ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาต แบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจสั้นๆ เหมาะสำหรับผู้ที่มีเวลาน้อย เพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อ ความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ถึงแม้ว่าจะเป็นข้อความที่สั้น แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์อยู่ในตัว ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
[ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๕]
--- แม้ว่าพระสูตรจะได้แสดงข้อความต่างๆ โดยนัยต่างๆ แต่ผู้ที่ได้ศึกษาพระอภิธรรม แล้ว ก็เข้าใจได้ว่า เป็นสภาพธรรมแต่ละอย่าง ซึ่งไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ทั้งสิ้น
--- เมื่อยังไม่ถึงความเป็นพระอริยสาวก ยังไม่ได้กำหนดรู้ความยินดีในเบญจกามคุณ ในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ก็จะต้องกลับมาสู่โลกนี้อีก เมื่อตายแล้ว ไม่ไปไหน ก็ต้องมาสู่ภูมิที่มีขันธ์ ๕ ซึ่งเป็นกามภูมิ แล้วแต่ว่าจะไปสู่สุคติภูมิ เกิดเป็น มนุษย์ หรือว่าเกิดเป็นเทพบนสวรรค์ หรือว่าจะเกิดในอบายภูมิ แต่ว่าไม่พ้นจากกามภูมิ สิ่งที่ดูเหมือนมี แท้ที่จริงหมดแล้ว ก็กลับไม่มีอีก สิ่งที่มีก็กลับไม่มี สิ่งที่มีก็กลับไม่มี ก็ไม่มีอะไรเหลืออีกจริงๆ
--- ชีวิตประจำวันทุกคนก็พูดหลายเรื่อง แล้วแต่ว่าในขณะนั้นพูดด้วยกุศลจิต หรือ อกุศลจิต แม้แต่ที่กำลังพูด ก็เป็นสภาพธรรม เป็นจิต เจตสิก เป็นรูป สามารถที่จะรู้ได้ ว่า พูดด้วยโลภะ หรือว่าด้วยโทสะ หรือว่าด้วยกุศลจิต
--- ส่วนใหญ่ไม่ทราบว่า การรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เป็นปัญญา สมาธิไม่สามารถจะรู้ แจ้งอริยสัจจธรรมได้ สภาพธรรมอื่นก็ไม่สามารถรู้แจ้งอริยสัจจธรรมได้ การที่จะรู้แจ้ง สภาพธรรมได้ต้องเป็นหน้าที่ หรือเป็นกิจของปัญญาเจตสิก ขณะนี้สภาพธรรมกำลัง เกิดดับ ถ้าไม่ใช่ปัญญาที่เจริญอบรมแล้วประจักษ์ไม่ได้ อวิชชาไม่สามารถเห็นอริย สัจจธรรมเพราะว่าอวิชชาปกคลุมหุ้มห่อไม่ให้อริยสัจจธรรมปรากฏ
หนทางใดที่ทำให้เห็นโลภะตามความเป็นจริง รู้จักโลภะตามความเป็นจริง หนทางนั้นเป็นหนทางที่ถูกต้อง แต่ถ้าไม่ใช่หนทางที่ทำให้เห็นโลภะ หนทางนั้นไม่ใช่ หนทางที่ถูกต้อง
เรื่องของการละคลาย เป็นเรื่องของการอบรมเจริญปัญญาที่ถูกต้องตั้งแต่ต้น คือ ละคลายแม้แต่ความต้องการที่จะให้สติเกิดมากๆ หรือปัญญาเกิดมากๆ เพราะเหตุว่า เป็นผู้ที่รู้จักตนเองตามความเป็นจริง สติจะเกิดหรือไม่เกิด ใครทำอะไรได้ ฟังพระธรรม แล้วเข้าใจขึ้น เป็นหนทางเดียวที่จะเป็นปัจจัยทำให้สติระลึกได้ และเมื่อสติดับก็เป็น เรื่องปกติธรรมดาที่จะต้องรู้ว่า ทางตาขณะที่เห็น แล้วไม่รู้ขณะใด หนทางเดียวที่จะรู้ ขึ้น คือ ขณะที่สติระลึกได้ แล้วค่อยๆ รู้ ค่อยๆ เพิ่มความเข้าใจขึ้น
การไม่พิจารณาพระธรรม เพียงฟังเฉยๆ ไม่ได้ แต่เมื่อได้ฟังสิ่งใดแล้ว ยิ่ง พิจารณาก็จะยิ่งเข้าใจในพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคตรัส ส่วนผู้ใดจะได้ประโยชน์มาก น้อยจากพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง ก็ต้องแล้วแต่ว่า ผู้นั้นพิจารณาพระธรรม มากหรือน้อย เข้าใจมากหรือน้อย ประพฤติปฏิบัติตามได้มากหรือน้อยตามการสะสม เวลาที่โกรธใคร เวลานั้นจิตใจไม่สบาย นอกจากจิตใจไม่สบายแล้ว ระวังกายกับ วาจาด้วย เพราะเหตุว่าถ้าความโกรธนั้นมีกำลัง กายก็จะมีการประทุษร้ายเบียดเบียน วาจาก็เบียดเบียนคนอื่นให้เดือดร้อนด้วยคำพูดที่ไม่น่าฟัง
