[เล่มที่ 68] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 657
สัมมสนญาณนิทเทส
อรรถกถาสัมมสนญาณนิทเทส
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 68]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 657
สัมมสนญาณนิทเทส
[๙๙] ปัญญาในการย่อธรรมทั้งหลายทั้งอดีต อนาคตและปัจจุบันแล้วกำหนดไว้ เป็นสัมมสนญาณอย่างไร?
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 658
พระโยคาวจรย่อมกำหนดรูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นภายในก็ตาม ภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม มีในที่ไกลก็ตาม ในที่ใกล้ก็ตาม โดยความเป็นของไม่เที่ยง การกำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง กำหนดโดยความเป็นทุกข์ การกำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง กำหนดโดยความเป็นอนัตตา การกำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง พระโยคาวจรย่อมกำหนดเวทนา... สัญญา... สังขาร... วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน เป็นภายในก็ตาม เป็น ภายนอกก็ตาม หยาบก็ตาม ละเอียดก็ตาม เลวก็ตาม ประณีตก็ตาม มีในที่ไกลก็ตาม ในที่ใกล้ก็ตาม โดยความเป็นของไม่เที่ยง การกำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง กำหนดโดยความเป็นทุกข์ การกำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณหนึ่ง กำหนดโดยความเป็นอนัตตา กา กำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง พระโยคาวจรย่อมกำหนดจักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ ทั้งที่เป็นอดีตอนาคตและปัจจุบัน โดยความเป็นของไม่เที่ยง การกำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง กำหนดโดยความเป็นทุกข์ การกำหนดนี้เป็นสัมมญาณอย่างหนึ่ง กำหนดโดยความเป็นอนัตตา การกำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง.
[๑๐๐] ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า รูปทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ไม่เที่ยงเพราะอรรถว่าสิ้นไป เป็นทุกข์เพราะอรรถ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 659
ว่าน่ากลัว เป็นอนัตตาเพราะอรรถว่าหาแก่นสารมิได้ เป็นสัมมสนญาณ ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ ทั้งที่เป็นอดีตอนาคตและปัจจุบัน ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่าสิ้นไป เป็นทุกข์เพราะอรรถว่าน่ากลัว เป็นอนัตตา เพราะอรรถว่าหาแก่นสารมิได้ เป็นสัมมสนญาณ.
[๑๐๑] ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า รูปทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งอาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา เป็นสัมมสนญาณ ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จักษุ ฯลฯ ชราและมรณะ ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งอาศัยกันเกิดขึ้น มีความสิ้นไป เสื่อมไป คลายไป ดับไปเป็นธรรมดา เป็นสัมมสนญาณ.
[๑๐๒] ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะก็ไม่มี เป็นสัมมสนญาณ ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาลก็ดี เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะก็ไม่มี เป็นสัมมสนญาณ ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ เมื่อภพไม่มี ชาติก็ไม่มี ฯลฯ เพราะอุปาทาน
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 660
เป็นปัจจัย จึงมีภพ เมื่ออุปาทานไม่มี ภพก็ไม่มี เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานก็ไม่มี เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา เมื่อเวทนาไม่มี ตัณหาก็ไม่มี เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา เมื่อผัสสะไม่มี เวทนาก็ไม่มี เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ เมื่อสฬายตนะไม่มี ผัสสะก็ไม่มี เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะก็ไม่มี เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป เมื่อวิญญาณไม่มี นามรูปก็ไม่มี เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ เมื่อสังขารไม่มี วิญญาณก็ไม่มี เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารก็ไม่มี เป็นสัมมสนญาณ ปัญญาในการย่อแล้วกำหนดว่า ในอดีตกาลก็ดี ในอนาคตกาลก็ดี เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารก็ไม่มี เป็นสัมมสนญาณ.
ชื่อว่าญาณ เพราะอรรถว่ารู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะอรรถว่ารู้ชัด เพราะเหตุนั้นท่านจึงกล่าวว่า ปัญญาในการย่อธรรมทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันแล้วกำหนด เป็นสัมมสนญาณ.
อรรถกถาสัมมสนญาณนิทเทส
๙๙] พึงทราบวินิจฉัย ในสัมมสนญาณนิทเทส ดังต่อไปนี้
บทว่า ยงฺกิญฺจิ คือ กำหนดถือเอาไม่มีเหลือ.
บทว่า รูปํ ได้แก่
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 661
กำหนดโดยความประสงค์ยิ่ง. เป็นอันท่านทำความกำหนดไม่มีเหลือแห่งรูป แม้ด้วยบททั้งสองอย่างนี้. เมื่อเป็นเช่นนั้น พระโยคาวจรย่อมปรารภการจำแนกด้วยบทมีอาทิว่า อดีตแห่งรูปนั้น. รูปนั้น บางรูปเป็นอดีต บางรูปมีประเภทเป็นอนาคตเป็นต้น. แม้ในเวทนา เป็นต้นก็มีนัยนี้. รูป ในบทนั้น ชื่อว่า เป็นอดีต ๔ อย่างด้วยสามารถแห่ง กาล การสืบต่อ สมัย และ ขณะ, รูปอนาคตปัจจุบันก็อย่างนั้น.
