อรูปพรหมเป็นบุคคลผู้มีปัญญาปฏิสนธิและเป็นไปได้ใหมที่สิ้นภพแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ อรูปพรหมมีสอนในศาสนาอื่นหรือไม่?
ขอบคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยจากคำถามที่ว่า
อรูปพรหมมีสอนในศาสนาอื่นหรือไม่?
อรูปพรหม คือ บุคคลที่อบรมสมถภาวนา จนถึงได้ฌานที่ 5 ขึ้นไป และเมื่อฌานไม่
เสื่อมก็ไปเกิดในอรูปพหรมภูมิ เป็นอรูปพรหมบุคคล ซึ่งไม่มีรูปเลย มีแต่นามเท่านั้นครับ
สำหรับคำถามที่ว่า.....อรูปพรหมมีสอนในศาสนาอื่นหรือไม่?
ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะเสด็จอุบัติขึ้นในโลก มีฤาษี ดาบส ผู้ที่อบรมสมถภาวนา จน
ได้ฌานขั้นสูงสุด คือ ที่เป็นอรูปฌานและก็สำคัญฌานขั้นสูงสุดว่าเป็นสาระ เป็นการ
หลุดพ้นแล้ว เป็นการเข้าถึงพรหม อันเป็นความเที่ยง ไม่มีการเกิดอีก คงอยู่อย่างนั้น
และก็ได้กล่างสั่งสอน บุคคลอื่นๆ อีกให้เจริญฌาน จนถึงฌานสูงสุดและก็สอนให้
เข้าใจว่านี้คือสาระ เป็นทางหลุดพ้นนั่นเองครับ ดังนั้นจึงมีศาสนา คำสอนที่สอนว่า
การเจริญฌาน จนถึงสูงสุด เป็นการหลุดพ้นแล้ว เป็นการเข้าถึงพรหมที่มีความเที่ยง
นั่นแสดงว่า มีคำสอนอื่นที่เข้าใจว่าการเจริญฌานสูงสุดเป็นทางหลุดพ้น ก่อนที่พระ
พุทธเจ้าจะอุบัติขึ้นครับ ซึ่งตัวอย่างก็เช่น ท่านอุททกดาบส ที่ท่านคิดว่า ท่านจบ
เวท ชนะทุกอย่างและ ขุดรากของทุกข์ได้ ด้วยการเจริญฌานขั้นสูงสุดของท่าน และ
ท่านก็สั่งสอนตามที่ท่านเข้าใจผิด ดังนั้น การเจริญฌานขั้นสูงสุด ไปเกิดเป็นพรหม
จึงมีในคำสอน ศาสนาอื่นที่เป็นความเข้าใจผิดครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ... อุททกสูตร...วันเสาร์ที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๔
ส่วนคำถามที่ว่าอรูปพรหมเป็นบุคคลผู้มีปัญญาปฏิสนธิและเป็นไปได้ใหมที่สิ้นภพแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์
อรูปพรหม คือ ผู้ที่อบรมฌานขั้นสูง ตั้งแต่ขั้นที่ 5 ขึ้นไป และฌานไม่เสื่อมก็ไปเกิด
ปฏิสนธิเป็นอรูปพรหมบุคคล ด้วยปฏฺสนธิด้วยเหตุ 3 อันประกอบด้วยปัญญา ดังนั้น
การเจริญฌาน ก็เป็นการอบรมสมถภาวนา ซึ่งไม่ใช่หนทางในการดับกิเลสได้จริงๆ
ดังนั้นเมื่อไปเกิดเป็นอรูปพรหมบุคคล ก็ยังมีกิเลส เป็นปุถุชน ซึ่งยังต้องกลับมาเกิด
ในภพภูมิต่างๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นอบายภูมิ มนุษย์ หรือ เทวดา วนเวียนไปอย่างนี้ไม่
สิ้นสุด เพราะไม่ได้ดับเหตุในการเกิด คือ กิเลสได้จริงๆ ครับ เพียงแต่การไปเกิดใน
อรูปพรหม ก็จะมีชีวิตที่ยาวนาน ตามกำลังของฌาน ที่เป็นกุศลกรรมใหญ่ให้ผล ก็ทำ
ให้มีชีวิตยาวนานมาก แต่ก็ไม่มากเลยเมื่อเทียบกับสังสารวัฏฏ์ที่นับไมได้ครับ
พระพุทธองค์ ได้เปรียบพรหมที่มีอายุยืนยาวว่า ดังลูกศรที่ยิงออกไป เมื่อหมดกำลัง
ลูกศรก็ต้องตกลงมาพื้นดิน ฉันใด เมื่อกรรมที่จะทำให้เป็นอรูปพรหมหมด ก็ต้องกลับ
มาเวียนว่ายตายเกิดเป็นสัตว์โลกประเภทต่างๆ รวมทั้งกลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ได้ครับ
เพราะการอบรมสมถภาวนา ที่ได้ฌานจนสามารถเกิดในอรูปพรหม ไม่สามารถดับกิเลส
ได้ จึงต้องกลับมาเกิดอีกครับ เพียงแต่ว่า อรูปพรหม เมื่อจุติแล้ว ตายจากความเป็น
อรูปพรหม จะไม่เกิดในอบายทันทีในชาตินั้น แต่จะไปเกิดในสุคติภูมิ มีมนุษย์ เป็นต้น
แต่ชาติถัดๆ ไปก็สามารถไปเกิดในอบายได้ครับ ที่กล่าวมา กล่าวถึงอรูปพรหมที่เป็น
