สมศรี : ขอเรียนถามเรื่อง
1. ศาลพระภูมิในบ้านอาศัย ควรตั้งหรือไม่ตั้งคะ
2. การสวดมนต์ควรสวดบทใดคะ และควรสวดไหมคะ
ขอบพระคุณค่ะ
อ.กุลวิไล :
1. ศาลพระภูมิคืออะไร ภูมิ มีความหมาย 2 อย่าง คือ
- ระดับของจิต จิตต่างกันเป็นประเภทๆ และจิตก็วิจิตรต่างๆ กันมาก
- ที่เกิดของสัตว์ อย่างการเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน มนุษย์ เทวดา หรือพรหม
ถ้าเชื่อว่ามีเทวดาหรือพรหม มาอาศัยที่ศาลเล็กๆ ก็เป็นความเห็นผิดจากความเป็นจริง หนทางเดียว ศึกษาคำจริงของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วท่านผู้ถามจะได้คำตอบเองค่ะ ว่าควรตั้งศาลพระภูมิไหม
2. การสวดมนต์ เช่นเดียวกับข้อแรก ทราบไหมว่า สวดมนต์ คืออะไร เป็นการสาธยายหรือกล่าวด้วยความเข้าใจความเป็นจริง (ปัญญา) โดยสภาพธรรมกล่าวด้วยกุศลจิตที่ประกอบด้วยปัญญา อย่างบทพระพุทธคุณ คงเคยสวดกันตั้งแต่เด็กๆ รู้คุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม? รู้เมื่อไร จิตผ่องใสเป็นกุศลในขณะนั้น เพราะได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระองค์ รู้ถึงธรรมะที่ทรงตรัสรู้
มีข้อความในพระไตรปิฎกที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรมะ ผู้นั้นเห็นเราตถาคต ควรสวดไหมและสวดบทใด ท่านผู้ถามจะได้คำตอบเองเมื่อได้เข้าใจธรรมที่ทรงแสดงค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ประเด็นเรื่องศาลพระภูมิ ถ้ามีความเข้าใจถูกแล้ว จะไม่เดือดร้อนใจหรือกังวลใจใดๆ เลย มีแต่ความเบาสบายไม่หนักด้วยอกุศล เพราะเหตุว่าเทวดาท่านมีที่อยู่ของท่านอยู่แล้ว มีวิมานที่เกิดเพราะบุญของท่าน ไม่ใช่ว่าเราจะสร้างหรือตั้งศาลพระภูมิที่อยู่ให้ท่าน การที่จะบูชาเทวดาอย่างถูกต้องก็ด้วยการทำบุญทำความดีแล้วอุทิศไปให้เทวดาอนุโมทนา อย่างนี้ถึงจะสำเร็จประโยชน์
อีกอย่างที่คิดจะตั้งศาลพระภูมิ บางทีไม่ได้คิดถึงเรื่องเทวดาด้วยซ้ำ เพียงแต่จะทำตามๆ กัน ด้วยความสำคัญว่าทำแล้วจะอยู่ดีมีสุข มีอะไรมาคุ้มครองปกปักรักษา แต่ลืมความเป็นจริงของธรรม กล่าวคือ เรื่องกรรมและผลของกรรม เพราะเหตุว่า ไม่มีใครจะมาปกปักรักษาใครได้ นอกจากบุญกุศลหรือคุณความดีเท่านั้น ที่เมื่อให้ผล ก็ให้ผลเป็นผลที่ดีเท่านั้น ไม่ให้ผลที่เป็นทุกข์เลย เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงควรสะสมแต่บุญกุศลเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ ความเข้าใจพระธรรม จากการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ที่จะเป็นที่พึ่งในชีวิตได้โดยตลอด ป้องกันไม่ให้ทำในสิ่งที่ผิด ด้วยความมั่นคงในความถูกต้อง โดยไม่หวั่นไหว
ประเด็นเรื่องสวดมนต์ ควรที่จะได้พิจารณาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระธรรม เพื่อให้พุทธบริษัทได้เข้าใจ สิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง ที่จะสอนให้ไม่รู้นั้น ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ไม่ว่าจะเป็นพระสูตรใด ส่วนใดไม่ใช่สำหรับสวดหรือสำหรับท่อง แต่สำหรับศึกษา ด้วยความละเอียดรอบคอบจริงๆ เพื่อความเข้าใจอย่างถูกต้องตรงตามที่พระองค์ทรงแสดง
สวดแล้วหวัง ท่องแล้วหวัง เพื่อที่จะได้ผลตอบแทนที่ดี นั่นไม่ตรงแล้ว เพราะหวังเป็นโลภะ เป็นเหตุที่ไม่ดี ในเมื่อเป็นเหตุที่ไม่ดี ก็ไม่สามารถนำผลที่ดีมาให้ได้เลย นี่คือ ความเป็นผู้ตรง ซึ่งจะต้องมีความเข้าใจด้วยว่า ระหว่างการสวด โดยที่ไม่เข้าใจ กับการฟังพระธรรมแล้วก็เข้าใจ อย่างไหนจะเป็นประโยชน์กว่ากัน
ถ้ากล่าวถึงคำว่า "สวดมนต์" เมื่อเทียบเทียงกับภาษาบาลีแล้ว แปลได้ว่า การสาธยาย คือการทบทวนสิ่งที่ได้ฟัง ให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ในครั้งพุทธกาล ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็สาธยาย แต่เพราะได้ฟังพระธรรมแล้ว ในครั้งนั้น กว่าจะได้ฟังพระธรรมนั้นยากลำบาก เดินทางไปเข้าเฝ้าฟังพระธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไกลแสนไกล เพื่อที่จะได้ฟังเมื่อฟังเสร็จแล้วก็เดินทางกลับ ระหว่างนั้นก็มีการระลึกถึงพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง เพื่อจะได้ไม่ลืม เวลาที่มีการระลึกถึงคำที่ได้ฟัง บ่อยๆ เนืองๆ แล้วไตร่ตรอง ด้วยความเข้าใจนี้ คือ การสาธยาย ซึ่งไม่ใช่การพูดคำที่ไม่รู้จัก ดังนั้น แทนที่จะสวดมนต์ ก็เปลี่ยนเป็น เริ่มฟังพระธรรม ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลค่ะ
ขออนุโมทนาครับ