ในรูปเหล่านั้นพึงทราบด้วยสามารถ กาล ก่อน ได้แก่ รูปในอดีตก่อนจากปฏิสนธิ ในภพหนึ่งของรูปหนึ่ง, รูปอนาคต เหนือจากจุติ, รูปปัจจุบัน ในระหว่าง รูปอดีต และ อนาคต ทั้งสอง.
พึงทราบรูปด้วยสามารถ สันตติ ได้แก่ รูปปัจจุบันแม้เป็นไปอยู่ได้ ด้วยการสืบต่อกันมาก่อนมีสมุฏฐานจากอุตุอย่างเดียวกัน เป็นสภาคะกันและมีสมุฏฐานจากอาหารอย่างเดียวกัน. รูปอดีต มีสมุฏฐานจาก อุตุ และ อาหาร ไม่เป็นสภาคะกันก่อนจากนั้น, รูปอนาคต มีในภายหลัง. รูปปัจจุบัน มีสมุฏฐานจากวิถีจิตดวงเดียวกัน ชวนจิตดวงเดียวกัน และสมาบัติอย่างเดียวกันอันเกิดแต่จิต, รูปอดีต ก่อนจากนั้น, รูปอนาคต มีในภายหลัง. ประเภทแห่งรูปมีรูปอดีตเป็นต้น ย่อมไม่มี ด้วยสามารถสันตติ เฉพาะอย่างแห่งกรรมสมุฏฐาน. พึงทราบความที่รูป
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 662
นั้น มีรูปอดีตเป็นต้น ด้วยสามารถการอุปถัมภ์แห่งสมุฏฐานจากอุตุอาหารและจิต เหล่านั้น.
พึงทราบด้วยสามารถ สมัย ได้แก่ รูป อันมีสมัยนั้นๆ เป็นไปด้วยสามารถการสืบต่อกันในสมัยทั้งหลายมีครู่หนึ่งเวลาเช้าเวลาเย็น กลางคืนและกลางวันเป็นต้น ชื่อว่า รูปปัจจุบัน. ก่อนจากนั้นเป็น อดีต, หลังจากนั้นเป็นอนาคต.
พึงทราบด้วยสามารถ ขณะ รูปปัจจุบันเนื่องด้วย ๓ ขณะ มีอุปาทะเป็นต้น, ต่อจากนั้นเป็นอนาคต, หลังจากนั้นเป็นอดีต. อีกอย่างหนึ่ง รูปอดีตมีกิจอันเป็นเหตุปัจจัยล่วงไปแล้ว, รูปปัจจุบันมีกิจอันเป็นเหตุจบแล้ว และมีกิจอันเป็นปัจจัยจบแล้ว, รูปอนาคตถึงพร้อมด้วยกิจทั้งสอง. หรือว่ารูปปัจจุบันเกิดในขณะกิจของตน, รูป อนาคตต่อจากนั้น, รูปอดีตหลังจากนั้น. อนึ่ง ในบทนี้ กถามีขณะ เป็นต้น เป็นกถาตรง ที่เหลือเป็นกถาอ้อม.
บทว่า อชฺฌตฺตํ ได้แก่ ในขันธ์แม้ ๕ อย่าง ในที่นี้ท่านประสงค์รูปภายในของตนเอง, เพราะฉะนั้น พึงทราบว่า รูปเฉพาะ บุคคลเป็นไปในสันดานของตนๆ ชื่อว่า อชฺฌตฺตํ.
รูปภายนอกจากนั้นอันเนื่องด้วยอินทรีย์ก็ตาม ไม่เนื่องด้วยอินทรีย์ก็ตาม ชื่อว่า พหิทฺธา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 663
บทว่า โอฬาริกํ ได้แก่ รูป ๑๒ อย่าง คือ จักขุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย รูป เสียง กลิ่น รสและโผฏฐัพพะ ได้แก่ ปฐวีธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ ชื่อว่า โอฬาริก เพราะควรถือเอาด้วยสามารถการสืบต่อกัน. ส่วนรูปที่เหลือ ๑๖ อย่าง คือ อาโปธาตุ อิตถินทรีย์ ปุริสินทรีย์ ชีวิตินทรีย์ หทยวัตถุ โอชา อากาสธาตุ กายวิญญัตติ วจีวิญญัตติ รูปัสสลหุตา มุทุตา กัมมัญญตา อุปจยะ สันตติ ชรดา อนิจจตา ชื่อว่า สุขุม เพราะไม่ควรถือเอาด้วยสามารถการสืบต่อ.
