ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันพุธ ที่ ๑ กรกฏาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ และ คณะวิทยากรของมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา ได้รับเชิญจาก คุณสัมพันธ์ และ คุณนวรัตน์ พงษ์พรรณากูล เจ้าของกนกรัตน์ รีสอร์ท เพื่อไปสนทนาธรรม ณ กนกรัตน์ รีสอร์ท อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม ระหว่างเวลา ๑๐.๐๐ - ๑๕.๐๐ น.
การไปสนทนาธรรมของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์และคณะวิทยากร ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท ในครั้งนี้ เป็นครั้งที่ ๒ แล้ว ครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๒-๑๓ มีนาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ ที่ผ่านมา ซึ่งได้เขียนบรรยายถึงท่านเจ้าภาพและสถานที่ไว้แล้ว ท่านที่สนใจ สามารถคลิกชมได้ที่นี่ครับ...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ กนกรัตน์ รีสอร์ท อัมพวา ๑๒ - ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๘
และในอันดับต่อไปนี้ ขออนุญาตนำภาพและความการสนทนาธรรมในวันนั้น ซึ่งท่านอาจารย์ได้กล่าวถึงความหมายของคำว่า "ธรรมะ" และ การศึกษาธรรมะ โดยละเอียด แม้ว่าจะเป็นคำที่ทุกคนได้ยินบ่อยๆ ก็ตาม แต่เพราะความละเอียด ลึกซึ้งของคำนี้ ไม่ว่าจะฟังท่านอาจารย์บรรยายบ่อยครั้งสักแค่ไหน การได้ฟังอีก และฟังอีก ก็เหมือนเป็นการเริ่มเข้าใจใหม่ ในทุกๆ ครั้งที่ได้ฟัง จึงขอนำความการสนทนาดังกล่าว มาให้ทุกๆ ท่านได้พิจารณาอีก และ พิจารณาอีก แล้วๆ เล่าๆ แต่มีความซาบซึ้งใจทุกครั้งที่ได้ฟังและพิจารณา เช่นเคย ดังนี้ครับ
ท่านอาจารย์ ก่อนคำว่า "ธรรมะ" ก็คือคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อได้ยินคำนี้ ปีติต้องเกิด ที่ได้มีโอกาส ได้ยินคำนี้ เพราะว่า นานแสนนาน นับไม่ได้เลย กว่าจะมีผู้ที่บำเพ็ญบารมี จนกระทั่ง สามารถที่จะรู้ความจริง เพื่อคนอื่นด้วย ไม่ใช่แต่เพียงเพื่อพระองค์ เท่านั้น
เพราะฉะนั้น การที่จะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ย่อมทำให้ "เริ่ม" รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเพียงคำนี้ ไม่สามารถที่จะเข้าถึงพระคุณ ที่ทรงประกอบด้วย พระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ และ พระมหากรุณาคุณ จนกว่าจะได้ฟัง แต่ละคำ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ในการที่ เราเป็นใคร? ไม่เคยรู้อะไรมานานแสนนาน แล้วมีโอกาสที่จะได้ฟัง ได้ยิน ชื่อนี้ "พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า"
เพราะฉะนั้น ก็เป็นผู้ที่ ตั้งใจฟัง ด้วยความเคารพ "เพื่อเข้าใจ" เพราะเหตุว่า พระธรรมทั้งหมด ไม่ใช่เพื่อลาภ ยศ สักการะ แต่ว่า เพื่อหวังที่จะให้คนที่ ไม่เคยมีความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริง ของสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตาย เรียกว่า เกิดมา ด้วยความไม่รู้ แล้วก็จากไป ด้วยความไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังแต่ละคำ ที่พระผู้มีพระภาคฯ ทรงแสดง
เพราะฉะนั้น พระธรรม เป็นสิ่งที่ลึกซึ้งอย่างยิ่ง เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ซึ่งเพียงกล่าวอย่างนี้ แล้วไม่เข้าใจว่า พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคฯตรัสและทรงแสดง เรื่องอะไร? ยังไม่สามารถที่จะเข้าถึงพระคุณได้ จนกว่า จะได้ฟัง "แต่ละคำ" ไม่ประมาทในแต่ละคำเลย และ ขณะที่ได้ฟัง ก็จะต้องรู้ความห่างไกลกันมาก ของปัญญาของผู้ที่เริ่มที่จะได้ฟังพระธรรม กับผู้ที่ได้บำเพ็ญบารมี นานมาก สี่อสงไขยแสนกัป หรือ แปดอสงไขยแสนกัป หรือ สิบหกอสงไขยแสนกัป เพื่อที่จะแสดงธรรมะ แต่ละคำ ให้คนที่ไม่เคยเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ เลย ได้เริ่มเข้าใจถูก จนกว่าปัญญาจะเริ่มค่อยๆ เข้าใจขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย เพราะต้องนานมาก!!!
