โลกในพระวินัยของพระอริยเจ้า ในพราหมณสูตร
โดย chatchai.k  21 ต.ค. 2565
หัวข้อหมายเลข 44841

เพื่อที่จะให้ท่านผู้ฟังได้สอบทานกับพระไตรปิฎก ขอกล่าวถึง อังคุตตรนิกาย นวกนิบาต พราหมณสูตร ซึ่งมีข้อความเรื่องโลกในพระวินัยของพระอริยเจ้า มีข้อความว่า

ครั้งนั้น พราหมณ์ผู้ชำนาญในคัมภีร์เรื่องโลก ๒ คน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ กราบทูลพระผู้มีพระภาค มีข้อความว่า

ปูรณกัสสปะ เป็นผู้รู้สิ่งทั้งปวง เห็นสิ่งทั้งปวง ปฏิญาณการรู้การเห็นโลกอันไม่มีที่สุด ด้วยญาณอันไม่มีที่สุด แม้นิครนถ์นาฏบุตรก็ปฏิญาณอย่างนั้นว่า เรารู้ เราเห็นโลกอันไม่มีที่สุด ด้วยญาณอันไม่มีที่สุด

และพราหมณ์ก็ได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า

ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ คนทั้งสองต่างก็พูดอวดรู้ด้วยกัน มีวาทะเป็นข้าศึกกัน ใครจริง ใครเท็จ

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ดูกร พราหมณ์ อย่าเลย ข้อที่คนทั้งสองนี้ต่างพูดอวดรู้กัน มีวาทะเป็นข้าศึกกัน ใครจริง ใครเท็จนั้น พักไว้ก่อนเถิด

ดูกร พราหมณ์ เราจักแสดงธรรมแก่ท่านทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว

ซึ่งข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่ว่าใครที่มีจะมีฝีเท้ารวดเร็วสักปานใดในการเดิน ในการวิ่งก็ตาม ก็ไม่อาจที่จะไปถึงที่สุดโลกได้ ย่อมตายเสียก่อน

ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะเราไม่กล่าวว่า บุคคลจะพึงรู้ จะพึงเห็น จะพึงถึงที่สุดของโลกด้วยการวิ่งเห็นปานนั้น แล้วเรายังไม่ถึงที่สุดแห่งโลก ก็ไม่ควรกล่าวการกระทำที่สุดแห่งทุกข์ได้

ดูกร พราหมณ์ กามคุณ ๕ ประการนี้ เรียกว่า โลกในวินัยของพระอริยเจ้า กามคุณ ๕ ประการ เป็นไฉน คือ รูปที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวน ชวนให้กำหนัด เสียงจะพึงรู้แจ้งด้วยหู กลิ่นจะพึงรู้แจ้งได้ด้วยจมูก รสจะพึงรู้แจ้งได้ด้วยลิ้น โผฏฐัพพะจะพึงรู้แจ้งได้ด้วยกายอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวน ชวนให้กำหนัด

ดูกร พราหมณ์ กามคุณ ๕ ประการนี้แล เรียกว่า โลกในวินัยของพระอริยเจ้า

ดูกร พราหมณ์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก วิจาร มีปีติ และสุข เกิดแต่วิเวกอยู่ ภิกษุนี้เรียกว่า ได้ถึงที่สุดแห่งโลกแล้ว และอยู่ในที่สุดแห่งโลก คนเหล่าอื่นกล่าวภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า แม้ภิกษุนี้ก็ยังนับเนื่องอยู่ในโลก ยังสลัด ตนไม่พ้นไปจากโลก

ดูกร พราหมณ์ เป็นความจริง แม้เราก็กล่าวอย่างนี้ว่า แม้ภิกษุนี้ก็ยังนับเนื่องอยู่ในโลก ยังสลัดตนไม่พ้นไปจากโลก

ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสเรื่องของทุติยฌานเป็นลำดับไป จนกระทั่งถึงเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน โดยนัยเดียวกัน

