[เล่มที่ 40] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๑-หน้าที่ 358
ข้อความบางตอนจาก...
เรื่องท้าวสักกะ
มหาลิ ท้าวสักกะถึงความเป็นท้าวสักกะแล้ว เพราะได้สมาทาน วัตตบท ๗ ใด, วัตตบท ๗ นั้น ได้เป็นอันท้าวสักกะผู้เป็นจอมแห่ง เทพทั้งหลาย ซึ่ง (ครั้ง) เป็นมนุษย์ในกาลก่อน สมาทานให้บริบูรณ์ แล้ว; วัตตบท ๗ ประการเป็นไฉน คือเราพึงเป็นผู้เลี้ยงมารดาบิดา ตลอดชีวิต; พึงเป็นผู้มีปกติประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ในตระกูลตลอด ชีวิต; พึงเป็นผู้พูดอ่อนหวานตลอดชีวิต; พึงเป็นผู้ไม่พูดส่อเสียดตลอด ชีวิต; พึงมีจิตปราศจากมลทิน คือ ความตระหนี่ มีเครื่องบริจาค อันสละแล้ว มีฝ่ามืออันล้างแล้ว๑ ยินดีแล้วในการสละ ควรแก่การขอ ยินดีในการจำแนกทาน พึงอยู่ครอบครองเรือนตลอดชีวิต; พึงเป็นผู้ กล่าวคำสัตย์ตลอดชีวิต พึงเป็นผู้ไม่โกรธตลอดชีวิต; ถ้าความโกรธพึง เกิดแก่เราไซร้ เราพึงหักห้ามมันเสียพลันทีเดียว ดังนี้, มหาลิ ท้าว สักกะถึงความเป็นท้าวสักกะ เพราะได้สมาทานวัตตบท ๗ ใด, วัตตบท ๗ นั้น ได้เป็นของท้าวสักกะ ผู้เป็นจอมแห่งเทพทั้งหลาย (ครั้ง) เกิดเป็นมนุษย์ในกาลก่อน สมาทานให้บริบูรณ์แล้ว ฉะนี้แล
(พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสคำไวยากรณ์นี้แล้ว ได้ตรัสพระพุทธพจน์ภายหลังว่า)
"ทวยเทพชั้นดาวดึงส์ เรียกนรชนผู้เลี้ยง มารดาบิดา มีปกติประพฤติอ่อนน้อมต่อผู้ใหญ่ใน ตระกูล กล่าวถ้อยคำไพเราะอ่อนหวาน ละวาจาส่อ เสียด ประกอบในอันกำจัดความตระหนี่ มีวาจาสัตย์ ข่มความโกรธได้ นั้นแลว่า "สัปบุรุษ"
ขอเชิญอ่านเพิ่มเติม..
๘. เรื่องท้าวสักกะ [๑๖๔]
ขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ
ขออนุโมทนาครับ