เพราะเหตุว่า พระธรรมที่ทรงแสดง เป็นวาจาสัจจะ คำจริง ทุกคำ ที่แสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ซึ่งทุกคน ไม่ใช่เชื่อตาม แต่ฟังแล้ว ก็ให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ขณะที่เข้าใจตามที่ได้ฟังและไตร่ตรองแล้ว นั่นคือ เริ่มเข้าใกล้ ที่จะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งต้องอีกนานมาก กว่าปัญญา จะค่อยๆ เจริญขึ้น จนกระทั่งรู้ว่า แต่ละคำที่ตรัส เป็นคำจริง
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น "ทีละคำ" ขณะนี้ มีสิ่งที่มีจริงๆ พิสูจน์ได้ "กำลังเห็น" มีจริงๆ ไม่มีใครสอนให้เข้าใจความจริงของแม้ "เห็น" แม้ "ได้ยิน" แม้ "คิดนึก" แม้ "สุข,ทุกข์" ทุกอย่างที่มี ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่เคยรู้ความจริงเลย!!!
แต่ว่า พอได้ยินแล้ว ก็เริ่มคิดถึง ความจริงของ "เห็น" ว่าขณะนี้ "เห็น" เกิดเห็น "สิ่งที่ปรากฏให้เห็น" แต่ละคำ ต้องไตร่ตรอง เห็นประโยชน์ เห็นค่ามหาศาล ที่จะรู้ว่า กว่าจะบำเพ็ญพระบารมี จนกระทั่ง ให้เราเริ่มปีติ ที่ได้ฟังว่า ขณะนี้พูดถึงสิ่งที่มีจริง ให้เกิดความเข้าใจขึ้น แม้ว่าในขั้นการฟัง ก็เริ่มรู้ว่า ทำไมพระผู้มีพระภาคฯ ตรัสถึงสิ่งที่มีจริง ธรรมดาๆ คนอื่นนี่คิดว่า ทำไมไม่ตรัส สิ่งที่น่าอัศจรรย์ ไม่เหมือนปกติ เพราะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นคือ ผู้ทีไม่เข้าใจในพระปัญญาคุณ ว่าสิ่งที่มีจริงนี้แหละ เมื่อวานก็เห็น เกิดมาก็เห็น ต่อไปก็เห็น และนอกจาก "เห็น" ก็มี "ได้ยิน" มี "คิดนึก" มีสุข มีทุกข์ โดยไม่รู้เลยว่า แท้ที่จริงแล้ว เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งเกิดเมื่อไหร่ ก็จริงเมื่อนั้น แม้เมื่อเกิดแล้ว ก็ไม่ได้ยั่งยืนเลย
"เห็น" เกิดขึ้น ดับแล้วก็ไม่เห็น ในขณะที่นอนหลับ ไม่มีเห็น ได้ยินเกิดขึ้น ขณะที่หลับสนิท ก็ไม่มีได้ยิน แล้วสิ่งต่างๆ เหล่านี้ที่มี หายไปไหน? แล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย
เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่ง มีประโยชน์ไหม? ที่จะรู้ความจริงว่า ทุกสิ่ง ทุกอย่าง ชั่วคราวมาก เราคิดถึงที่เราเกิดมาในโลกนี้ แล้วก็ต้องจากโลกนี้ไปทุกคน ไม่เว้น แม้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วประโยชน์ก็คือว่า อยู่ในโลกนี้ ด้วยความเข้าใจอะไรบ้างหรือเปล่า? หรือว่า มีแต่ความติดข้อง แสวงหา เป็นไปตามความต้องการ หรือว่า เป็นไปตามกิเลส ตั้งแต่ตื่น โดยไม่รู้ตัวเลย