ข้อความต่อไป พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

เพราะล่วงอากิญจัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุเนวสัญญานา-สัญญายตนฌาน ภิกษุนี้เรียกว่าได้ถึงที่สุดโลกแล้ว และอยู่ในที่สุดแห่งโลก แต่ชนเหล่าอื่นกล่าวภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ภิกษุนี้ยังนับเนื่องอยู่ในโลก ยังสลัดตนไม่พ้นไปจากโลก

ดูกร พราหมณ์ เป็นความจริง แม้เราก็กล่าวอย่างนี้ว่า แม้ภิกษุนี้ยังนับเนื่องอยู่ในโลก ยังสลัดตนไม่พ้นไปจากโลก

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเพราะล่วงเนวสัญญานาสัญญายตนฌานโดยประการทั้งปวง บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ อาสวะของเธอสิ้นรอบแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญา

ดูกร พราหมณ์ ภิกษุนี้เรียกว่า ได้ถึงที่สุดแห่งโลกแล้ว และอยู่ในที่สุดแห่งโลก ข้ามพ้นตัณหาเครื่องข้องในโลกได้แล้ว

โลกในวินัยของพระอริยเจ้าได้แก่อะไร จะพ้นจากตา หู จมูก ลิ้น กายได้ไหม ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้น จะไปรู้ธัมมารมณ์ทางมโนทวารเท่านั้นไม่ได้ แต่ต้องรู้ด้วยปัญญาตามความเป็นจริงของโลกในวินัยของพระอริยเจ้า

ขออ่านซ้ำอีกครั้ง ที่ว่า

ดูกร พราหมณ์ กามคุณ ๕ ประการนี้ เรียกว่า โลกในวินัยของพระอริยเจ้า

ดูกร พราหมณ์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก วิจาร มีปีติ และสุข เกิดแต่วิเวกอยู่ ภิกษุนี้เรียกว่า ได้ถึงที่สุดแห่งโลกแล้ว และอยู่ในที่สุดแห่งโลก

นี่เป็นข้อความตอนหนึ่ง หมายความถึงในขณะที่ฌานจิตเกิด ไม่มีรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะเป็นอารมณ์ จึงชื่อว่า ได้ถึงที่สุดแห่งโลกแล้ว และอยู่ในที่สุดแห่งโลก เพราะว่าในขณะนั้นพ้นจากกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะชั่วคราว

แต่พระผู้มีพระภาคตรัสต่อไปว่า

คนเหล่าอื่นกล่าวภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า แม้ภิกษุนี้ก็ยังนับเนื่องอยู่ในโลก ยังสลัด ตนไม่พ้นไปจากโลก

เพราะอะไร เพราะการที่จะละรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ คือ โลกในวินัยของพระอริยเจ้านั้น ต้องละอย่างละเอียดมาก ไม่ใช่เพียงด้วยสมาธิที่เป็นฌานจิตที่เป็นปฐมฌาน ทุติยฌาน หรือแม้เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ก็ไม่สามารถที่จะสลัดตนให้พ้นจากโลกในวินัยของพระอริยเจ้าได้ ด้วยเหตุนี้พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า

คนเหล่าอื่นกล่าวภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า แม้ภิกษุนี้ก็ยังนับเนื่องอยู่ในโลก ยังสลัดตนไม่พ้นไปจากโลก

ดูกร พราหมณ์ เป็นความจริง แม้เราก็กล่าวอย่างนี้ว่า แม้ภิกษุนี้ก็ยังนับเนื่องอยู่ในโลก ยังสลัดตนไม่พ้นไปจากโลก

