ได้แก่ หยาดหิมะ อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งพระสาวกอันลมดวงอาทิตย์และ ดวงประทีป คือความเป็นอนิจจัง เบียดเบียนแล้วก็ปรินิพพาน เหมือนพลาหก น้ำค้างและความมืด อันลมดวงอาทิตย์และดวงประทีปเบียดเบียนก็เหือดหายไป
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าติสสะ เสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ พระวิหารสุนันทาราม กรุงสุนันทวดี คำที่เหลือในคาถาทั้งหลายทุกแห่ง ชัด แล้ว ทั้งนั้นแล.
จบพรรณนาวงศ์พระติสสพุทธเจ้า