พึงทราบความทรามและความประณีต ในบทนี้ว่า หีนํ วา ปณีตํ วา โดยอ้อมหรือโดยตรง. ในบทนั้น รูปของพรหมชั้นสุทัสสี เป็นรูปทรามกว่ารูปของพรหมชั้นอกนิษฏฐ์ รูปพรหมชั้นสุทัสสีนั้นนั่นแหละประณีตกว่ารูปของพรหมชั้นสุทัสสา พึงทราบความทรามและความประณีต โดยปริยายตลอดถึงรูปของสัตว์นรก. รูปที่เป็นอกุศลวิบากเกิดขึ้นเป็นรูปทราม, รูปที่เป็นกุศลวิบากเกิดขึ้นเป็นรูปประณีต.
พึงทราบความในบทว่า ยํ ทูเร สนฺติเก วา นี้ รูปใดสุขุม รูปนั้นแล ชื่อว่า ทูเร เพราะมีสภาวะที่แทงตลอดได้ยาก. รูปใดหยาบ รูปนั้นชื่อว่า สนฺติเก เพราะมีสภาวะที่แทงตลอดได้ง่าย.
พึงทราบความในบทนี้ว่า สพฺพํ รูปํ อนิจฺจโต ววตฺเถติ เอกํ สมฺมสนํ, ทุกฺขโต ววตฺเถติ เอกํ สมฺมสนํ, อนตฺตโต ววตฺเถติ เอกํ สมฺมสนํ - ภิกษุกำหนดรูปทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยง การ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 664
กำหนดนี้เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง, กำหนดโดยความเป็นทุกข์เป็น สัมมสนญาณอย่างหนึ่ง, กำหนดโดยความเป็นอนัตตา เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง ความว่า ภิกษุนี้กำหนดุรูปแม้ทั้งหมดที่ท่านชี้แจงไว้โดยมิได้กำหนดแน่นอนอย่างนี้ว่า ยงฺกิญฺจิ รูปํ - รูปอย่างใดอย่างหนึ่งโดยการปรากฏ ๑๑ อย่าง คือด้วยรูปอตีตติกะ - ติกะในอดีต และด้วยทุกะมีอัชฌัตตะเป็นต้น ๔ แล้วกำหนดรูปทั้งปวงโดยความเป็นของไม่เที่ยง ย่อมพิจารณาว่า อนิจฺจํ ดังนี้. พิจารณาอย่างไร? พิจารณาโดยนัย ดังกล่าวแล้วข้างหน้า.
๑๐๐] ดังที่พระสารีบุตรได้กล่าวไว้ว่า รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อนิจฺจํ ขยฏฺเน (๑) - รูปที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน ชื่อว่า ไม่เที่ยง เพราะอรรถว่าสิ้นไป. เพราะฉะนั้น ภิกษุนั้นย่อมพิจารณาว่า รูปที่เป็นอดีตสิ้นไปในอดีตนั่นแล, รูปนั้นยังไม่มาถึงภพนี้ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อนิจฺจํ เพราะอรรถว่าสิ้นไป, รูปที่เป็นอนาคตจักเกิดในภพเป็นลำดับไป, แม้รูปนั้นก็จักในรูปในภพนั้น จักไม่ไปสู่ภพอื่นจากภพนั้น เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อนิจฺจํ เพราะอรรถว่าสิ้นไป, รูปที่เป็นปัจจุบันย่อมสิ้นไปในปัจจุบันนั่นเอง, ย่อมไม่ไปจากนี้ เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อนิจฺจํ เพราะอรรถว่าสิ้นไป, รูปที่เป็นภายในก็
๑. ขุ. ป. ๓๑/๑๐๐.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 665
สิ้นไปในภายในนั่นเอง, ไม่ไปสู่ภายนอก เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อนิจฺจํ เพราะอรรถว่าสิ้นไป. แม้รูปภายนอกหยาบ ละเอียด ทราม ประณีต มีในที่ไกล ที่ในที่ใกล้ ก็สิ้นไปในที่นี้นั่นเอง เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า อนิจฺจํ เพราะอรรถว่าสิ้นไป. แม้การพิจารณาทั้งหมดนี้ก็เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง ด้วยสามารถแห่งนี้ว่า อนิจฺจํ ขยฏฺเฐน, แต่โดยประเภท มี ๑๑ อย่าง.
อนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณารูปนั้นทั้งหมดว่า ทุกขํ ภยฏฺเน ชื่อว่า เป็นทุกข์ เพราะอรรถว่าน่ากลัว. สิ่งที่ไม่เที่ยงย่อมนำมาซึ่งภัย ดุจภัยของพวกเทพในสีโหปมสูตร. (๑) แม้การพิจารณานี้ก็เป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง ด้วยสามารถแห่งรูปนี้ว่า ทุกฺขฺ ภยฏฺเน แต่โดยประเภท มี ๑๑ อย่าง.
