เพราะจิตไม่ได้ออกไปยุ่งเกี่ยวภายนอกซึ่งเป็นตัวตน คน สัตว์เลยไม่มีโลกเก่าซึ่งเป็นโลกภายนอกที่เต็มไปด้วยผู้คน วัตถุ สิ่งต่างๆ ที่เคยยึดถือว่าเป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้ สิ่งนั้นสิ่งนี้ อย่างเที่ยงแท้ถาวร
แต่ว่าสติเกิดขณะใด ปัญญารู้ชัดขณะนั้น จึงเป็นความสงบภายในเพราะไม่มีคน สัตว์ วัตถุใดๆ ที่ไม่สงบ เพราะคนเยอะ มีเรื่องมาก
ถ้าเป็นบุคคลที่เคยมีความสัมพันธ์หรือมีเรื่องราวที่เคยเกี่ยวข้องกันพอเห็นนิดเดียวก็ต่อเป็นเรื่องยาว แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักเรื่องก็สั้นพอเห็นก็คิดนิดเดียวก็หมดแล้ว ไม่ได้ติดตามไปเป็นเรื่องราวต่างๆ เมื่ออบรมเจริญปัญญาจริงๆ ก็จะเห็นพระคุณของพระผู้มีพระภาคที่ทรงแสดงพระธรรมโดยละเอียดตั้งแต่ขั้นปาติโมกขสังวรศีล ความประพฤติทางกายและทางวาจาที่ควรแก่สมณะ คือเพศบรรพชิตผู้สงบ
แม้แต่การมองก็มองชั่วแอกเพื่อให้ระลึกอยู่เสมอว่า ไม่ควรต่อเรื่องให้ยืดยาว เมื่อเห็นแล้วก็ไม่ควรคิดวิจิตรเป็นคนนั้นเป็นคนนี้ เรื่องนั้น เรื่องนี้มากมาย เมื่อเห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นเพียง “เห็น” จะชั่วแอกหรือไม่ชั่วแอกก็ตาม เห็นแล้วก็จบขณะนั้นก็จะไม่ผูกพันธ์เยื่อใยในนิมิต อนุพยัญชนะ
เมื่อปัญญารู้ชัดจริงๆ ว่าที่เคยเห็นเป็นโลกภายนอกมีคนมากมายนั้น ก็เป็นเพราะคิด ถ้าไม่คิด เพียงเห็นแล้วก็หมดจะมีคนเยอะไหม แต่เพราะเคยคิดมานานเพราะฉะนั้น ก็ย่อมคิด แล้วแต่ว่าจะคิดอะไร แม้ว่าจะเห็นสิ่งเดียวกัน แต่ละคนคิดไม่เหมือนกันเลยตามเหตุตามปัจจัยที่ได้สะสมมา เช่น เห็นดอกไม้ ท่านหนึ่งพอใจว่าสวย อีกท่านหนึ่งว่าไม่สวยฉะนั้น สวยหรือไม่สวยจึงเป็นความคิดของแต่ละคน
โลกที่แท้จริงจึงเป็นโลกของความคิดของแต่ละบุคคล เมื่อสติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมจริงๆ ก็จะรู้ชัดว่าขณะนั้นเป็นนามธรรมที่กำลังคิดเรื่องต่างๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะคิดอะไรก็ตามเมื่อรู้ลักษณะของนามธรรมที่คิด ก็รู้ว่าเรื่องราวที่เป็นคน สัตว์ต่างๆ ไม่มีจริงๆ
ขณะที่เป็นทุกข์กังวลใจ ก็รู้ว่าทุกข์เพราะความคิด ขณะที่เป็นทุกข์ก็โดยนัยเดียวกัน ขณะที่ดูโทรทัศน์เรื่องที่ชอบใจ ก็เป็นสุขเพราะคิดตามภาพที่เห็น ฉะนั้น ไม่ว่าจะอยู่ ณ ที่ใดก็ตาม ก็อยู่ในโลกของความคิดนึกนั่นเองโลกแต่ละขณะจึงเป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นรู้อารมณ์ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แล้วก็คิดนึกต่อทางใจ เป็นเรื่องราวต่างๆ เท่านั้นเอง
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