เรื่องเคยมีมาแล้วในบางกลุ่มของผู้ศรัทธาในพระรัตนตรัย อยากถามผู้รู้ว่า
๑.การแบ่งบุญของผู้ที่ทำบุญมาใหม่ๆ แก่ผู้มาขอบุญ ทราบมาว่าได้บุญ 100% จากผู้ที่ทำบุญ เช่น แม่เราไปทำสังฆทานมา กลับมาบ้านเรารู้ว่าท่านไปทำบุญมา เราขอแบ่งบุญจากท่าน เราได้ ๑๐๐% จากบุญที่เขาทำใช่มั๊ยครับ? พระพุทธเจ้าบอกว่าเหมือนการต่อไฟตระเกียง ผู้มาต่อ ก็ย่อมได้ไฟเท่ากับผู้ที่ถือไฟตระเกียงอยู่ฉันนั้น แต่ผู้ที่ถือไฟตระเกียงอยู่ไฟย่อมไม่หมดไปหรือลดน้อยลงไปแต่กลับมากขึ้น ซึ่งมาจากไฟที่ตัวเองถือส่วนหนึ่ง ไฟที่คนมาขอต่ออีกส่วนหนึ่ง
๒. หากมีคนที่คิดลึก แบบนักคณิตศาสตร์ ตรงที่ว่าการขอแบ่งบุญ แบ่งไป แบ่งมา ดังข้อ ๑ ผมขอแบ่งบุญจากแม่ และในทางกลับกันแม่ขอแบ่งบุญจากผม เราทำการแบ่งบุญกลับไปกลับมาหลายๆ ครั้ง อาจเป็น ๑๐๐ ครั้ง บุญจะทวีคูณเพิ่มขึ้นหรือไม่ในของแม่และของผม
๓ .สืบเนื่องจากข้อ 2 ผมได้เห็นวิธีการของคนบางกลุ่มมีการแบ่งบุญกรณี เช่น สมมติว่าหากอ. สุจินต์ มีการแสดงธรรมก็ย่อมเป็นบุญของอ. ที่อ.ได้รับ ผมสมมติเป็น ๑ และ วันนั้นมีคนไปฟังธรรม ๑๐๐ คน ย่อมได้บุญจากการฟังธรรมผมสมมติว่าแต่ละคนก็ได้เท่ากับ ๑ รวมกัน ๑๐๐ คน เท่ากับ ๑๐๐ หลังจากฟังธรรมเสร็จ คน ๑๐๐ คน ก็แบ่งบุญให้ อ.สุจินต์ และเมื่อ อ.สุจินต์ ได้รับบุญจาก คน ๑๐๐ คน ก็คือบุญ ๑๐๐ และอ.สุจินต์ ก็แบ่งกลับให้คน ๑๐๐ คนนั้น คน ๑๐๐ คนนั้นได้รับบุญกลับมา ๑๐๐+๑ บุญ ใช่มั๊ยครับ เป็นวิธีการที่ใช่ได้ถูกต้องใช่มั๊ยครับ และการแบ่งบูญนี้ได้ครบทั้งผู้รับ และผู้ให้หรือไม่ครับ? หรือได้อย่างเดียวคือผู้รับ (อ.สุจินต์) การแบ่งบุญนี้มีปรากฏในพระไตรปิฏกหลายตอน ผมขอยกตัวอย่าง ดังเช่นลูกจ้างของสุมนเศรษฐี ได้ทำบุญกับพระปัจเจกพุทธเจ้าซึ่งออกจากนิโรธสมาบัติ ๘ ได้กระทำบุญที่เรียกว่าทิฐธรรมเวชนียกรรม แล้วสุมนเศรษฐีมาขอแบ่งบุญเนื่องจากรู้ว่า ลูกจ้างตนได้ทำบุญใหญ่ที่ประมาณไม่ได้ รู้จากเทวดาในเรือนตนที่ออกมา สาธุการฯในคราวนั้น ต่อมาอีกหลายภพหลายชาติ ๒ คนได้ตาย เกิดบนเทวโลก และมนุษย์เท่านั้นไม่ลงอบายภูมิเลย จนชาติสุดท้ายมาเกิดเป็นมนุษย์สุมนเศรษฐีมาเป็นสุมนสามเณร และลูกจ้างคนนั้นมาเป็น พระอนิรุทธะ ผู้เป็นเลิศในทิพจักขุ ในสมัยพระพุทธเจ้าโคดม ของเราครับ