อนึ่ง ภิกษุย่อมพิจารณาว่า รูปแม้ทั้งหมดนั้นเป็นอนตฺตา เพราะอรรถว่าหาแก่นสารมิได้เหมือนทุกข์. บทว่า อสารกฏฺเน เพราะไม่มีสาระในตนที่กำหนดได้อย่างนี้ว่า อัตตา - ตัวตน นิวาสี- ผู้อาศัย การโก - ผู้กระทำ เวทโก - ผู้เสวย สยํวสี - ผู้มีอำนาจด้วยตนเอง. สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นก็เป็นทุกข์ ไม่สามารถจะห้ามความไม่ เที่ยง หรือความเกิด ความเสื่อม และความบีบคั้นของตนได้, บท
๑. สํ. ขนฺธ. ๑๗/๑๑๕.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 666
เป็นผู้กระทำเป็นต้นของผู้นั้นจักมีได้แต่ไหน. ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า รูปญฺจ หิทํ ภิกฺขเว อตฺตา อภวิสฺส, นยิทํ รูปํ อาพาธาย สํวตฺเตยฺย (๑) เป็นอาทิ ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หากรูปนี้พึงเป็นตัวตนแล้วไซร้, รูปนี้ก็จะไม่พึงเป็นไปเพื่อความเจ็บป่วย. เพราะเหตุนั้น การพิจารณานี้จึงเป็นสัมมสนญาณอย่างหนึ่ง ด้วยสามารถแห่งบทนี้ว่า อนตฺตา อสารกฏฺเน - รูปเป็นอนัตตา เพราะหาแก่นสาร มิได้, แต่โดยประเภทมี ๑๑ อย่าง. ในเวทนาเป็นต้นก็มีนัยนั้นเหมือนกัน. ด้วยประการฉะนี้ ในขันธ์หนึ่งๆ ทำอย่างละ ๑๑ อย่าง จึงเป็นสัมมสนญาณ ๕๕ ในขันธ์ ๕ คือโดยความไม่เที่ยง ๕๕ โดยความเป็นทุกข์ ๕๕ โดยความเป็นอนัตตา ๕๕ เพราะเหตุนั้น ทั้งหมดจึงรวมเป็นสัมมสนญาณ ๑๖๕ อย่าง.
แต่อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เพิ่มแม้บทว่า สพฺพํ รูปํ สพฺพํ เวทนํ สพฺพํ สญฺํ สพฺเพ สงฺขาเร สพฺพํ วิญฺาณํ ลงไปในขันธ์หนึ่งๆ ทำอย่างละ ๑๒ รวมเป็น ๖๐ ในขันธ์ ๕, โดยอนุปัสนาเป็นสัมมสนญาณ ๑๘๐ อย่าง.
อนึ่ง ในการจำแนกอดีตเป็นต้น พึงทราบความที่เวทนาเป็นอดีต อนาคตและปัจจุบัน ด้วยสามารถแห่งสันตติและด้วยสามารถแห่งขณะเป็นต้น. ในบทนั้นพึงทราบเวทนาด้วยสามารถสันตติดังต่อไปนี้
๑. วิ. มหา. ๔/๒๐.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 667
เวทนาที่นับเนื่องในวิถีจิต ๑ ชวนจิต ๑ สมาบัติ ๑ และเป็นไปด้วยการประกอบเสมอๆ ในอารมณ์อย่างหนึ่ง เป็นปัจจุบัน, ก่อนจากนั้นเป็นอดีต, หลังจากนั้นเป็นอนาคต เวทนาด้วยสามารถขณะ คือ เวทนากระทำกิจของตนอันนับเนื่องในขณะ ๓ คือ ที่ถึงที่สุดเบื้องต้น ที่สุดเบื้องปลายและท่ามกลาง เป็นปัจจุบัน. ก่อนจากนั้นเป็นอดีต, หลังจากนั้นเป็นอนาคต. พึงทราบความต่างแห่งเวทนาภายในและภายนอก ด้วยสามารถเวทนาภายในของตนนั่นเอง.