เพราะฉะนั้น ถ้ามีผู้ที่ได้ทรงแสดงความจริงให้ได้เข้าใจจริงๆ ว่า แท้ที่จริง ถ้าไม่มีธรรมะใดๆ ไม่มีสิ่งที่มีจริง เช่น เห็น ได้ยิน เหล่านี้เกิดขึ้น จะมีการเข้าใจว่า "มีเรา" ไหม? จะไปเอา "เรา" มาแต่ไหน? แต่ว่า เพราะมีสิ่งที่มีจริงเหล่านี้ เมื่อเกิดแล้วไม่รู้ แล้วก็เกิดสืบต่อ ตั้งแต่เกิดจนกว่าจะตาย ก็เข้าใจว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิด "เป็นเรา" ทั้งหมด เช่น ขณะนี้ หรือว่า ก่อนที่จะได้ฟังธรรมะ ก็เป็นเราเห็น เราได้ยิน เราคิด เราชอบ เราไม่ชอบ เราสุข เราทุกข์ แต่ถ้าสิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่เกิด จะมีเราได้อย่างไร? และสิ่งเหล่านั้นที่เกิด ก็ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย ทั้งสิ้น แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่สามารถที่จะบันดาลให้ "เห็น" เกิดขึ้น ให้ "ได้ยิน" เกิดขึ้น แต่ทรงแสดงความจริงว่า "เห็น" ขณะนี้ ถ้าไม่มีตา เราพูดง่ายๆ แต่ก็หมายความถึงรูป ที่สามารถที่จะกระทบกับสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วก็มีธาตุที่เห็น เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป ชั่วหนึ่งขณะที่แสนสั้น แล้วไม่มีอีกเลย
แต่จากการเห็นแล้วไม่รู้ความจริง ก็ปรากฏว่า ยึดถือใน "เห็น" และ "สิ่งที่ปรากฏ" ในเห็น ว่าเป็น "เราเห็น" เวลานี้ เป็นเราเห็น และเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ซึ่งความจริง จริงๆ เพียงปรากฏให้เห็นได้ หลับตาแล้วเราคิดว่ามีคนในห้องนี้มาก หลับตาแล้วหายไปไหนหมด? ไม่มีเลย!! เพราะว่า สิ่งที่ปรากฏให้เห็นขณะที่หลับตา ไม่ได้ปรากฏ
เพราะฉะนั้น ขณะนี้ก็มีสิ่งที่เราไม่รู้ และหลงยึดถือกันมากมาย จนกว่าจะรู้ว่า สามารถเข้าใจถูก เกิดมาแล้ว ก็สามารถรู้ความจริงว่า แค่เกิดมา แล้วก็จากโลกนี้ไป ไม่มีอะไรเหลือ!! ไม่มีอะไรที่จะติดตามไปได้เลยสักอย่างเดียว ร่างกายซึ่งยึดถือว่าเป็นเรา ใกล้ชิดที่สุด ไม่ใช่ร่างกายคนอื่น แต่ร่างกายที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ไม่ได้ติดตามไปเลย ทันทีที่ตาย หมายความว่า จิตขณะสุดท้าย ธาตุรู้ไม่เกิดที่รูปนั้นอีกต่อไป รูปนี้มีค่าอะไรหรือเปล่า? เดินได้ไหม? พูดได้ไหม? ของเราจริงๆ หรือเปล่า? ของเรา ก็ต้องตามไป แต่นี่ไม่ใช่เลย!!!
เพราะฉะนั้น ไม่ต้องไปคิดถึง ชั่วขณะที่ต้องตาย แต่แม้เดี๋ยวนี้ ก็เป็นอย่างนั้น!! เพราะฉะนั้น การที่มีโอกาสได้ฟังความจริงของสิ่งที่มีจริง ทีละเล็ก ทีละน้อย ก็จะเป็นผู้ที่นับถือพระพุทธศาสนา คือ คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยความเคารพที่รู้ว่า ไม่มีผู้ใดในโลก หรือ ในจักรวาล ที่จะสามารถให้ความเข้าใจที่ถูกต้องได้!!!
