บางครั้งจะเกิดความรู้สึกเศร้าอยู่ลึกๆ โดยไม่ได้มีอะไรมากระทบ ไม่มีความคิดปรุงแต่งใดๆ ไม่ได้มีปัญหาครอบครัวหรือเงินทองหรือปัญหาอื่นใด และไม่ได้เป็นตอนอยู่คนเดียว แต่ก็ไม่ได้เกิดบ่อยครั้ง เคยไปถ่ายภาพแสงออร่า อาจารย์ที่อธิบายภาพได้บอกตรงกับสิ่งที่ดิฉันเป็นโดยที่ไม่ได้ให้ข้อมูลอะไรทั้งสิ้นกับอาจารย์ท่านนั้น (ตอนถ่ายภาพไม่ได้มีความรู้สึกเศร้าแต่อย่างใด) อาจารย์ท่านนั้นบอกว่าดิฉันมีความเศร้าลึกๆ จากภายในให้มารักษาด้วยการสะกดจิต ขอความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยค่ะ หากดิฉันไม่ไปสะกดจิต ดิฉันควรนำธรรมะบทใดมาพิจารณาและการสะกดจิตเกี่ยวข้องกับจิตอย่างไรค่ะ
ไม่มีเหตุไม่มีปัจจัยแล้วเกิดขึ้นมาลอยๆ ได้ยังไงคะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า " ธรรมทั้งหลายย่อมไหลมาแต่เหตุ " เหตุในที่นี้ ทางอกุศล ได้แก่ โลภะ โทสะ โมหะ ความเศร้าเป็นสภาพของโทสมูลจิต เป็นสภาพจิตที่ไม่แช่มชื่นซึ่งบางครั้งก็รู้ตัว บางครั้งก็ไม่รู้ตัวใช่มั้ยคะ ผู้ที่ไม่มีความเศร้าเลย คือพระอริยบุคคลขั้นพระอนาคามีขึ้นไป
การสะกดจิต เป็นเพียงการจดจ้อง เพื่อไม่ให้จิตซัดส่ายไปในอารมณ์อื่นทำให้ลืมอารมณ์นั้นๆ ไปชั่วขณะ เป็นการเบี่ยงเบนอารมณ์ เป็นการแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุศึกษาพระธรรมเถอะค่ะ จะทำให้ท่านรู้เหตุแห่งปัญหาและเข้าใจอะไรๆ ในชีวิตได้ดีขึ้น
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต - หน้าที่ 448
๒. ธัมมัสสวนสูตร
ว่าด้วยอานิสงส์แห่งการฟังธรรม ๕ ประการ
[๒๐๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการฟังธรรม ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ ผู้ฟังย่อมได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง ๑ ย่อมเข้าใจชัดสิ่งที่ได้ฟังแล้ว ๑ ย่อมบรรเทาความสงสัยเสียได้ ๑ ย่อมทำความเห็นให้ตรง ๑ จิตของผู้ฟังย่อมเลื่อมใส ๑
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ในการฟังธรรม ๕ ประการนี้แล.
จบธัมมัสสวนสูตรที่ ๒
เมื่อได้อ่านความเห็นที่ 3 ทำให้ทราบถึงเหตุปัจจัย ซึ่งตอนแรกๆ ไม่ทราบจริงๆ เพราะตอนที่อารมณ์เศร้าเกิด เราไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์หรือนึกคิดถึงเรื่องที่เศร้าเลยแม้แต่น้อย แต่อาจเป็นเพราะปัญญาเรายังน้อยจึงไม่รู้ถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้น จนได้อ่านความคิดเห็นของคุณ keaw10 ทำให้นึกถึงสมัยเป็นเด็กที่อย่างเข้าสู่วัยรุ่นมี เรื่องคับข้องใจมากร้องไห้บ่อยครั้งแต่ไม่กล้าเล่าให้ใครฟังต้องเก็บไว้เพียงผู้เดียว จึงถูกสะสมเป็นอุปนิสัยของจิตโดยไม่รู้ตัว แต่ปัจจุบันตรงกันข้ามเพราะแวดล้อมไปด้วยกัลยาณมิตรที่ดี ได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ทุกๆ วัน จิตใจเบิกบานขึ้นกว่าเดิมมากๆ ค่ะ อย่างนี้คงไม่ต้องไม่สะกดจิตที่ไหนเพราะได้คำตอบที่ค้นหามานานแล้ว
ขออนุโมทนาและขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ความเศร้าเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะมีเหตุปัจจัยให้เกิด ความสุขเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเมื่อมีเหตุปัจจัยให้เกิด แต่เราไม่สงสัยและไม่กังวลกับความสุขที่เกิดขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้เราติดข้อง ส่วนความเศร้านั้น ประกอบด้วยความรู้สึกที่หดหู่ ไม่สบายใจ เป็นต้น สาเหตุของความเศร้าที่เกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ความทุกข์ที่เกิดในชาตินี้ แต่เป็นการสะสมสืบต่อของจิตนับชาติไม่ถ้วน อันเกิดจากกิเลสที่ยังมีอยู่ เช่น โลภะ โทสะ และโมหะ เป็นต้น ดังนั้นหนทางที่จะดับกิเลสและความเศร้าใจคือ เข้าใจความจริงของธรรมนั้น ไม่ใช่ไปบังคับไม่ให้เศร้าใจไม่ให้เกิด เป็นไปไม่ได้ ยังมีกิเลส แต่รู้ตามความเป็นจริงของความเศร้าใจว่า เป็นเพียงธรรมไม่ใช่เราที่เศร้าใจ นี่คือหนทางดับกิเลส ไม่มีวิธีอื่นเลย แต่อาจจะมีคำถามว่า ปัญญายังไม่ถึงระดับนั้น แต่ทุกอย่างอบรมได้ ด้วยการฟังพระธรรมให้เข้าใจ ไม่ขาดการฟังและมั่นคงว่าทุกอย่างเป็นธรรม และกิเลสที่จะดับก่อนคือ ความยึดถือว่าเป็นเรา ไม่ใช่ความเศร้าใจ อย่าลืมนะ หนทางเดียวครับ
ขออนุโมทนา ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอบพระคุณค่ะะ คุณแล้วเจอกัน จะฟังธรรมทุกๆ วันและรับรู้สภาพธรรมะที่ปรากฏตามความเป็นจริงว่าไม่ใช่เรา ขออนุโมทนาค่ะ
กิเลสเป็นเครื่องประกอบสัตว์ไว้ในทุกข์ เรามีความแก่เป็นธรรมดา เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา เรามีความตายเป็นธรรมดา เรามีการพลัดพราก มีความโศกเป็นธรรมดา สิ่งที่ควรแสวงหาคือ ปัญญาที่จะช่วยให้เราพ้นทุกข์ค่ะ คนอื่นจะช่วยเราไม่ได้ นอกจากเราอบรมปัญญาเองค่ะ
ที่จริงแล้ว ความรู้สึก "อทุกขมสุขเวทนา" เกิดบ่อยที่สุดในขณะที่เราตื่น แต่เป็นเวทนาที่ยากจะระลึกได้ เช่น เวลาที่เราเห็นใครกำลังนั่งทำหน้าเฉยๆ พอไปถามเขา เขาก็บอกว่าเขารู้สึก "เฉยๆ " แต่จะเป็นความเฉยๆ ที่เป็นในทางกุศลหรืออกุศล เราย่อมไม่สามารถจะรู้ขณะจิตของเขาได้ อย่างผม ก็ไม่สามารถจะรู้ขณะจิตของคุณ Nareopak ได้ เพราะแม้แต่ขณะจิตของตนเองหลายต่อหลายขณะ ผมก็ยังไม่รู้เพราะปัญญายังไม่ถึงขั้นประจักษ์ ด้วยเหตุนี้ ผู้เจริญสติปัฏฐานเท่านั้นที่ สติสามารถจะค่อยๆ เกิดระลึกรู้สภาพจิตของตนๆ เวลาที่เป็น "อุเบกขาเวทนา" ซึ่งก็ต้องปรารภสติเนืองๆ และน้อมไปที่จะรู้สภาพธรรมมะที่เกิดกับจิตแต่ละขณะนั้นๆ ครับ
ด้วยเหตุนี้ เวทนาที่รู้สึกได้ในแต่ละวันโดยอาการที่ปรากฎชัด จึงเป็นความรู้สึกสุข หรือความรู้สึกทุกข์มากกว่า ซึ่งทุกคนก็รู้สึกได้ แต่จะเป็นการรู้สึกด้วยตัวตนและหลงลืมสติเพราะอวิชชา มีสักกายทิฏฐิเกิด หลงว่าเป็นตัวเราที่รู้สึก เป็นความรู้สึกของเรา หรือจะเป็นการรู้ด้วยปัญญา คือ สติปัฏฐานเกิด ก็เป็นสิ่งที่เป็นอนัตตาครับ
