สนทนาพื้นฐานพระอภิธรรม ที่มูลนิธิฯ
วันอาทิตย์ที่ ๒๒ มี.ค. ๒๕๕๒
อร. การที่จะศึกษาพระสูตร จะต้องมีพื้นฐานที่มั่นคงในพื้นฐานพระอภิธรรมว่า ทุกอย่างเป็นธรรม แต่ละลักษณะ ไม่ใช่สัตว์ ตัวตน บุคคลคำถามจะให้ขยายความว่า ถ้ามีความเข้าใจที่มั่นคงตรงนั้น จึงจะทำให้ศึกษาพระสูตรเมื่อวานนี้ หรือว่าพระไตรปิฎกอื่นๆ เข้าใจ โดยไม่เข้าใจผิดว่า จะมีคนที่จะไปทำให้มีอะไรได้ ถ้าท่าน อ.จ. ช่วยขยายความ อธิบายว่า กรรมกระทำอัตตภาพให้ติดกันไปเป็นพืด
อ.จ. ใครรู้ลักษณะที่ตาย ขณะนี้ยังไม่ตายและจิตก็เกิดดับสืบต่อไปจนถึงขณะสุดท้าย ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ ปิดบังไว้ไหม เพราะว่าเกิดแล้วสืบต่อทันที ไม่รู้เลยว่าขณะที่ตาย ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้ ปิดบังไม่รู้ว่าตาย ก็มีการเกิดสืบต่อเลย เวลาที่คุณอรวรรณจากโลกเก่ามา อาจจะมีทุกขเวทนาแรงกล้า อย่างข้อความในอรรถกถาที่บอกว่า ความรู้สึกเป็นทุกข์ เจ็บปวด จนกระทั่งทำให้ไม่คิดถึงอย่างอื่นเลย หรือถึงจะคิด ขณะที่จุติจิตเกิดปิดบังไว้ไม่เห็นเลย เพราะฉะนั้นเวทนาความทุกข์ก็ปิดบังอย่างหนึ่ง และแม้แต่จุติจิตก็ปิดบังไม่ให้รู้ว่าเกิดแล้วยังไง จากโลกนี้แล้ว ก็เกิดสืบต่อทันที ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ขณะนั้นได้เลย ในขณะที่กำลังเป็นคนนี้ ปวดมากใกล้ที่จะสิ้นชีวิต แต่ความเจ็บปวดนั้น ก็สามารถจะปรากฎลักษณะ ของความเจ็บปวด แต่ลักษณะของจิตสุด ท้ายใครรู้ เห็นไหมค่ะ ปิดบังจนกระทั่งเกิดเลยทันที ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ขณะที่เป็นจุติจิตได้ เพราะกรรมทำให้จิตที่เป็นวิบาก เกิดสืบต่อจากชาตินี้โดยไม่มีระหว่างคั่นเลย
อร. ขออนุญาตอ่านใหม่ ที่คาถาอธิบาย ปิดไว้ อธิบายว่าอันมฤตยูปิดแล้ว ว่ากรรมกระทำให้อัตตภาพติดกันเป็นพืด และอีกอันหนึ่งว่าก็สัตว์ทั้งหลายย่อมไม่รู้การเกิดติดต่อกันไปแห่งจิตดวงหนึ่ง ซึ่งไม่ห่างกัน เพราะถูกเวทนาในเวลาใกล้ต่อความตาย ที่มีกำลังปิดบังไว้ ท่วมทับแล้วราวกับถูกภูเขาปิดบังอยู่ ย่อมไม่รู้ความตายอันนั้น
อ.จ. เป็นคำอธิบายตอนต้นหรือเปล่าค่ะ ที่ประโยคแรก อ่านซ้ำอีกทีค่ะ คำหลังอธิบายคำแรกหรือเปล่าค่ะ
อร. เพราะถูกเวทนาในเวลาใกล้ต่อความตายที่มีกำลังปิดบังไว้ ท่วมทับแล้ว
