พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๒ - หน้าที่ 89
ข้อความตอนหนึ่งจาก...
สิริมาเถรคาถา
(ว่าด้วยคาถาของพระสิริมาเถระ)
(ท่านพระสิริมาเถระ) เกิดในตระกูลคฤหบดี แห่งพระนครสาวัตถี ในพุทธุปบาทกาลนี้ เพราะเหตุที่เขาเจริญด้วยสิริสมบัติในตระกูลนั้น นับจำเดิมแต่วันที่เกิดแล้ว คนทั้งหลาย จึงตั้งชื่อเขาว่า สิริมา ดังนี้. ในเวลาที่เขาเดินได้ น้องชายก็เกิด คนทั้งหลาย ก็ตั้งชื่อน้องชายว่า สิริวัฑฒ์ โดยกล่าวว่า เด็กคนนี้ ยังสิริให้เจริญเกิดแล้ว. แม้เด็กทั้งสองนั้น ก็เห็นพุทธานุภาพ ในคราวที่พระองค์ทรงรับพระวิหารชื่อว่า เชตวัน เป็นผู้มีจิตศรัทธา บวชแล้ว. ในบรรดาพระเถระ ๒ รูปนั้น พระสิริวัฑฒเถระ ยังไม่ ได้บรรลุอุตริมนุสธรรม (ธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์) ก่อน แต่เป็นผู้ได้ปัจจัย ๔ เป็นปกติ เป็นผู้อันคฤหัสถ์และบรรพชิตทั้งหลายสักการะเคารพแล้ว ส่วนพระสิริมาเถระ จำเดิมแต่ เวลาที่ท่านบวชแล้ว เป็นผู้มีลาภน้อย เพราะมีกรรมมาตัดรอน เช่นนั้น แต่เป็นผู้อันชน ส่วนใหญ่ยกย่องนับถือ กระทำกรรมในสมถะและวิปัสสนาทั้งหลายแล้ว เป็นผู้มี อภิญญา ๖ ต่อกาลไม่นาน
ก็ภิกษุและสามเณรทั้งหลายผู้เป็นปุถุชน ไม่รู้ว่าท่านพระสิริมาเถระผู้มีอภิญญา ๖ - เป็นพระอริยะ จึงไม่ยกย่อง จะพูดคุยอะไรกัน ก็พากันตำหนิเพราะความที่ท่านเป็นผู้มี ลาภน้อย โดยที่ชาวโลกไม่สนใจ แต่เมื่อจะยกย่อง ก็พากันสรรเสริญพระสิริวัฒเถระ เพราะความที่ท่านเป็นผู้อันชาวโลกเคารพนับถือ โดยความที่ท่านเป็นผู้มีปัจจัยลาภ. พระสิริมาเถระ คิดว่า ธรรมดาผู้ที่ควรตำหนิกลับมีผู้กล่าวสรรเสริญ และผู้ที่ควร สรรเสริญกลับถูกกล่าวตำหนิ นี้ พึงเป็นโทษของความเป็นปุถุชน ดังนี้ เมื่อจะตำหนิ ความเป็นปุถุชน จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถา ความว่า "ถ้าตนมีจิตไม่ตั้งมั่น ถึงชนเหล่าอื่นจะสรรเสริญ
ชนเหล่าอื่นก็สรรเสริญเปล่า เพราะตนมีจิตไม่ตั้งมั่น ถ้าตนมีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ถึงชนเหล่าอื่นจะติเตียน ชนเหล่าอื่นก็ติเตียนเปล่า เพราะตนมีจิตตั้งมั่นดีแล้ว"
....เมื่อพระสิริมาเถระประกาศความที่ตนเป็นผู้หมดกิเลส และประกาศความที่ พระสิริวัฑฒเถระยังมีกิเลส ด้วยคาถาเหล่านี้อย่างนี้แล้ว พระสิริวัฑฒเถระฟังคำเป็น คาถานั้นแล้ว เกิดความสลดใจ เริ่มตั้งวิปัสสนา ยังประโยชน์ตนให้บริบูรณ์แล้ว ต่อกาลไม่นานนัก และบุคคลผู้ติเตียนทั้งหลาย ก็ยังพระสิริมาเถระให้อดโทษแล้ว.
* (อภิญญา หมายถึง การรู้ยิ่ง มี ๖ ประการ คือ หูทิพย์ ๑ ญาณที่รู้ใจบุคคลอื่น ๑ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้ ๑ ตาทิพย์ ๑ และ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป ๑) *
"ถ้าตนมีจิตไม่ตั้งมั่น ถึงชนเหล่าอื่นจะสรรเสริญ
ชนเหล่าอื่นก็สรรเสริญเปล่า เพราะตนมีจิตไม่ตั้งมั่น ถ้าตนมีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ถึงชนเหล่าอื่นจะติเตียน ชนเหล่าอื่นก็ติเตียนเปล่า เพราะตนมีจิตตั้งมั่นดีแล้ว"
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้าที่ 277
ข้อความบางตอนจาก....
มหากัจจายนเถรคาถา
คนเราย่อมไม่เป็นโจรเพราะคำของบุคคลอื่น ไม่เป็นมุนีเพราะคำของบุคคลอื่น บุคคลรู้จักตนเอง
ว่าเป็นอย่างไร แม้เทพเจ้าทั้งหลายก็รู้จักบุคคลนั้น ว่าเป็นอย่างนั้น
ขออุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ได้ความรู้ทางภาษาบาลีสอดแทรกไปกับความเข้าใจธรรมะเพิ่มขึ้นด้วย มีประโยชน์มากครับขอขอบคุณในความอุปการะจากท่านผู้รู้ คุณ khampan.a ครับ ...อนุโมทนา
พระธรรมไพเราะและลึกซึ้งมากๆ จริงๆ ขออนุโมทนาคุณคำปั่น
ที่นำสิ่งมีค่ามากมาเกื้อกูลสหายธรรมโดยสม่ำเสมอ
ข้อความของท่าน เตือนใจได้ดีเสมอ ขออนุโมทนาค่ะ
.......................ขออนุโมทนา.....................