ผู้ถาม อันนี้ไม่ใช่พุทธศาสนา แต่ดิฉันเพียงแต่คิดว่าปัจจุบันนี้ สมมติว่าจะไปเชียงใหม่ ก็คงจะไม่ใช่หนทางเดียวที่จะไปถึงเชียงใหม่ เราจะบินไปก็ได้ เดินก็ได้ ขึ้นรถไฟก็ได้ หรืออาจจะขึ้นรถทัวร์ หรืออาจจะขึ้นรถปิคอัพ หรืออะไรก็ได้ เพราะฉะนั้นในความเห็นของดิฉัน ก็อยากจะเรียนอาจารย์ว่าดิฉันก็ยังไม่เชื่อว่าการฟังธรรมอย่างอาจารย์อธิบายนี้ จะเป็นวิธีเดียวที่ทำให้บรรลุเป็นพระอรหันต์ มันน่าจะมีหลายๆ ทาง สำหรับคนหลายๆ ประเภทที่จะเดิน มิฉะนั้น พระพุทธเจ้าคงจะไม่ตรัสถึงจริต คือการฟังธรรมจะต้องเป็นไปตามจริต ดิฉันเคยได้ยินว่าพระพุทธเจ้า พอตื่นขึ้นมาตอนเช้าก่อนจะไปรับบาตร หรือว่าออกไปไหนไม่ทราบ ท่านจะต้องตรวจดูก่อนด้วยพระญาณพิเศษของท่านว่า มีบุคคลใดบ้างที่ท่านสมควรจะไปโปรด ถึงเวลาที่บุคคลนั้นควรจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์
สุ. ก็แสดงว่าท่านผู้นั้นได้ฟังพระธรรม
ถ. วิธีการที่จะฟังคงจะไม่มีวิธีเดียว วิธีที่คนจะบรรลุคงไม่ผูกขาด น่าจะมีหลายๆ วิธี
สุ. คนที่จะไปเชียงใหม่ ก็ต้องรู้ว่าเชียงใหม่อยู่ที่ไหน ถ้าเราจะเปลี่ยนคำพูดแทนการฟังว่า ต้องถึงด้วยปัญญา จะยอมรับข้อนี้ไหม หรือไม่ใช่ปัญญาก็ถึงได้
ถ. ถ้าไม่ใช่ปัญญา สมมติว่าดิฉันจะเรียนถามว่า มีพระบางองค์นั่งสมาธิ และด้วยสมาธินี้ ซึ่งตัวดิฉันเองก็ยังไม่เคยได้ แต่จากที่เคยได้ยิน ได้ฟัง ได้อ่าน ท่านทำสมาธิวิปัสสนาจนท่านได้รู้เห็นธรรม เมื่อปัญญาเกิด มันก็ใช่ปัญญา ปัญญาเกิด ก็คือได้รู้เห็นธรรม
สุ. คือเราต้องยอมรับเป็นข้อๆ ก่อนว่า การที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้นั้น ต้องรู้แจ้งด้วยปัญญา
ถ. ดิฉันไม่เชื่อว่าการเรียนจากอภิธรรมอย่างเดียวจะทำให้เกิดปัญญา แน่นอนคนเราต้องใช้ปัญญา ต้องกินอาหารจึงจะทำให้อิ่ม ทีนี้คนมีปัญญาไม่จำเป็นจะต้องมาจากการอ่านอภิธรรม
สุ. ดิฉันเข้าใจว่าที่พูดนี้ จะตามคำที่พูดว่า จะไปกรุงโรมนั้นไปได้หลายทาง แทนไปกรุงโรมก็ไปเชียงใหม่ ก็ไปได้หลายทางเหมือนกัน การรู้แจ้งอริยสัจจธรรมต้องเป็นปัญญาที่ประจักษ์แจ้งสภาพธรรมที่ไม่เที่ยง เกิดขึ้นแล้วดับไปในขณะนี้ ขณะนี้สภาพธรรมกำลังเกิดดับ ปัญญาที่รู้แจ้งสภาพธรรมที่เกิดดับในขณะนี้ จึงเป็นปัญญาที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้
สำหรับคนที่ปัญญาไม่เกิด กิเลสต้องเกิด เช่น พอเห็นแล้วก็ไม่รู้ เห็นแล้วก็ชอบ เห็นแล้วก็ยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด นั่นคือผู้ที่ปัญญาไม่เกิด ฉะนั้นผู้ที่จะดับกิเลสได้นั้น ปัญญาต้องเจริญขึ้น คมกล้าขึ้น เมื่อรู้ว่าขณะนี้เป็นสภาพธรรมซึ่งเกิดแล้วดับ แต่ขั้นต้นนั้นปัญญายังประจักษ์การเกิดดับไม่ได้ ปัญญาจะต้องสมบรูณ์ขึ้นเป็นขั้นๆ จนถึงขั้นวิปัสสนาญาณที่เริ่มต้นจาก นามรูปปริจเฉทญาณ คือเป็นปัญญาที่ถึงความสมบรูณ์ ถึงขั้นประจักษ์แจ้งลักษณะที่แยกขาดกันของนามธรรมและรูปธรรม โดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน
ทางมโนทวาร ในขณะที่กำลังเห็น ถ้าปัญญาไม่เกิดก็แยกลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมไม่ออก แยกเห็นกับสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่ได้ ขณะที่ได้ยินก็แยกได้ยินกับเสียงไม่ออก ถ้าสติไม่เกิดไม่ระลึก ก็จะไม่รู้ว่าได้ยินเป็นสภาพรู้ไม่ใช่เสียง
ถ้าปัญญาขั้นนี้ยังไม่เกิด ปัญญาขั้นประจักษ์แจ้งการเกิดดับก็เกิดไม่ได้ ฉะนั้น จะกล่าวว่าหนทางเดียวหรือหลายหนทาง ในเมื่อในมหาสติปัฏฐาน พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เอกายนมคฺโค คือการอบรมเจริญสติปัญญา โดยเป็นผู้ที่ปกติระลึกได้ เมื่อได้ฟังพระธรรมและพิจารณาเข้าใจแล้วว่าเป็นสภาพธรรมไม่ใช่ตัวตน เมื่อสติเกิดก็ระลึกได้ แล้วค่อยๆ รู้ขึ้น จนกว่าจะถึงความสมบูรณ์ที่ประจักษ์แจ้งการเกิดดับจริงๆ ฉะนั้นใครจะระลึกรู้สภาพธรรมอะไรขณะไหนก็แล้วแต่ ไม่เหมือนทางไปโรมหรือไปเชียงใหม่ แต่ปัญญาจะต้องรู้ความจริงซึ่งเป็นสัจจธรรม และสัจจธรรมก็กำลังปรากฏในขณะนี้ด้วย
ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...
แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 10