ถึงแม้ว่าจะได้ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน รูปฌานทั้งหมด และ อรูปฌานทั้งหมด ทั้งอากาสานัญจายตนฌาน วิญญาณัญจายตนฌาน อากิญจัญญายตนฌาน เนวสัญญานาสัญญายตนฌาน แม้กระนั้นพระผู้มีพระภาคก็ยังตรัสว่า แม้ภิกษุนี้ก็ยังนับเนื่องอยู่ในโลก ยังสลัดตนไม่พ้นไปจากโลก เพราะเหตุว่า ผู้ที่จะสลัดตนให้พ้นไปจากโลกได้นั้น คือ ผู้ที่อาสวะสิ้นแล้ว เพราะเห็นด้วยปัญญาตามความเป็นจริง จึงสามารถสลัดตนพ้นจากโลกได้

ที่จะไม่รู้นั้น ไม่ได้ จะข้ามทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ไม่พิจารณา และคิดว่า เพียงแต่รู้ธัมมารมณ์ทางมโนทวารเท่านั้นก็สามารถที่จะเป็น พระอริยบุคคลได้ เป็นไปไม่ได้ เพราะเหตุว่าอวิชชาและตัณหาที่เคยพอใจและไม่รู้ในลักษณะของนามและรูปนั้นมากมายเหลือเกิน

พระอริยเจ้า ผู้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ท่านประจักษ์ความเกิดขึ้นและดับไป โดยสภาพที่ไม่ใช่ตัวตนของนามธรรมและรูปธรรมด้วยความสมบูรณ์ของญาณ แต่ว่าสำหรับบุคคลที่ยังไม่รู้แจ้ง อะไรที่กั้นไว้ กำลังเห็นอย่างนี้ กำลังได้ยินอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่ อวิชชากับตัณหาที่สะสมมามากมายเหลือเกิน เหนียวแน่นเหลือเกิน ปิดบังหุ้มห่อไว้ ทุกขณะที่เห็น ทุกขณะที่ได้ยิน ทุกขณะทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ถ้าสติไม่ระลึกรู้ลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมตามความเป็นจริง

เพราะฉะนั้น นอกจากสติที่จะระลึกรู้แล้วละ ก็ไม่มีหนทางอื่นอีกที่จะละกิเลสได้ และต้องตรงต่อสภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งมีลักษณะปรมัตถธรรมปรากฏให้รู้ด้วย

อย่างพวกรูปพรหมบุคคลในรูปพรหมภูมิ แม้จะไม่มีฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท ไม่มีทุกขเวทนา สุขเวทนาทางกาย แต่ยังมีจักขุปสาท มีโลกที่เห็นสีต่างๆ มีโสตปสาท มีโลกที่ได้ยินเสียงต่างๆ ทำให้สามารถรู้ชัดในโลกนั้น เพราะเป็นโลกที่เกิดแล้วดับ มีลักษณะที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาปรากฏให้รู้ ให้ละได้

ส่วนในภูมิที่มี ๔ ขันธ์ คือ มีแต่นามขันธ์ ๔ ไม่มีรูปขันธ์นั้น ต้องเป็นพระอริยบุคคลจากภูมิที่มีขันธ์ ๕ ก่อน จึงจะเจริญวิปัสสนาต่อในอรูปพรหมภูมิได้ เพราะเหตุว่ารู้แล้ว ละแล้ว เพราะฉะนั้น แม้ว่าจะเป็นนามทางมโนทวารเท่านั้น สติก็ระลึก รู้ แล้วก็ละ เป็นเรื่องของการละต่อไป เพราะเหตุว่ารู้ทั่วแล้ว ถึงแม้ว่าในอรูปพรหมภูมิไม่มีรูปธรรม แต่ก็รู้แล้วว่า นามธรรมไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงนามธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น ความสมบูรณ์ของปัญญาก็เกิด ทำให้บรรลุความเป็นพระอริยเจ้าขั้นต่อไปได้ เมื่อรู้แล้ว เป็นพระอริยเจ้าแล้วจากภูมิที่มีขันธ์ ๕


ที่มา และ อ่านเพิ่มเติม ...

แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 179