ปัญญาประเสริฐสุด
โดย nattawan  13 ก.ค. 2567
หัวข้อหมายเลข 48121

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า ปัญญานำไปในกิจทั้งปวงที่ดีงาม สภาพที่เข้าใจถูกนำไปสู่ความดีต่างๆ ก็จะเห็นประโยชน์ที่จะสะสมสิ่งที่ดีงาม และละคลายสิ่งที่ไม่ดีงาม เช่นความโลภ เป็นต้น

ปัญญาประเสริฐสุดโดยเฉพาะปัญญาที่เข้าใจว่าธรรมะคืออะไร เป็นธรรมะที่มีจริงแต่ละอย่างไม่ใช่เรา

ความดีทุกอย่างไม่ใช่เรา เป็นธรรมะ เป็นกุศลธรรม

ความโลภไม่ใช่เรา เป็นธรรมะที่ไม่ดีงาม เป็นอกุศลธรรม

ธรรมะที่ไม่เป็นทั้งกุศลและอกุศลเป็นเพียงธรรมะแต่ละอย่างที่ไม่ใช่เรา เป็นธาตุที่หลากหลายมาก เป็นรูปไม่ใช่เรา เป็นอัพยากตธรรม เช่นเย็นร้อน อ่อนแข็ง ตึงไหวที่ปรากฏทางกาย เสียงที่ปรากฏทางหู กลิ่นที่ปรากฏทางจมูก รสที่ปรากฏทางลิ้น เป็นต้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง



ความคิดเห็น 1    โดย nattawan  วันที่ 13 ก.ค. 2567

ท่านอาจารย์ โลภะเปรียบเหมือนเชือก หรือเป็นเชือก ถ้าโลภะเกิดครั้งเดียว น้อย นิดหน่อย รู้ไหมคะว่าเป็นเชือก

ผู้ฟัง ไม่รู้ค่ะ

ท่านอาจารย์ แต่ว่าสิ่งนั้นแหละทำให้จิตใจผูกพัน ไม่ยอมพราก ทั้งๆ ที่เกิดแล้ว พอใจแล้ว ก็ยังเหนียวแน่นอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมทิ้งไป

เพราะฉะนั้น ลักษณะของความยินดีติดข้องก็เหมือนเชือกที่ผูกไว้ ไม่ยอมทิ้งสิ่งนั้น จะรู้ต่อเมื่อยินดีระดับไหนที่ผูกไว้แน่น เมื่อวานนี้ก็ผูก วันนี้หายไปหรือเปล่า ยังผูกอยู่ ยังเป็นเรื่องที่พอใจที่จะคิด หรือว่าที่จะยึดมั่น พรุ่งนี้ก็มาอีกแล้ว วันหนึ่งๆ อะไรผูก โลภะ ผูกไว้ที่ไหน ถ้าไม่รู้ว่า ขณะนั้นพอใจในสิ่งใด จะรู้ไหมว่า ถูกผูกไว้ที่สิ่งนั้น ไม่ยอมทิ้ง ไม่ยอมจากสิ่งนั้นไปเลย

เพราะฉะนั้น แต่ละคำจะรู้ก็ต่อเมื่อสภาพธรรมะนั้นปรากฏ แล้วเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมะนั้น ด้วยเหตุนี้พระอรหันต์จึงเป็นสุตตพุทธะ ท่านผ่านทุกอย่าง ไม่มีข้อความใดในพระไตรปิฎกที่สงสัย เพราะเหตุว่าลักษณะนั้นได้เกิดขึ้นและเป็นความจริง จนกระทั่งสามารถเข้าถึงความหมายของพระพุทธพจน์ได้ทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแต่คิดเฉยๆ