น่าโกรธไหมคนอื่น ลองคิดดู? เป็นกรรมของเราเองหรือเปล่า ที่ต้องเห็น ต้อง ได้ยิน ต้องได้กลิ่น ต้องลิ้มรส ต้องรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ที่ไม่น่าพอใจ อย่าคิดว่าจากคนอื่น
ถ้ามีความเป็นเพื่อน ไม่เดือดร้อนเลยสักขณะเดียว ไม่ว่าจะเป็นตรงไหน ที่ไหน เราไม่สามารถจะไปเปลี่ยนใจใครได้ แต่ใจของเราที่ไม่เป็นศัตรูไม่คิดร้ายต่อใคร ขณะนั้นเราจะไม่มีศัตรูเลย เพราะว่าเราไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร
ธรรมทั้งหมดเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เมื่อมีปัญญาแล้ว กาย วาจาของเราจะดี ขึ้น คนที่เคยพูดคำที่ไม่น่าฟัง แต่พอเข้าใจในความเป็นเพื่อน และคิดถึงว่า คนอื่นก็ไม่ อยากได้ยินคำอย่างนี้ จะหยุด แม้ว่ากำลังจะกล่าวคำที่ไม่น่าฟัง นี่คือความเมตตา คือ ความเป็นเพื่อน ทุกกรณี ทุกสถานการณ์
ผู้ที่มีพระมหากรุณากว่าคนอื่นทั้งหมด ก็คือพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะว่าสัตว์โลกมีความไม่รู้ มีความเห็นผิด เข้าใจผิดในธรรม เพราะฉะนั้นจึงทรง พระมหากรุณาแสดงพระธรรม เห็นได้เลยว่า ธรรมมีประโยชน์ เมื่อมีความเข้าใจแล้ว นำมาซึ่งสิ่งที่เป็นกุศลเพิ่มขึ้นทั้งกายวาจาใจ
สัตว์โลกเดี๋ยวก็ได้ลาภ เดี๋ยวก็เสื่อมลาภ ใครนำมาให้ อาจจะคิดว่าคนอื่นนำมา ให้ แต่จริงๆ แล้ว กรรมของตนที่ได้กระทำแล้วนำมา มากน้อยตามปัจจัยที่ได้สะสมมา ทั้งสิ้น เวลาใครได้รับสิ่งที่ดี เพราะผลของกรรมของเขา ก็ชื่นชมในกรรมที่เขาได้กระทำ มา ที่ทำให้เขาได้รับสิ่งที่ดี
พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้ใครเป็นทุกข์ แม้เพียงการร้องไห้ ก็ทรงแสดงว่า มี ประโยชน์อะไรที่จะรู้สึกโทมนัส เสียใจ แต่ถ้ามีปัญญาที่สามารถไม่หวั่นไหวในขณะนั้น เพราะรู้ว่า แต่ละคนไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็เป็นไปตามกรรม
เกิดมา ไม่เข้าใจสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ จนกว่าจะได้ฟังพระธรรม
ไม่มีใครแม้สักคนเดียว มีแต่ธาตุแต่ละหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปเท่านั้น
ทันทีที่ทำดี ก็เป็นคนดีแล้วในขณะนั้น
เห็นคนอื่นเดือดร้อน แล้วช่วยเหลือ ที่เป็นอย่างนี้ได้ ก็เพราะสติเกิดขึ้นระลึก เป็นไปในกุศลนั่นเอง
หลงทาง ง่าย ที่จะไม่หลงทาง ก็จะต้องฟังพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ
ถ้าคิดว่า เก้านาฬิกา เป็นฤกษ์ดี แต่ขณะนั้นอกุศลจิตเกิด จะเป็นฤกษ์ดีได้อย่างไร
คงไม่ลืมว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรม ทุกคำเพื่อให้เข้าใจว่า เป็นธรรมไม่ใช่เรา
สามารถละกิเลสได้ทั้งหมด ไม่มีเหลือ แม้เพียงเล็กน้อยก็ไม่มีเหตุให้เกิดขึ้น เป็นอย่างนี้ได้จริงๆ นี้คือ กำลังของปัญญา.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ ๗๔ ได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๗๔
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตร่วมปันธรรม ด้วยครับ
- ขณะที่กำลังฟังธรรมแล้วเข้าใจขณะนั้นเป็นความดี ไม่ใช่ว่าทุกคนที่กำลังฟัง พระธรรมแล้วเป็นความดีทุกคน เพราะคนที่ฟังแล้วไม่เข้าใจ ขณะนั้นไม่ใช่ความดี หรือขณะฟังพระธรรมแต่จิตฟุ้งไปคิดเรื่องอื่น ขณะนั้นก็ไม่ใช่ความดี เมื่อฟังเข้าใจ เป็นความดี ความดีใช่เราหรือเปล่า? พร้อมที่จะเข้าใจอย่างนี้ไหม?