แต่ว่า ต้องเป็นผู้ที่ละเอียดมาก แล้วก็เริ่มได้ยิน ได้ฟัง คำแรก คือ "ธรรมะ" หมายความถึงสิ่งที่มีจริง คนไทยก็ใช้คำนี้มาก แล้วก็ใช้อีกหลายๆ คำ ในภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษามคธี ซึ่งสืบทอดพระศาสนา รักษาดำรงไว้ซึ่งพระธรรม แต่ว่า ไม่ได้ศึกษาโดยละเอียด ก็เข้าใจผิดกันมากทีเดียว
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ต้องรู้ว่า เป็นสิ่งที่ละเอียด เป็นคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องพิจารณา ไตร่ตรอง จนเป็นความเข้าใจของเราเอง "ทีละคำ" จะทำให้สามารถที่จะเข้าใจ ยิ่งขึ้น แล้วก็ไม่สับสน ต่อไปนี้ก็รู้ว่า ธรรมะมีจริง หมายความถึง สิ่งที่มีจริง ไม่ต้องเรียกชื่ออะไรเลย ก็มี "เห็น" มีแล้ว "ได้ยิน" มีแล้ว สิ่งที่มีจริงทั้งหมด ชื่ออะไร? ชื่อ คุณอรวรรณ หรือเปล่า? "เห็น" ชื่อ คุณอรวรรณ หรือเปล่า? หรือ "ได้ยิน" ชื่อ คุณกนกวรรณ หรือเปล่า? หรือ "คิดนึก" ชื่อ คุณปริญญา หรือเปล่า? ไม่มีชื่อ!! แต่เป็นธรรมะ ทั้งหมด!!!
แต่ธรรมะ หลากหลายจริงๆ เพราะเหตุว่า ธรรมะที่เกิดแล้วดับขณะนี้ ไม่ได้กลับมาอีกเลย ไม่มีทางที่จะกลับมาอีกได้!!
เพราะฉะนั้น ก็เป็นแต่ละหนึ่ง ซึ่งภาษาบาลีใช้คำว่า ขันธ์ หมายความว่า สิ่งที่มีจริงที่เกิดแล้วดับ คือ สิ่งที่มีจริงหนึ่ง คือ ขันธ์ แล้วแต่จะเป็นอะไร ก็เป็น หนึ่ง หนึ่ง หนึ่ง หนึ่ง เพราะฉะนั้น สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ เช่น "เสียง" เสียงเมื่อกี้นี้ ได้ยินแล้ว ดับแล้ว เป็น หนึ่ง เพราะฉะนั้น "เสียง" เป็น "ขันธ์หนึ่ง" คือ สิ่งที่มีจริง หนึ่ง เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริง เป็นหนึ่ง หนึ่ง หนึ่ง แต่ว่า หลากหลายมาก จนต้องประมวล รวบรวม ให้เข้าใจ ตามประเภทของธรรมะ ว่า สิ่งที่มีจริง ถ้าแยกโดยประเภทใหญ่ๆ จริงๆ ก็คือว่า สิ่งที่มีจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย "แข็ง" มีจริงๆ แล้วพระผู้มีพระภาคฯ ตรัสเรื่องแข็ง "แข็ง" สำคัญนักหรือ? ถ้าไม่ได้ฟังธรรมะต่อไป ก็คิดว่า คนอื่น เขาพูดเรื่องอื่น ใหญ่ๆ โตๆ คำยากๆ แล้วนี่พูดถึง "แข็ง" ก็ "แข็ง" มีจริงๆ เหมือน "เห็น" มีจริงๆ เหมือน "คิด" มีจริงๆ เหมือน "เสียง" มีจริงๆ แต่สิ่งที่มีจริงทุกอย่าง สั้นมาก ปรากฏแล้วก็หมดไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก
เพราะฉะนั้น วันหนึ่ง วันหนึ่ง ที่จะกล่าวว่า วันนี้ เป็นอย่างไร? ขาแข็ง มือแข็ง หรือเปล่า? เดินได้ไหม? ก็กล่าวถึงสภาพธรรมะที่มีจริง แต่เข้าใจว่าเป็นขา เป็นแขน เป็นมือ แต่ลักษณะแท้จริง ก็คือ ธรรมะอย่างหนึ่ง ไม่ว่าที่ไหน แข็งเป็นแข็ง
เพราะฉะนั้น แต่ละคำที่ฟัง ต้องเป็นอย่างนั้น เปลี่ยนไม่ได้เลย เช่น "เห็น" เป็น "เห็น" เห็นจะเป็นคน เห็นจะเป็นแมว เห็นจะเป็นนก เห็นจะเป็นเทวดา เห็นจะเป็นพรหม ได้ไหม? เพราะเห็นเกิดขึ้นเห็นแล้วดับ ไม่ว่าที่ไหนทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น เปลี่ยนลักษณะของธรรมะซึ่งมีจริง คือ เห็น เกิดขึ้นเป็นเห็น ไม่ได้เลย