พึงทราบความหยาบและความละเอียดของเวทนา ด้วยสามารถแห่ง ชาติ สภาวะ บุคคล โลกิยะ และ โลกกุตระ ที่ท่านกล่าว ไว้ในวิภังค์ (๑) โดยนัยมีอาทิว่า เวทนาเป็นอกุศล หยาบ, เวทนาเป็นกุศลและอัพยากฤต ละเอียด. พึงทราบเวทนาด้วยสามารถแห่งชาติก่อนดังต่อไปนี้ เวทนาเป็นอกุศล เป็นไปเพื่อความไม่สงบ เพราะเป็นกิริยเหตุอันมีโทษ และเพราะกิเลสทำให้เดือดร้อน เพราะเหตุนั้น จึงเป็นเวทนาหยาบกว่าเวทนาที่เป็นกุศล, เป็นเวทนาหยาบกว่าวิบาก อัพยากฤต เพราะมีความขวนขวาย มีความอุตสาหะ มีวิบาก โดยกิเลสทำให้เดือดร้อน และโดยมีโทษ, เวทนาเป็นเวทนาหยาบกว่ากิริยาอัพยากฤต เพราะมีวิบาก โดยกิเลสทำให้เดือดร้อน โดยมีพยาบาท และโดยมีโทษ. ก็เวทนาเป็นกุศลและอัพยากฤต ละเอียดกว่าเวทนา
๑. อภิ. วิ. ๓๕/๑๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 668
เป็นอกุศล โดยปริยายดังกล่าวแล้ว. กุศลเวทนาและอกุศลเวทนา แม้ ๒ อย่างก็เป็นเวทนาหยาบกว่าเวทนาที่เป็นอัพยากฤต แม้ ๒ อย่างตามควร โดยมีความขวนขวาย มีอุตสาหะและมีวิบาก. แม้เวทนาเป็นอัพยากฤต ๒ อย่าง ก็ละเอียดกว่าเวทนาเหล่านั้นโดยปริยายดังกล่าวแล้ว. พึงทราบเวทนาหยาบและละเอียด ด้วยสามารถแห่งชาติด้วยประการฉะนี้.
พึงทราบเวทนาด้วยสามารถสภาวะดังต่อไปนี้ ทุกขเวทนาหยาบกว่าเวทนา ๒ อย่างนอกนี้ เพราะไม่มีความพอใจ โดยมีความซ่านไป โดยทำความกำเริบโดยควรแก่ความเดือดร้อน และโดยครอบงำ, แต่เวทนา ๒ นอกนี้ เป็นเวทนาละเอียดกว่า ทุกขเวทนาตามควร เพราะความสำราญ ความสงบ ความประณีต ความชอบใจ และโดยความเป็นกลาง. สุขทุกข์ ๒ อย่างเป็นเวทนาหยาบว่าอทุกขมสุข โดยความซ่านไป โดยความควรแก่ความเดือดร้อน โดยทำความกำเริบ และโดยปรากฏ. เวทนานั้นละเอียดกว่าทั้ง ๒ อย่างนั้น โดยปริยายดังกล่าวแล้ว. พึงทราบความที่เวทนาหยาบและละเอียด โดยสภาวะ ด้วยประการฉะนี้.
พึงทราบเวทนาด้วยสามารถบุคคลดังต่อไปนี้ เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ เป็นเวทนาหยาบกว่าเวทนาของผู้เข้าสมาบัติ เพราะความที่จิตฟุ้งซ่านไปในอารมณ์ต่างๆ. เวทนานอกนี้เป็นเวทนาละเอียด โดย
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 669
ปริยายต่างๆ. พึงทราบความที่เวทนาหยาบและละเอียด ด้วยสามารถบุคคล ด้วยประการฉะนี้.
พึงทราบเวทนาด้วยสามารถโลกิยะและโลกุตระ ดังต่อไปนี้ เวทนามีอาสวะเป็นโลกิยะ, โลกิยเวทนานั้นเป็นเวทนาหยาบกว่าเวทนาที่ไม่มีอาสวะ เพราะเป็นเหตุเกิดอาสวะ เป็นที่ตั้งแห่งโอฆะ เป็นที่ตั้งแห่งโยคะ โดยเป็นที่ตั้งแห่งคันถะ - กิเลสร้อยรัด. เป็นที่ตั้งแห่งนิวรณ์ เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน มีความเศร้าหมอง และเป็นของ ทั่วไปแก่ปุถุชน, อนึ่ง เวทนาไม่มีอาสวะเป็นเวทนาละเอียดกว่าเวทนามีอาสวะโดยปริยายต่างๆ. พึงทราบความที่เวทนาหยาบและละเอียด ด้วยโลกิยะและโลกุตระ ด้วยประการฉะนี้.
ในบทเหล่านั้น ควรปรับความแตกต่างกันด้วยชาติเป็นต้น. เพราะว่าเวทนาสัมปยุตด้วยกายวิญญาณอกุศลวิบาก แม้ละเอียด เพราะเป็นอัพยากฤต ด้วยสามารถแห่งชาติ ก็เป็นเวทนาหยาบ ด้วยภาวะของตนเป็นต้น. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า
อพฺยากตา เวทนา สุขุมา, ทุกฺขา เวทนา โอฬาริกา.
สมาปนฺนสฺส เวทนา สุขุมา, อสมาปนฺนสฺส เวทนา โอฬาริกา.