อ.จ. เวทนาใกล้ที่จะตายเป็นกุศลหรืออกุศล ทุกขเวทนาเกิดขึ้นเป็นผลของกรรม มีโทมนัสมีอะไรด้วย ก็ปิดบังทั้งหมดเหมือนเมื่อกี้นี้เอง เกิดดับสืบต่อปิดบังไม่ให้เห็นเลย ว่าเกิดแล้วดับแล้วๆ ติดต่อกันฉันนี้แหละ เวลาที่จะจากโลกนี้ไป สำหรับตัวอย่างนี้ จะใช้คำว่าทุกขเวทนาที่มีมาก ทุกขเวทนาก็ปรากฎ แต่ความรู้สึกโทมนัสจะปรากฏไหม ทั้งๆ ที่มีก็ไม่ได้ปรากฎ เพราะฉะนั้นการเกิดดับสืบต่อของจิต ขณะใดที่ไม่มีลักษณะปรากฎต่อสติสัมปชัญญะ ขณะนั้นก็คือหมด โดยไม่รู้เลย เหมือนเมื่อกี้นี้ค่ะ มีจิตเห็น เหมือนกับมีแค่จิตเห็น แต่โลภะหรือโทสะ หรือปัญญาก็มีได้ในระหว่างนั้น แต่ขณะที่สภาพนั้นๆ ไม่ปรากฎ สติสัมปชัญญะก็เหมือนกับไม่มีเลย หรือว่าเหมือนกับไม่ปรากฎเลย เพราะว่าเป็นการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว
ด้วยเหตุนี้สภาพธรรม ที่กำลังได้ยิน ได้ฟังจริงๆ ขณะนี้ จะปรากฎด้วยดีกับสติสัมปชัญญะ ด้วยดีคือลักษณะที่เป็นธรรมจริงๆ ขณะนั้นปรากฎความเป็นธรรม จะรู้หรือไม่รู้นั้นอีกเรื่องหนึ่ง หรือว่าจะรู้มากน้อยแค่ไหน ก็เป็นขณะที่เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น ก็คือชีวิต ธรรมดาตามปกติ ทรงแสดงสั้นมากแต่ความเข้าใจธรรมที่มี ไม่สามารถที่จะเข้าถึงความจริงของธรรมในขณะ ที่กำลังฟังนะค่ะ ไม่ว่ากาลไหน ในครั้งโน้น หรือครั้งนี้ หรือในครั้งต่อๆ ไป ก็สามารถจะเข้าใจตามความจริง ว่าขณะนี้แหละ เป็นธรรมปกปิดไว้ด้วยการเกิดดับ ติดต่ออย่างรวดเร็ว แม้ขณะใกล้จะตาย ก็ยังไม่รู้ขณะที่ตายเลย เพราะว่าการเกิดดับสืบต่อของธรรมนี้เร็วมาก โดยกรรมทำให้ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจะรู้ไหมว่าจากโลกเก่านั้นมาด้วยจิตหนึ่งขณะที่ทำจุติจิต พ้นสภาพของความเป็นบุคคลนั้น เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจนะค่ะ จะฟังยังไง ข้อความยังไงก็สามารถที่จะเข้าใจถึง ความจริงของธรรม....
กราบอนุโมทนาค่ะ
"ขณะใด" ที่ไม่มี "ลักษณะปรากฎ" ต่อ "สติสัมปชัญญะ" "ขณะนั้น" ก็คือ "หมด โดย ไม่รู้ เลย" ปรากฎ ด้วยดี กับ "สติสัมปชัญญะ" ด้วยดี คือ "ลักษณะ ที่เป็นธรรม จริงๆ " ขณะนั้น "ปรากฎ ความเป็น ธรรม" จะรู้ หรือ ไม่รู้ นั้น อีกเรื่องหนึ่ง หรือว่า จะรู้มาก น้อย แค่ไหน...ก็เป็น "ขณะที่เป็นอย่างนั้น" จริงๆ
เพราะฉะนั้น ก็คือ ชีวิตธรรมดา ตามปกติ ทรงแสดงสั้นมาก แต่ "ความเข้าใจธรรม ที่มี" ไม่สามารถที่จะ "เข้าถึง ความจริง ของธรรม"
ใน "ขณะ" ที่กำลังฟัง ไม่ว่ากาลไหน ในครั้งโน้น หรือครั้งนี้ หรือ ในครั้ง ต่อๆ ไป ก็สามารถจะ "เข้าใจตามความจริง" ว่า "ขณะนี้" แหละเป็น "ธรรม" ปกปิดไว้ ด้วยการเกิด ดับ ติดต่อ อย่างรวดเร็ว แม้ขณะ "ใกล้จะตาย ก็ยังไม่รู้ "ขณะ" ที่ตายเลย
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