อีกประการหนึ่ง เวลาที่เราย้อนคิดถึงเรื่องในอดีต ก็อาจจะแปลกใจว่าเหตุใดเราถึงยังเป็นทุกข์อยู่ ทั้งๆ ที่ก็ได้ฟังธรรมมาระยะหนึ่งแล้ว ก็พอจะเข้าใจบ้างแล้ว สติก็เกิดบ้างแล้ว ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าอกุศลจิตที่เกิดแล้วดับไปนั้น ไม่ได้สูญหายไปไหน แม้จิตดวงที่แล้วจะเกิดและดับไป อกุศลก็ยังมีปัจจัยที่จะเกิดสั่งสมสืบต่อในชวนวิถีของจิตดวงต่อๆ ไปอีก ดวงแล้วดวงเล่า เพราะเหตุนี้ อกุศลจิตที่เกิดในแต่ละวันจึงมีกำลังมากที่จะเกิด แล้วก็เกิดได้อย่างรวดเร็วเสียด้วยครับตัวอย่าง นักเรียนที่ผมสอนอยู่ (ป.๔) ๒ คน หลายวันก่อนเค้าทะเลาะกัน แล้วก็ทะเลาะมากันมาหลายครั้ง ผลัดกันเป็นฝ่ายร้องไห้บ้างในบางวัน เท่าที่ผมสังเกตดู สองคนนี้นานวันก็ยิ่งจะทะเลาะกันรุนแรงขึ้น บางวันก็โกรธกันถึงขนาดแอบไปรื้อ ข้าวของกัน บางวันก็ผลักโต๊ะกันให้ล้ม อย่างวันนี้ อยู่ดีๆ แค่เพื่อนออกมาพูดหน้าชั้นเรียน พูดจบไปไม่ทันไรและก็ไม่ได้ทำอะไรให้อีกฝ่ายหนึ่งเลย อยู่ดีๆ อีกฝ่ายก็พูดด่าด้วยคำหยาบขณะที่ผมกำลังสอน แม้ผมจะเคยพยายามจะพูดด้วยเหตุผลเท่าไรก็ไม่ได้ผล ก็เลยให้เค้ากลับไปคิดว่าทำไมถึงไม่ยอมให้อภัยเพื่อน วันนี้เค้ามาตอบผมว่า "ผมได้คำตอบแล้วครับครู ผมเกลียดมัน" แม้แต่ครูประจำชั้น ครูฝ่ายพัฒนาวินัยก็เคยเรียกไปเตือน หรือถึงขั้นลงโทษแล้วก็มี อกุศลนี่ถ้าปัญญายังไม่เห็นโทษของการสั่งสม ก็จะไม่รู้ถึงความน่ากลัวของรูป เกิดจากจิตซึ่งเป็นไปด้วยอำนาจของโทสะ อย่างกรณีนี้เป็นต้นครับ ถึงแม้ว่าอกุศลจิตในอดีตจะดับไปแล้ว แต่ก็ไม่ไร้ค่าครับ ถ้าจะให้เป็นประโยชน์ยิ่งขึ้นก็อาจจะลองคิดโดยอาศัยความรู้จากพระธรรมที่ได้ศึกษา ตรึกคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลในแง่ของปัจจัยบ้าง ในแง่ของวิถีจิตบ้าง สอบถามจากสัปบุรุษบ้าง ผมคิดว่าอย่างนั้นจะช่วยให้คุณ Nareopak เกิดความสบายใจมากกว่าที่จะเป็นทุกข์เพราะสามารถเข้าใจในความเป็นไปของธรรมมากขึ้นนั่นเองครับ
ขออนุโมทนาและขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะคุณ ajarnkruo จะพากเพียรในการอบรมเจริญปัญญาทุกๆ วันค่ะเพราะจากการสังเกตจะพบว่าครั้งก่อนๆ ความรู้สึกเศร้า จะเกิดอยู่หลายนาทีแต่ปัจจุบันตั้งแต่เริ่มเจริญปัญญา จะรู้สึกได้ไม่เกิน ๑๐ วินาที ก็จะดับไป
ธรรมทั้งหลายไหลมาแต่เหตุ
ยิ่งฟังพระธรรมที่อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ แสดงบ่อยๆ (ดิฉันรู้สึกว่าโชคดีที่ได้ ฟังจาก CD เกือบทุกวัน และฟังวันละนานๆ หลายช่วงเวลาด้วย) ดิฉันรู้สึกถึงพระมหากรุณาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และความเมตตาของอาจารย์สุจินต์ฯ ถึงแม้ว่าจะยังไม่เข้าใจมากนัก แต่ดิฉันมีความอาจหาญที่จะเผชิญสุข ทุกข์ต่างๆ เพราะเข้าใจว่าเป็นผลของกรรม ทุกๆ อย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุที่เราเป็นผู้เคยกระทำมาทั้งสิ้น ไม่มีความบังเอิญในพระพุทธศาสนา และก็คิดว่าการฟังพระธรรม (การอบรมเจริญปัญญา) เท่านั้น ที่จะทำให้คลายความทุกข์ ความเศร้า ความกังวลในสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง
ขออนุโมทนากับคุณ Nareopak และทุกท่านที่แสดงความคิดเห็น แม้ไม่เคยรู้จักกันแต่เราก็เป็นกัลยาณมิตรแก่กัน
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย ธรรมทั้งหลายเกิดแต่เหตุเหตุย่อมตรงกับผล แต่ "เรา" มักต้องการผลตามที่พอใจหรือตามที่คิดเอาเอง ขออนุโมทนากับทุกๆ ท่านครับ
ขออนุโมทนาครับ
ยินดีในกุศลจิตค่ะ