อสาสวา เวทนา สุขุมา, สาสวา เวทนา โอฬาริกา. (๑)
๑. อภิ. วิ. ๓๕/๑๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 670
เวทนาเป็นอัพยากฤต ละเอียด, ทุกขเวทนาหยาบ. เวทนาของผู้เข้าสมบัติ ละเอียด เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ หยาบ. เวทนาไม่มีอาสวะ ละเอียด, เวทนามีอาสวะ หยาบ.
แม้สุขเวทนาเป็นต้น ก็เหมือนทุกขเวทนา. เพราะว่าแม้เวทนาเหล่านั้น หยาบก็ด้วยชาติ, ละเอียดก็ด้วยภาวะของตนเป็นต้น. เพราะฉะนั้นพึงทราบความที่เวทนาหยาบและละเอียดเหมือนไม่มีความแตกต่างกันด้วยชาติเป็นต้น. เช่นกับอะไร? เช่นเวทนาเป็นอัพยากฤต ละเอียดกว่าเวทนาเป็นกุศล อกุศลโดยชาติ. ในเวทนาเหล่านั้น อัพยากฤตเวทนาเป็นไฉน? อะไรเป็นทุกขเวทนา? อะไรเป็นสุขเวทนา? อะไรเป็นเวทนาของผู้เข้าสมาบัติ? อะไรเป็นเวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติ? อะไรเป็นสาสวเวทนา? อะไรเป็นอนาสวเวทนา? ไม่พึงถือผิดความต่างกันแห่งสภาวะเป็นต้น ด้วยประการฉะนี้. ในบททั้งปวงก็มีนัยนี้.
อีกอย่างหนึ่ง เพราะบาลีว่า พึงเห็นเวทนาหยาบละเอียด เพราะอาศัยเวทนานั้นๆ อยู่บ่อยๆ. (๑) เวทนาสหรคตด้วยโทสะหยาบกว่าเวทนาที่สหรคตด้วยโลภะในอกุศลเป็นต้น เพราะเผานิสัย ดุจไฟ, เวทนาสหรคตด้วยโลภะละเอียด. เวทนาแม้สหรคตด้วยโทสะ เป็นนิยตะ - แน่นอน หยาบ, ไม่แน่นอน ละเอียด. เวทนาตั้งอยู่กัปหนึ่ง แม้
๑. อภิ. วิ. ๓๕/๑๑.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 671
แน่นอนก็หยาบ, นอกนั้นละเอียด. แม้ในการตั้งอยู่กัปหนึ่ง เวทนา หยาบ, นอกนั้นละเอียด. เวทนาแม้นั้นแน่นอนตั้งอยู่กัปหนึ่ง เป็นอสังขาริกะ อสังขาริกะหยาบ นอกนั้นละเอียด. อนึ่ง โดยไม่แปลกกันเวทนาเป็นอกุศล มีวิบากมาก หยาบ, มีวิบากน้อย ละเอียด. ส่วนเวทนาเป็นกุศล มีวิบากน้อยหยาบ, มีวิบากมากละเอียด.
อีกอย่างหนึ่ง เวทนาเป็นกามาวจรกุศล หยาบ, เป็นรูปาวจรกุศล ละเอียด. แต่นั้นก็อรูปาวจรกุศล, แต่นั้นก็โลกุตรกุศล. อนึ่ง เวทนาเป็นกามาวจรกุศลสำเร็จด้วยทาน หยาบ, สำเร็จด้วยศีล ละเอียด. แม้สำเร็จด้วยศีลก็หยาบ, สำเร็จด้วยภาวนาละเอียด. แม้สำเร็จด้วยภาวนา เป็นทุเหตุกะก็หยาบ. เป็นติเหตุกะ ละเอียด. แม้เป็นติเหตุกะ เป็นสสังขาริกะก็หยาบ, เป็นอสังขาริกะ ละเอียด. อนึ่ง รูปาวจรเป็นไปในปฐมฌาน หยาบ ฯลฯ ที่เป็นปัญจมฌาน ละเอียด อรูปาวจรที่สัมปยุตด้วยอากาสานัญจายตนะ หยาบ ฯลฯ ที่สัมปยุตด้วยเนวสัญญานาสัญญา ละเอียด โลกุตรเวทนา สัมปยุตด้วยโสดาปัตติมรรค หยาบ ฯลฯ ที่สัมปยุตด้วยอรหัตตมรรค ละเอียดแท้. ในเวทนาอันเป็นวิบากกิริยาของภูมินั้นๆ และในเวทนาที่ท่านกล่าวไว้ ด้วยสามารถแห่งทุกขเวทนา เป็นต้น เวทนาของผู้ไม่เข้าสมาบัติเป็นต้น สาสวเวทนาเป็นต้นก็มีนัยนี้. หรือแม้ว่าด้วยสามารถโอกาส ทุกขเวทนาในนรกก็หยาบ, ทุกขเวทนาในกำเนิดเดียรฉาน ละเอียด ฯลฯ ทุกข์ในสวรรค์ชั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 672
ปรนิมมิตวสวัตดี ละเอียดแท้. อนึ่ง พึงประกอบแม้สุขในบททั้งปวงตามสมควร เหมือนทุกข์, เวทนาไรๆ มีวัตถุเลว ด้วยสามารถวัตถุ เป็นเวทนาหยาบ, มีวัตถุประณีต เป็นเวทนาละเอียด, เวทนาใดที่หยาบในประเภทแห่งวัตถุที่เลวและประณีต เวทนานั้นเป็นเวทนาเลว, เวทนาที่ละเอียดเป็นเวทนาประณีต พึงเห็นด้วยประการฉะนี้.