ขอบคุณครับ หากใครมีความรู้ในทางธรรมก็ขอให้ช่วยกันแชร์หน่อยนะครับ
ผู้ที่ทำบุญแล้วอุทิศให้กับผู้อื่นอนุโมทนา ผู้ให้ส่วนบุญชื่อว่ามีกุศลจิตเกิดขึ้นเป็นบุญญกิริยาประเภทหนึ่ง ผู้ที่ทราบว่าผู้อื่นทำบุญมีกุศลจิตเกิดขึ้นอนุโมทนาในบุญ ชื่อ
ว่าเป็นบุญญกิริยาประเภทหนึ่ง บุญเป็นนามธรรม ไม่มีปริมาณเป็นเปอร์เซ็น ไม่มีการ
ได้เหมือนการให้วัตถุ แต่อยู่ที่จิตที่ดีเกิดขึ้นจึงเป็นบุญ มีสุขวิบากเป็นผล ตามหลักคำ
สอนของพระพุทธเจ้า การทำบุญทุกประเภทเพื่อการละ ไม่ใช่เพื่อได้มากๆ แต่เพื่อการ
สละอกุศล ดังนั้น ไม่ควรคิดถึงการแบ่งกันไปแบ่งกันมา แต่ควรเจริญกุศลทุกประการ
เพื่อการดับซึ่งอกุศลธรรมทั้งหลายที่สะสมมานาน
บุญหรือกุศลหมายถึงจิตที่ดีงาม เวลาเราเห็นใครทำความดี เราอนุโมทนาในใจก็ได้
เป็นกุศลจิต กุศลย่อมให้ผลเป็นสุข แม้จะไม่หวัง แต่ขณะที่เราหวังผลของกุศล
กุศลก็ลดลงแล้ว เพราะมีโลภะมาแทรก
การทำกุศลมี 2 อย่าง คือ
1. เพื่อวนเวียนอยู่ในวัฏฏ์
2. เพื่อออกจากวัฏฏ์
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
การให้ของผู้มีปัญญาไม่เท่ากัน อานิสงส์ก็ไม่เท่ากัน แม้ การอนุโมทนาบุญนั้นก็ขึ้นอยู่กับผู้อนุโมทนามีปัญญามากน้อยต่างกัน กุศลจิตจึงประณีตหรือหยาบต่าง
กันครับ ไม่ใช่อนุโมทนาแล้วจะเท่ากันหมด บางคนรู้ว่าอนุโมทนาเป็นกุศล จิต
จึงหวังอยากได้กุศล ขณะนั้นเป็น (โลภะ) แล้วจึงอนุโมทนา แม้ขณะนั้นเป็นกุศล
แต่มีอกุศลเป็นบริวารเพราะหวังอานิสงส์จึงอนุโมทนา อานิสงส์ ผลบุญจึงน้อย
ลงเพราะอกุศลเป็นบริวารครับ ดังนั้น เราจึงถูกโลภะ ความต้องการเป็นเพื่อน
สนิทไปตลอด แม้ต้องการแม้บุญเพราะรู้ว่ามีอานิสงส์มากจึงอนุโมทนา เป็นต้น
โลภะจึงเป็นสมุทัย เป็นเหตุแห่งทุกข์เพราะแม้เกิดในสวรรค์หรือทำบุญมากมาย
แต่ไม่เข้าใจหนทางการดับกิเลสก็ไม่มีทางพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ได้ และก็ต้อง
เวียนกลับมาเกิดในอบายภูมิอีกครับ ขออนุโมทนาครับ ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...
เรื่องทําบุญ ๓ ประการ [ปุญญกิริยาวัตถุสูตร]
ขอเชิญคลิกอ่านได้ที่...
บุญกิริยาวัตถุ [อรรถกถาปุญญกิริยาวัตถุสูตร]