- ความดีนั้นดีเท่าไหร่ก็ไม่พอ จนกว่าความดีเป็นธรรมะไม่ใช่เรา อบรมเจริญปัญญา จนกว่าสติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม ขณะนั้นความดีเป็น ความดี ไม่ใช่เรา
- ขณะนี้เรากำลังอยู่ในสงครามหรือเปล่า? ขณะนี้เรากำลังอยู่ในสงครามของโลภะ โทสะ เราจะมีความโกรธตอบอีกฝ่ายหรือเปล่า ความโกรธที่เพิ่มกำลังขึ้นเป็นเหตุให้ ล่วงอกุศลกรรมทางวาจาและทางใจ ขาดทุนยิ่งกว่าขาดทุน สิ่งเดียวที่จะช่วยได้คือ เราเองมีความเข้าใจพระธรรม พิจารณาไตร่ตรองให้ดีกับการกระทำใดๆ มนสิการ โดยแยบคายหรือเปล่า เราจะให้จิตเป็นไปกับอกุศลหรือ? หรือควรที่จะมีเมตตาต่อ อีกฝ่าย พูดดีกับเขาได้ไหม ปฎิบัติดีต่อเขา แม้จะเกื้อกูลให้อีกฝ่ายเข้าใจธรรม ไม่ได้ ไม่ว่าจะอยู่ในเหตุการณ์อย่างไร การอบรมความเข้าใจธรรมจะช่วยให้เข้าใจ ว่าทุกสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นขณะนี้ เป็นเพียงธรรมะที่เกิดขึ้นเท่านั้น เป็นไปตามเหตุปัจจัย และการช่วยให้อีกฝ่ายหรือผู้อื่นได้มีโอกาสได้เข้าใจพระธรรมจึงเป็นประโยชน์สูงสุด
- จิตของมนุษย์นั้นไซร้ยากแท้หยั่งถึง ไม่มีใครสามารถทราบจิตของคนอื่นได้จริงๆ มีแต่ตนเองเท่านั้น ที่จะรู้สภาพจิตของตนเอง การกระทำดีของแต่ละคน แม้ภาพ ภายนอกจะดูว่าผู้นั้นเป็นคนดี แต่เราจะรู้จิตใจที่แท้จริงของเขาหรือไม่ เราไม่สามารถ ทราบสภาพจิตที่แท้จริงของใครได้ แต่เราสามารถทราบสภาพจิตของเราเองว่าการ ที่เราทำดีกับผู้อื่น เป็นเพราะหวังผลอะไรหรือไม่
- สังคมคงจะสงบร่มเย็นขึ้นถ้าทุกคนรู้จักคำว่า “พอ” แต่มนุษย์ปุถุชนใครเลยจะละ กิเลสได้ เพราะคำว่า ปุถุชน แปลว่า ผู้หนาแน่นด้วยกิเลส ในเมื่อยังละกิเลสไม่ได้ เราควรที่จะศึกษาพระธรรม เพื่อรู้จักลักษณะของกิเลสต่างๆ จะได้หมั่นคอยสำรวจ จิตตนเอง เมื่อกิเลสเกิดขึ้น จะทำให้รู้จักตนเองตามที่เป็นจริงว่ามีกิเลสมากแค่ไหน เมื่อใดมีปัญญามากขึ้น เห็นโทษภัยของกิเลสอย่างแท้จริง ปัญญานั่นเองจะทำ หน้าที่ละกิเลส การรู้จักกิเลสของตนเองมีประโยชน์กว่าคอยจ้องจับผิดกิเลสของ ผู้อื่น เพราะจะเป็นเหตุให้สำรวมกายวาจา ใจ ของตนให้เรียบร้อยดีงาม มีความ ประพฤติ หรือแสดงออกที่ดีเป็นกุศลกรรมต่อไป
- ชาวพุทธส่วนมากไม่สนใจศึกษาพระธรรมขั้นละเอียด เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่ ยากเกินจะเข้าใจได้ ในขณะที่ชาวพุทธบางกลุ่มโดยเฉพาะผู้ที่มีการศึกษาสูงๆ เข้าใจผิดคิดว่าพระธรรมง่าย สามารถจะคาดคะเนหรือคิดเอาเองได้ตามความคิดนึก ของแต่ละคน ไม่จำเป็นต้องศึกษาอย่างละเอียดรอบคอบก็สามารถจะเข้าใจได้ โดย คิดว่าเป็นหลักคำสอนที่สอนให้ทำความดี