ส่วนบทว่า ทูรสนฺติเก ไกลและใกล้ ท่านจำแนกไว้ในวิภังค์ โดยนัยมีอาทิว่า อกุสลา เวทนา กุสลาพฺยากตาหิ เวทนาหิ ทูเร, อกุสลา เวทนา อกุสลาย เวทนาย สนฺติเก. (๑) - อกุศลเวทนามีในที่ไกลจากเวทนาเป็นกุศลและอัพยากฤต. อกุศลเวทนามีในที่ใกล้เวทนาเป็นอกุศล. เพราะฉะนั้น อกุศลเวทนามีในที่ไกลจากกุศลและอัพยากฤต โดยเป็นสภาคกัน โดยไม่เกี่ยวข้องกัน และโดยไม่คล้ายคลึงกัน. เวทนาเป็นกุศลและอัพยากฤต ก็มีในที่ไกลจากอกุศลเหมือนกัน. ในวาระทั้งปวงก็มีนัยนี้. บทนี้ว่า เวทนาเป็นอกุศล มีในที่ใกล้แห่งอกุศล โดยเป็นสภาคกัน โดยเกี่ยวข้องกัน และโดยคล้ายคลึงกัน เป็นกถามุขโดยพิสดารในการจำแนกมีเวทนาอดีตเป็นต้น. แต่บทนี้ พึงทราบแม้แห่งสัญญาเป็นต้น อันสัมปยุตด้วยเวทนานั้นๆ อย่างนี้เหมือนกัน.
๑. อภิ. วิ. ๓๕/๑๓.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 673
อนึ่ง ในเวทนาเป็นต้นนี้ โลกุตรธรรมใดมาแล้วในธรรมทั้งหลาย. ที่ย่อโดยไปยาลว่า จกฺขุ ฯเปฯ ชรามรณํ, ธรรมเหล่านั้นไม่พึงถือเอาในที่อธิการนี้ เพราะเข้าไปใกล้อสัมมสนญาณ. ธรรมเหล่านั้น ท่านกล่าวไว้ด้วยสามารถการแสดงธรรมที่ท่านสงเคราะห์ด้วยบทนั้นๆ อย่างเดียว และโดยนัยมาแล้ว ในอภิญเญยยนิทเทส. อนึ่ง แม้ธรรมเหล่าใดเข้าถึงสัมมสนญาณ, ในธรรมเหล่านั้น ธรรมเหล่าใดปรากฏแก่ญาณใด ย่อมถึงการกำหนดถือเอาได้โดยง่าย, ในธรรมเหล่านั้น พึงปรารภสัมมสนญาณ ด้วยญาณนั้น. พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงสัมมสนญาณ ด้วยสามารถญาณเหล่านั้น โดยปริยายว่า เมื่อพิจารณาธรรม มีชาติชราและมรณะ ในความไม่มีสัมมสนญาณต่างหาก ด้วยสามารถชาติชราและมรณะ แม้ญาณเหล่านั้นก็เป็นอันได้พิจารณาแล้ว.
แม้ไม่แตะต้องความต่างมี อัชฌัตตะ เป็นต้น เพราะท่านกล่าวสัมมสนญาณไว้ด้วยสามารถแห่งติกะอันเป็นอดีต โดยนัยมีอาทิว่า อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อนิจฺจโต ววตฺเถติ - พระโยคาวจรย่อมกำหนดอดีต อนาคต ปัจจุบัน โดยความเป็นของไม่เที่ยง แม้กำหนดด้วยสามารถแห่งอตีตติกะแล้ว ก็พึงทำสัมมสนญาณ โดยความเป็นของไม่เที่ยงเป็นต้นนั่นแล.