อ.ธิดารัตน์ ก็คือถูกผูกในอารมณ์นั่นเอง ใช่ไหมคะ

ท่านอาจารย์ มีใครไม่ถูกผูกบ้างคะ ไม่มี รู้เมื่อไร ไม่ใช่เมื่ออ่าน แต่พอฟังแล้วเข้าใจเวลาที่สภาพธรรมะนั้นเกิด ห้ามทันไหม อย่าคิด อย่าผูกพัน ไม่ได้ ก็เข้าใจความหมายของคำว่า “ถูกผูกแล้ว” ชาติก่อนถูกผูกมาแล้ว จากอะไร รู้ไม่ได้เลย ใช่ไหมคะ แล้วชาตินี้ที่รู้ได้ แต่อีกไม่นานก็ไม่ถูกผูกด้วยอารมณ์ของชาตินี้ แต่ว่าโลภะที่สะสมอยู่ในจิต ก็จะผูกต่อในอารมณ์ใหม่ของชาติหน้า

เพราะฉะนั้น ถ้าจะย้อนไป เราไม่รู้เลยว่า ชาติก่อนเราเป็นใคร แต่โลภะมีแน่นอน และโลภะที่เหนียวแน่นที่ผูกไว้อาจจะเป็นบุตรธิดา อะไรก็ได้ สำหรับพ่อแม่ ผูกไว้มั่นคงเหลือเกิน ตลอดชาติด้วย แต่พอถึงชาตินี้ ความเหนียวแน่นของโลภะยังมี แต่สิ่งที่ถูกผูกไว้ก็ต่างกับชาติก่อน

เพราะฉะนั้น ก็เห็นความไม่แน่นอน เห็นความไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นปัญญาที่สามารถรู้ว่า ทุกอย่างชั่วคราวจริงๆ ค่อยๆ มีอาวุธที่จะตัดข่าย หรือที่จะออกจากข่ายได้ แต่ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงแล้วดูเหมือนว่า สิ่งนั้นผูกเราไว้แน่น แต่แน่นเพียงชาติเดียว ก็จะต้องผูกกับสิ่งที่ปรากฏในชาติต่อไป


โลภะมีแม้ขณะนี้ โดยไม่รู้ตัว


ความคิดเห็น 2    โดย nattawan  วันที่ 13 ก.ค. 2567

ไม่มีใครสามารถทำลาย หรือขจัดอกุศลของตนเองได้เลย นอกจากตนเองจะเป็นผู้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ แล้ว ปัญญาจะทำให้มีการขัดเกลา
กิเลสยิ่งขึ้น เป็นไปได้ด้วยปัญญาจริงๆ ซึ่งพระอริยสาวกทั้งหลายในอดีต ก่อนที่จะท่านจะได้รู้แจ้ง อริยสัจจธรรม ท่านก็มากไปด้วยอกุศล มากไปด้วยกิเลสนานาประการ แต่ก็สามารถดับได้ในที่สุด เมื่อปัญญาเจริญขึ้นคมกล้าขึ้นนั่นเอง ดังนั้น จึงต้องตั้งต้นที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ขณะ ใดเข้าใจถูกเห็นถูก ขณ ะนั้น ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อน


ความคิดเห็น 3    โดย nattawan  วันที่ 13 ก.ค. 2567

ความเห็นผิดมีหลายระดับ ตั้งแต่ขั้นหยาบคือผู้ที่มีความคิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่วเพราะเห็นผิด และชักชวนให้ผู้อื่นเชื่อในลัทธิงมงายไม่มีเหตุผล

แม้ผู้ที่ศึกษาธรรมะ แต่ไม่เข้าใจธรรมะถูกต้อง ยังมีความเห็นผิดอยู่ การประพฤติปฏิบัติอย่างละเอียด ก็เป็นไปตามความเห็นผิดด้วย เช่น สำนักปฏิบัติ ซึ่งไม่มีในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เข้า ใจเลยว่าการปฏิบัติเป็นเรื่องของปัญญาไม่ใช่สถานที่