ละความชั่วเหมือนกับหลักคำสอนของ ศาสนาอื่นๆ ทั่วไป จึงไม่สนใจศึกษาพระธรรมเพราะคิดว่าตนเองดีแล้ว พอใจกับ สภาพที่เป็นอยู่แล้ว ไม่คิดร้ายกับใคร ไม่อิจฉาริษยาใคร ไม่มีทุกข์ เป็นคนดีของ สังคมแล้ว จะต้องศึกษาพระธรรมไปทำไม เมื่อไม่สนใจศึกษาพระธรรม ซึ่งก็คือ ความจริงของชีวิตที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ และทรงแสดงพระธรรมเพื่อ อนุเคราะห์สัตว์โลกผู้มืดบอดทั้งหลายให้รู้ตาม ผู้นั้นก็ไม่สามารถจะเข้าใจความเป็น จริงที่มีอยู่ ไม่สามารถหาคำตอบให้กับชีวิตของตนเอง ในทางตรงกันข้าม เมื่อผู้ใด มีโอกาสได้ศึกษาพระพุทธศาสนาโดยละเอียดแล้ว ผู้นั้นจะรู้ได้ด้วยตนเองทันทีว่า นี่คือของจริง และนี่คือคำตอบของชีวิต
- จุดประสงค์ของการเจริญกุศลในพระพุทธศาสนานั้น เพื่อขัดเกลากิเลส เพราะมี กิเลสมากจึงทำทุจริต ฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ เบียดเบียนกัน ทุกคนคงไม่อยากเป็น อย่างนั้น คงไม่อยากให้กิเลสของตนเองแรงถึงขั้นกระทำกรรมเช่นนั้นลงไป ถ้าไม่ เจริญกุศล กิเลสก็มีแต่จะหนาขึ้นทุกวัน เห็นสิ่งที่สวยก็ชอบ ได้ยินเสียงที่ดีก็พอใจ เท่าไหร่ก็ไม่พอ มีแต่ความปรารถนา มีแต่ความต้องการเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าไม่ เจริญกุศลก็จะมีแต่เพิ่มกิเลสและสะสมอกุศลมากขึ้นในวันหนึ่งๆ ลองพิจารณาดูว่า อกุศลมาก หรือกุศลมาก ฉะนั้นเมื่อมีโอกาสที่จะเจริญกุศลทางใด ก็ไม่ควรให้ โอกาสนั้นผ่านไป เพราะเมื่อ กุศลไม่เกิด อกุศลก็เกิด ฉะนั้นผู้ที่เห็นภัยของอกุศลจึง เจริญกุศลเพื่อละอกุศลให้เบาบางลง จะด้วยการเจริญกุศลทางหนึ่งทางใดก็ตาม
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
* พระพุทธศาสนา เป็นเรื่อง "รู้" แล้ว "ละ" ถ้าต้องการเมื่อไหร่ ยังคงเป็นเราที่ฟังธรรม อยากรู้ อยากเข้าใจธรรม จึงไม่ใช่ความรู้ ความเข้าใจถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เพราะยังคงเป็นตัวตน ดังนั้นประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม คือ ฟัง แล้วเข้าใจ...แล้วไม่หวัง
* ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อมีเหตุปัจจัยจึงเกิดขึ้นได้ ไม่มีใครจะบังคับให้เป็นอย่างอื่นได้ จะได้ฟังเมื่อไหร่ ห่างหายจากการฟังเมื่อไหร่ ก็เพราะเหตุปัจจัย....อย่างที่มานั่งอยู่ที่นี่ ฟังพระธรรมก็เพราะกรรมนำมา ไม่ใช่ เราทำมา * พระธรรมเป็นเครื่องเตือนเราว่า เกิดมาเพื่อ? ลืม (เพียงปรากฏแล้วดับไป) เช่นกินอาหารอร่อย เพื่อลืม เห็นอะไรสวยๆ เพื่อลืม ฯลฯ...ก่อนตาย เป็นคนดี หรือ คนเลว?เพื่อลืม (หายไปและไม่เหลืออะไรอีกเลย) ควรสะสมสิ่งใด?