๑๐๑ - ๑๐๒] ก็เพราะรู้สิ่งที่ไม่เที่ยง มีประเภทเป็นสังขตะ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 674
เป็นต้น โดยความแน่นอน. ฉะนั้น เพื่อแสดงปริยายแห่งรูปนั้น หรือเพื่อแสดงความเป็นไปแห่งมนสิการด้วยอาการต่างๆ พระสารีบุตรจึงกล่าวบทมีอาทิว่า รูปํ อตีตานาคตปจฺจุปฺปนฺนํ อนิจฺจํ สงฺขตํ - รูปทั้งที่เป็นอดีต อนาคตและปัจจุบันไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง. จริงอยู่ รูปนั้นเป็น อนิจฺจํ เพราะอรรถว่ามีแล้วไม่มี, ชื่อว่า อนิจฺจํ เพราะมีที่สุดคือความไม่เที่ยง หรือเพราะมีเบื้องต้นและที่สุด, ชื่อว่า สังขตะ เพราะอันปัจจัยปรุงแต่ง. ชื่อว่า ปฏิจฺจสมุปฺปนฺนํ เพราะอาศัยปัจจัยเกิดขึ้นร่วมกัน. พระสารีบุตรแสดงถึงความไม่ขวนขวายปัจจัย แม้เมื่อรูปอันปัจจัยปรุงแต่ง. บทว่า ขยธมฺมํ มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา ได้แก่ สิ้นไปเป็นธรรมดา สิ้นไปเป็นปรกติ.
บทว่า วยธมฺมํ มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ได้แก่ มีความพินาศไปเป็นธรรมดา. รูปนี้ไม่สิ้นไปด้วยสามารถความในรูปตั้งความเป็นผู้มีความเฉื่อยชา ปราศจากปรกติอย่างเดียว. แม้ความเพียงพอจะทำให้เฉื่อยชา ท่านก็กล่าวว่า ความสิ้นไปในโลก.
บทว่า วิราคธมฺมํ - มีความคลายไปเป็นธรรมดา บทนี้มิใช่เสื่อมไปด้วย ด้วยการไปในที่ไหน ก้าวล่วงสภาวะเป็นปรกติอย่างเดียว. ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า ความเกลียดชังก็ดี ความก้าวล่วงก็ดี ชื่อว่า วิราคะ.
บทว่า นิโรธธมฺมํ - มีความดับไปเป็นธรรมดา บทนี้ มิใช่ไม่เวียนมาอีก ด้วยก้าวล่วงสภาวะ, พึงทราบว่า ท่านกล่าวถึงบทหลังๆ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 675
ด้วยสามารถขยายบทก่อนๆ ว่า มีการดับไปด้วยการดับความไม่เวียนมาอีกเป็นธรรมดาอย่างเดียว.
อีกอย่างหนึ่ง พึงประกอบว่า รูปมีความสิ้นไปเป็นธรรมดา ด้วยการทำลายไปแห่งรูปอันเนื่องอยู่ในภพหนึ่ง, มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ด้วยความเสื่อมแห่งรูปอันเนื่องด้วยสันตติอย่างเดียว. รูปมีคลายไปเป็นธรรมดา ด้วยการทำลายขณะแห่งรูป. มีความดับเป็นธรรมดา ด้วยข้ามพ้นแล้วไม่เกิดมาอีก.
ในบทมีอาทิว่า ชรามรณํ อนิจฺจํ - ชราและมรณะไม่เที่ยง ความว่า ชราและมรณะมิใช่ไม่เที่ยง, แต่ชรามรณะ ชื่อว่า ไม่เที่ยง เพราะขันธ์ทั้งหลายมีความไม่เที่ยงเป็นสภาวะ จึงมีชรามรณะ. แม้ใน สังขตะ เป็นต้น ก็มีนัยนี้เหมือนกัน. ในระหว่างไปยาล เพราะแม้ชาติก็ไม่เที่ยงเป็นต้น จึงมีนัยนี้เหมือนกัน.
บทมีอาทิว่า ชาติปจฺจยา ชรามรณํ - เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะนี้ ท่านมิได้กล่าวด้วยสามารถวิปัสสนา ท่านกล่าวโดยปริยายว่า สัมมสนญาณย่อมมีได้แก่การย่อด้วยสามารถองค์หนึ่งๆ แห่งปฏิจจสมุปบาท แล้วกำหนดไว้อย่างเดียว. แต่นั่นไม่ใช่กลาปสัมมสนญาณ, นั่นเป็นธรรมฐิติญาณเท่านั้น.
บทว่า อสติ ชาติยา - เมื่อชาติไม่มี นี้ท่านทำเป็นลิงควิปลาส. ท่านจึงกล่าวว่า อสนฺติยา ชาติยา.
บทว่า อสติ สงฺขาเรสุ - เมื่อ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๑ - หน้า 676
สังขารไม่มี ท่านทำเป็นวจนวิปลาส, ท่านกล่าวว่า อสนฺเตสุ สงฺขาเรสุ.
บทมีอาทิว่า ภวปจฺจยา ชาติ, อสติ เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ, เมื่อภพไม่มี พึงประกอบโดยนัยมีอาทิว่า เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ, เมื่อภพไม่มี ชาติก็ไม่มี.
จบ อรรถกถาสัมมสนญาณนิทเทส