บ้านธัมมะ 13 ก.ค. 59


ความคิดเห็น 4    โดย nattawan  วันที่ 13 ก.ค. 2567

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่า สังสารวัฏฏ์ยาวนาน เพราะยังมีอวิชชา เป็นเครื่องกางกั้น และ มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ จึงทำให้สัตว์ ท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏฏ์ อย่างไม่มีวันจบสิ้น เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด เป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
สังขารทั้งหลาย (สภาพธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง) ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นใจอย่างนี้ พอทีเดียวที่จะเบื่อหน่ายคลายกำหนัด และ หลุดพ้นจากสังขารทั้งปวง

การที่จะดับกิเลส พ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้นั้น ต้องเป็นปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา ก็ไม่สามารถที่จะดับกิเลสอะไรได้เลย แล้วปัญญาจะมาจากไหน จะเจริญขึ้นได้อย่างไร ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งทุกคนจะต้องเริ่มตั้งแต่ในขณะนี้ โดยที่ไม่ขาดการฟังพระธรรมในชีวิตประจำวันนั่นเอง เพราะปัญญาจะมีมากได้ ก็ต้องอาศัยการสะสมไปทีละเล็ก ทีละน้อย

จุดเริ่มต้นของการเกิดมาในสังสารวัฏฏ์นั้นอยู่ที่ไหน สังสารวัฏฏ์เกิดขึ้นมาเมื่อไหร่ อะไรเป็นปัจจัย


ความคิดเห็น 5    โดย nattawan  วันที่ 13 ก.ค. 2567

พระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้ คือ ไม่ประกอบสัตว์ไว้ในสังสารวัฏฏ์ คือ ให้พ้นจากวัฏฏะ ออกจากวัฏฏะ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงจึงเป็นไปเพื่อสละ ไม่ประกอบสัตว์ไว้ในสังสารวัฏฏ์เลย และ ไม่ประกอบสัตว์ไว้ในกิเลสประการต่างๆ เพราะพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เป็นไปเพื่อละ สละกิเลส ที่ประกอบสัตว์ไว้ในสังสารวัฏฏ์

เป็นไปเพื่อประกอบสัตว์ไว้


ความคิดเห็น 6    โดย nattawan  วันที่ 13 ก.ค. 2567

เป็นชีวิตจริงๆ ซึ่งมีปัจจัยเกิดมาแล้ว และทุกชีวิตกำลังก้าวไปสู่ความแก่และความตาย ซึ่งในระหว่างนั้นจะพ้นไปจากโสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาสไม่ได้ เพียงแต่ว่าจะมากหรือจะน้อยเท่านั้นเอง แต่เมื่อได้เริ่มเข้าใจเรื่องของสภาพธรรมฝ่ายเกิด ซึ่งมีปัจจัยทำให้เกิดเป็นไปละเอียดขึ้นในชีวิตประจำวัน ก็จะทำให้สามารถรู้หนทางอบรมเจริญปัญญา ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดับปฏิจจสมุปปาทได้

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 2057


ความคิดเห็น 7    โดย nattawan  วันที่ 13 ก.ค. 2567

นี่คือชีวิตจริงๆ ของแต่ละคน สั้นแสนสั้น คือ มีสภาพธรรมที่เกิดขึ้นรู้
อารมณ์ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจชั่วขณะๆ เท่านั้นเอง

แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 2060


ความคิดเห็น 8    โดย nattawan  วันที่ 13 ก.ค. 2567

ทุกคนย่อมมีทางเดินของชีวิต ซึ่งมี ๒ ทาง คือ ทางหนึ่ง เลือกที่จะหมุนเข้าให้จมลึกอยู่ในปลักของสังสารวัฏฏ์ต่อไป หรือว่าเลือกที่จะหมุนออกจากเกลียวของสังสารวัฏฏ์ไปทีละเล็กทีละน้อย

ปันธรรม-ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๒๐๓


ความคิดเห็น 9    โดย nattawan  วันที่ 13 ก.ค. 2567

เป็นความเขลาแค่ไหนที่หลงยึดติดรูปที่เพียงเกิดขึ้นและดับไป ไม่มีสาระเลย แต่ก็ยังติดข้องเพราะไม่มีปัญญา


ความคิดเห็น 10    โดย chatchai.k  วันที่ 13 ก.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