ในปัจจุบันนี้การนุ่งห่มผ้าจีวรของพระภิกษุและสามเณรไม่ค่อยจะสำรวมเป็นเพราะอะไรครับขอถามจากภาพที่เห็นเป็นข่าวที่ปรากฎอยู่เรื่อยๆ
ควรทราบว่าในสมัยครั้งพุทธกาลกุลบุตรผู้มีศรัทธาเมื่อเข้ามาบวช ย่อมได้รับการฝึกอบรมจากอุปัชฌาย์อาจราย์ ให้ศึกษาประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัยของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระภิกษุในยุดนั้นจึงเป็นผู้สำรวม มีมรรยาททางกาย ทางวาจางาม น่าเลื่อมใส แต่ยุคปัจจุบันก็ต่างกันออกไป คือท่านไม่ได้รับการฝึกอบรม ไม่ได้ศึกษา ไม่ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย ผลคือเป็นผู้มีความประพฤติทางกายทางวาจาที่ไม่น่าดู ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส.....
พระภิกษุหรือสามเณร ต้องศึกษากับภิกษุที่มีความรู้ทางด้านการนุ่งห่มจีวร แม้ในครั้ง
พุทธกาล เช่น ท่านพระสารีบุตร ชายจีวรของท่านห้อยลง สามเณรเห็นก็เตือน
ท่านว่า จีวรท่านห้อยลงมา ท่านพระสารีบุตรก็ไปที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วก็นุ่งห่มให้
เรียบร้อย แล้วกลับมาบอกว่า อาจารย์เรียบร้อยหรือยัง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านครับ
ท่านพระสารีบุตร ชายจีวรของท่านห้อยลง สามเณรเห็นก็เตือน
ท่านว่า จีวรท่านห้อยลงมา ท่านพระสารีบุตรก็ไปที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วก็นุ่งห่มให้
เรียบร้อย แล้วกลับมาบอกว่า อาจารย์เรียบร้อยหรือยัง ขอที่มาด้วยนะครับว่ามาจากเล่มใด จะได้สมบูรณ์
เรียนความเห็นที่ ๔ ครับ
พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้าที่ 396ข้อความตอนหนึ่งจากอรรถกถาสุสิมสูตรมีว่า
...............บทว่า วจนกฺขโม ได้แก่ ย่อมทนฟังคำของผู้
อื่น จริงอยู่ ภิกษุรูปหนึ่งชอบสอนผู้อื่น แต่ตัวเองถูกผู้อื่นสอนเข้า ก็โกรธ.
ส่วนพระเถระให้โอวาทแก่ผู้อื่นด้วย ตัวเองแม้ถูกโอวาท ก็ยอมรับด้วยเศียร
เกล้า เล่ากันมาว่า วันหนึ่ง สามเณรอายุ ๗ ขวบ เรียนพระสารีบุตรเถระว่า
ท่านสารีบุตรขอรับ ชายผ้านุ่งของท่านห้อยลงมาแน่ะ. พระเถระไม่พูดอะไรเลย
ไป ณ ที่เหมาะแห่งหนึ่ง นุ่งเรียบร้อยแล้วก็มา ยืนประณมมือพูดว่า
เท่านี้ เหมาะไหม อาจารย์ พระเถระกล่าวว่า ผู้บวชในวันนั้น เป็นคนดี อายุ ๗
ขวบ โดยกำเนิด ถึงผู้นั้นพึงสั่งสอนเรา เราก็ยอมรับด้วยกระหม่อมดังนี้.