การศึกษาธรรมะ ก็เพื่อให้รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว ไม่มีสิ่งใดที่เที่ยง ยั่งยืน ที่จะยึดถือว่า เป็นเรา ตัวเรา หรือว่า ของเรา หรือว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มั่นคง เป็นแต่เพียงสภาพธรรมะที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ซึ่งสามารถที่จะรู้ลักษณะของธรรมะแต่ละหนึ่ง ก็สามารถที่จะเข้าใจพระธรรมที่ทรงแสดง ว่าแท้ที่จริงแล้ว ไม่มีใคร แต่มีธรรมะ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีธรรมะ ก็จะมีใคร หรือมีสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้น ที่ถูกแล้ว ก็ควรที่จะเข้าใจความจริงของธรรมะ ฟังแล้ว เข้าใจอย่างนี้หรือเปล่า? ประโยชน์อย่างยิ่ง คือ เริ่มเข้าใจ สิ่งซึ่ง เรารู้สึกว่า เหมือนธรรมดา ใครก็พูดได้ แต่ว่า เข้าใจความจริงและความลึกซึ้ง หรือเปล่า? ว่าขณะนี้ สิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ เกิดแล้วดับ ทั้งนั้น ไม่เว้นเลย!!!
เพราะฉะนั้น ปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องต่างกับปัญญาของคนอื่น แต่ว่า ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม สามารถที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้น ละคลาย การที่เคยยึดถือสภาพธรรมะ ว่าเป็นสิ่งที่เที่ยง เพราะอะไร? ไม่เห็นอะไรเกิดดับเวลานี้เลย เพราะเหตุว่า สภาพธรรมะที่เกิดดับ เร็วมาก เกิดดับ จนไม่ปรากฏว่าเกิดดับ เหมือนเที่ยงอยู่ตลอดเวลา ถ้าเกิดดับช้าๆ ก็เห็น ว่านี่เกิด และนั่นดับ แต่เพราะความเร็วอย่างยิ่ง แต่เพราะปัญญาที่สามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมะแต่ละหนึ่ง ว่า ไม่ใช่สภาพธรรมะอย่างเดียวกัน แม้สิ่งที่ปรากฏ เหมือนหนึ่ง แต่ความจริง ก็มีสภาพธรรมะ ซึ่งเกิดพร้อมกัน ดับพร้อมกัน อาศัยกันและกันเกิด เพื่อที่จะให้รู้ว่า คำสอนทุกคำ ไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นได้ เพราะเหตุว่า เป็นความจริงถึงที่สุด
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่น เริ่มที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการรู้ว่า พระองค์ทรงแสดงความจริง ซึ่งใช้คำว่า ธรรมะ ที่มีอยู่ ละเอียดขึ้น ละเอียดขึ้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของ คุณสัมพันธ์และคุณนวรัตน์ พงษ์พรรณากูล และครอบครัว
และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบเท้าบูชาพระคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธา ของคุณสัมพันธ์และคุณนวรัตน์ พงษ์พรรณากูล
ขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม ด้วยค่ะ
ขอขอบคุณ คุณวันชัยมาก ในความมีน้ำใจเอื้อเฟื้อ ให้ผู้สนใจได้ร่วมศึกษาธรรม ขอขอบพระคุณและอนุโมทนา
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่งขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของคุณสัมพันธ์และคุณนวรัตน์ พงษ์พรรณากูล (พร้อมด้วยบุตรชาย คุณชินรัตน์ พงษ์พรรณากูล) ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งามเป็นอย่างยิ่ง และ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่รับ
ฟังไว้ พิจรณาไว้ ค่อยๆ เข้าใจ จะเห็นว่าท่านอาจารย์สุจินต์กล่าวซ้ำๆ ไม่พ้นไปจาก เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส กระทบสัมผัส และคิดนึก เพราะเป็นธรรมะ ฟังธรรมะ ไม่ใช่เป็นเราฟัง โสภณะจิตเกิด ทำกิจของเขา ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
กราบเท้าท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
อนุโมทนาพี่วันชัย
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุ อนุโมทนา และ ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