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น อาจารย์เผดิม และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านด้วยค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุโมทนาอาจารย์คำปั่น และอาจารย์ทุกท่านครับ เป็นการปันธรรมที่มีประโยชน์ วันนี้ (วันอาทิตย์ที่ 27) ได้ฟังพระธรรมนะครับ ใคร่อยากจะนำสิ่งที่จดไว้ให้ผู้ได้ศึกษาได้ อ่านพิจารณาด้วยครับ
หลังคา คือ กิเลส ผู้ที่มีหลังคา คือ กิเลส ปกปิดสภาพธรรม ไม่ให้เห็นความจริง เลย แต่พระผู้มีพระภาคเจ้า คือ ผู้มีหลังคาอันเปิดแล้ว สัมปชัญญะทั้งหลายเกื้อกูลต่ออสัมโมหสัมปชัญญะอย่างไร? สาตถกสัมปชัญญะ คือ ปัญญาที่รู้ว่าอะไรเป็นประโยชน์
ฟังเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้แหละ คือ ประโยชน์
โคจรสัมปชัญญะ (โคจรคืออารมณ์) รู้ว่าอะไรควรเป็นอารมณ์ของปัญญา
สิ่งที่มีจริงนี้แหละควรเป็นอารมณ์ของปัญญา
จนกว่าที่จะเป็นอสัมโมหสัมปชัญญะที่รู้ความจริงที่กำลังปรากฏขณะนี้
เห็น เพื่อลืม รับประทานอาหารเพื่อลืม มีอะไรก็ลืมหมดเหมือนฝัน จนกว่าจะตื่นรู้ความจริง
ที่ได้ฟังธรรม เพราะพระธรรมนำมา ซึ่งก็มาจากการสะสม หรือกรรมพามา (ต้องเป็นกรรมที่ประกอบด้วยปัญญาในอดีต)
ปริยัติ ความหมายกว้างแค่ไหน? เรียนแค่ไหน?
ปริยัติ คือ การศึกษาพุทธพจน์ ศึกษาอย่างอื่นทั้งหมดไม่ใช่ปริยัติ และยังต้องเป็นการ
ศึกษาพระพุทธพจน์เพื่อให้เข้าใจความจริงด้วย
ขณะนี้มีความจริงให้ "เพียงอาศัยระลึก" (ขณะนี้มีแข็งให้ "เพียงอาศัยระลึก")
เกิดแล้วตาย ก่อนตายเป็นคนดีหรือคนชั่ว?
ไม่ต้องรอที่จะเป็นคนดี ทำดีเมื่อไรก็เป็นคนดีเมื่อนั้น (ฟังธรรมเมื่อใด ก็เป็นคนดีเมื่อนั้น) สีสันที่ปรากฏเพราะต้องมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม (มหาภูตรูป๔) แต่มหาภูตรูป๔ แม้ไม่ปรากฏให้เห็น แต่ก็เหมือนยักษิณีที่แปลง ทำให้ปรากฏเป็นสีสันได้ เมื่อรู้ความจริง ที่ปรากฏที่ไม่ใช่ใครเลย จึงทราบความหมายของ อาตาปี สัมปชาโน สติมา คือ เพียรระลึกรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏแต่ละ ๑
ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
เราไม่สามารถจะไปเปลี่ยนใจใครได้ แต่ใจของเราที่ไม่เป็นศัตรู ไม่คิดร้ายต่อใคร ขณะนั้นเราจะไม่มีศัตรูเลย เพราะว่าเราไม่ได้เป็นศัตรูกับใคร
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ดีมากๆ เลยคะ ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ธรรมทั้งหมดเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง เมื่อมีปัญญาแล้ว กาย วาจาของเราจะดี ขึ้น คนที่เคยพูดคำที่ไม่น่าฟัง แต่พอเข้าใจในความเป็นเพื่อน และคิดถึงว่า คนอื่นก็ไม่ อยากได้ยินคำอย่างนี้ จะหยุด แม้ว่ากำลังจะกล่าวคำที่ไม่น่าฟัง นี่คือความเมตตา คือ ความเป็นเพื่อน ทุกกรณี ทุกสถานการณ์
น้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