ความน่าอัศจรรย์ของพระธรรมวินัย
สนทนาธรรมทั้งเช้าบ่ายที่โรงแรม The Light ตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย.ถึง 8 เม.ย. มีสหายธรรมมาร่วมสนทนาและถามปัญหามากเหมือนเดิม แม้บางคนต้องกลับไปทำงานที่ภูมิลำเนาที่อยู่ห่างไกลออกไปก็ตาม แต่ก็มีคนมาใหม่มาฟังเพิ่มอีก บางคนได้ฟังถ่ายทอดสดแล้วสนใจ เดินทางไกลมาฟังด้วยตัวเอง และมีฝรั่งแบกเป้ 2 คนทราบจากแม่ชีที่พบและสนทนากันที่ชายหาดก็ขอมาฟังอย่างสนใจถึง 2 วัน วันจะกลับแบกเครื่องดนตรีและสัมภาระมาฟังด้วย คงมาเล่นดนตรีที่ญาจาง เพราะเห็นโอเปร่าเฮ้าส์สวยงามใหญ่โตริมทะเล เปิดแสดงดนตรีตอนกลางคืน
มีชายหนุ่มคนหนึ่งจากไซ่ง่อน มาแนะนำตัวกับท่านอาจารย์ว่า เพิ่งเริ่มฟังได้ 2 เดือน และถามปัญหาหลายอย่างซึ่งแสดงว่าเขาได้ศึกษาอภิธรรมมาแล้ว ท่านอาจารย์บอกว่า แม้เขาจะฟังไม่นานแต่ก็เข้าใจดี มีคำถามที่เขาถามในที่ประชุมว่า วิทยากรอื่นๆ ตอบคำถามเป็นคำจำกัดความ ความหมายของคำ แต่ท่านอาจารย์นำมาสู่การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏขณะนี้ตามความเป็นจริงเสมอ ซึ่งเมื่อเริ่มสนทนาวันแรกท่านอาจารย์ก็กล่าวนำแล้วว่า ธรรมลึกซึ้งเพราะกำลังปรากฏอยู่เดี๋ยวนี้ แต่ไม่มีใครรู้ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้และทรงแสดงจะไม่มีใครรู้ความจริงเลยว่า มีแต่ความจริงหรือธรรมที่เกิดเพียงชั่วขณะแล้วดับไป ไม่กลับมาอีก จีงไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล
เป็นธรรมดาที่ใครเข้าใจธรรมระดับใดก็พูดอย่างนั้น เมื่อเข้าใจเพียงความหมายของคำก็พูดเท่านั้น ซึ่งไม่ผิดอะไร ผู้ฟังก็ต้องเริ่มเข้าใจตั้งแต่ความหมายของคำก่อน แล้วจึงค่อยๆ เข้าใจลึกขึ้นๆ เหมือนไปเที่ยวทะเล ก็ต้องเดินเหยียบชายหาดก่อน แล้วจึงค่อยๆ เดินลึกลงไป เพราะพระธรรมนั้นท่านเปรียบเหมือนมหาสมุทรที่ค่อยๆ ลาดลงไม่ชันดิ่งลงทันทีเหมือนเหว
ดังข้อความที่ท่านกล่าวไว้พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย อัฏฐกนิบาต ปหาราทสูตร เรื่องที่ท่านปหาราทะพูดถึงความน่าอัศจรรย์ของมหาสมุทรที่เป็นที่อภิรมย์ของพวกอสูร 8 ประการ และทูลถามพระผู้มีพระผู้มีพระภาคว่า พระธรรมวินัยน่าอัศจรรย์ที่ทำภิกษุอภิรมย์อยู่อย่างไร ข้อความตอนหนึ่งมีว่า
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้าที่ 402
ข้อความบางตอนจาก ปหาราทสูตร
ปหาราทอสูรทูลว่า. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในธรรมวินัยนี้ มีธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาสักเท่าไร ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว จึงอภิรมย์อยู่.
พระพุทธเจ้าตรัสว่า. มี ๘ ประการ ปหาราทะ ๘ ประการเป็นไฉน
ดูกร ปหาราทะ มหาสมุทรลาด ลุ่ม ลึกลงไปโดยลำดับ ไม่โกรกชันเหมือนเหว ฉันใด ใน ธรรมวินัยนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตตผลโดยตรง
ดูกร ปหาราทะ ข้อที่ในธรรมวินัยนี้มีการศึกษาไปตามลำดับ มีการกระทำไปตามลำดับ มีการปฏิบัติไปตามลำดับ มิใช่ว่าจะมีการบรรลุอรหัตตผลโดยตรง นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๑ ในธรรมวินัยนี้ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้วๆ จึงอภิรมย์อยู่ ฯ
ซึ่งได้ยินหลายท่านไม่เข้าใจคิดว่า ต้องพูดถึงลักษณะของสภาพธรรมเท่านั้นจึงจะเชื่อว่า เข้าใจธรรม ลืมไปว่าต้องศึกษาตามลำดับตั้งแต่เรื่องราว ความหมายของแต่ละคำโดยละเอียด ไม่เผิน ให้เข้าใจจริงๆ จนถึงเข้าใจว่า เป็นธรรม เป็นอนัตตาอย่างไร เพื่อละคลายความไม่รู้จึงจะเป็นการศึกษาที่ถูกต้อง ยกเว้นบางท่านที่สะสมบารมีมาพร้อมที่เพียงฟังครั้งเดียวก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ซึ่งท่านก็เริ่มต้นศึกษาหลายแสนกัปมาแล้ว
ถ้าการศึกษานั้นไม่ใช่เพื่อการละคลายความไม่รู้ ความติดข้องในตัวตน ยังคิดว่ารู้มากกว่าคนอื่น คนอื่นรู้แต่เรื่องราว ไม่รู้สภาพธรรมเหมือนเรา นั่นหลงทางแล้ว เพราะแม้แต่สภาพอกุศลธรรมหยาบๆ ที่ทำให้หนัก ไม่เบาสบายก็ยังไม่รู้ลักษณะที่กำลังปรากฏ ยังไม่รู้ว่าเป็นธรรมอย่างหนึ่งที่เกิดเพราะยังมีเหตุปัจจัย คือ ความไม่รู้อยู่นั่นเอง ไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริงซึ่งจะเกิดได้เมื่อฟังธรรมเข้าใจมั่นคงพอ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโททนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
อนุโมทนาครับ รออ่านตอนต่อไปนะครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาสาธุค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