ปุถุชน คือ ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม เพียงแต่เจริญฌานอย่างเดียวครับ ก็สามารถ
กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ได้เป็นธรรมดาครับ
ส่วนในกรณีของ อรูปพรหมที่เป็นพระอริยเจ้าแล้ว คือได้บรรลุธรรมก่อนเป็นอรูปพรหม
เมื่อเกิดเป็นอรูปพรหมท่านก็เป็นพระอริยเจ้าแล้ว คือ บรรลุธรรม เช่น เป็นพระโสดาบัน
แล้วและเกิดในอรูปพรหม ก็จะไม่กลับมาเกิดในมนุษย์อีก และก็ดับกิเลสทั้งหมดและ
ปรินิพพานในพรหมโลกนั่นเองครับ
ดังนั้นภพต่างๆ ก็ไม่เที่ยง แม้จะอายุยืนยาวเท่าไหร่ก็ตาม ก็ต้องกลับมาเวียนว่าย
ตายเกิดอันนำมาซึ่งทุกข์ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะฉะนั้นการศึกษาพระธรรม การอบรม
ปัญญา อันเป็นหนทางในการดับกิเลสที่เป็นทางสายกลาง คือ การระลึกลักษณะของ
สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา เป็นหนทางเดียวที่จละเหตุของการ
เกิดในภพภูมิต่างๆ ด้วยการไม่เกิด ละเหตุคือกิเลสด้วยปัญญาตามที่กล่าวมาครับ
พระธรรมที่พระองค์แสดงกับพุทธบริษัท จึงทำให้เข้าใจความจริงเพื่อถึงความไม่เกิด
และดับทุกข์ทั้งปวง ขออนุโมทนาครับ
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขออนุโมทนาในกุศลจิตครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด และค่อยๆ ไตร่ตรองในเหตุในผล เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง ตรงตามความเป็นจริง ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง ผู้ที่อบรมเจริญฌาน จนได้อรูปฌานขั้นต่างๆ เมื่ออรูปฌานไม่เสื่อมก่อนจุติ ก็จะเป็นเหตุให้ผู้นั้นไปเกิดเป็นอรูปพรหมบุคคล (พรหมที่ไม่มีรูป มีแต่นามธรรม คือ จิต และ เจตสิก เท่านั้น) ไม่มีรูปธรรมใดๆ เกิดขึ้น ผู้ที่ได้อรูปฌานขั้นต่างๆ มีตั้งแต่ก่อนการอุบัติขึ้นของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับผู้ที่ไม่ได้อบรมเจริญสติปัฏฐานระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏตามความเป็นจริง ไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมขั้นพระโสดาบันตั้งแต่พระโสดาบัน ในภพภูมิที่มีขันธ์ ๕ ครบ (นามธรรม กับ รูปธรรม) ถึงแม้จะได้ฌานขั้นสูงสุด ไปเกิดเป็นอรูปพรมหบุคคล มีอายุยืนนาน ก็ไม่สามารถรู้แจ้อริยสัจจธรรมในอรูปพรหมภูมิได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่า ท่านเหล่านี้ เป็นผู้เสือมใหญ่ เพราะแม้แต่พระพุทธเจ้าจะกี่พระองค์ ก็ไม่สามารถโปรดเขาได้ เป็นผู้ยังไม่พ้นไปจากวัฏฏทุกข์ทั้งปวง [แต่สำหรับผู้ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคลขั้นต้น ตั้งแต่ในภูมิที่มีขันธ์ ๕ ครบแล้ว ถึงแม้จะได้เกิดเป็นอรูปพรหมบุคคลตามกำลังของอรูปฌาน ก็สามารถอบรมเจริญปัญญาเพื่อถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นสูงขึ้นไปได้] เรื่องภพภูมิอื่นไม่ว่าจะเป็นรูปพรหมภูมิ หรือ อรูปพรหมภูมิก็ตาม เป็นเรื่องที่ไกลตัวแต่ขณะนี้ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีสภาพธรรม คือ จิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไปควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาให้เข้าใจสภาพธรรมเหล่านี้ ตามความเป็นจริง เพราะจิต เจตสิกและรูป ไม่ได้อยู่ในตำรา แต่มีจริงทุกขณะ ซึ่งจะต้องอาศัยการฟัง การศึกษา สะสมปัญญาไปตามลำัดับ ธรรม เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่ไม่เหลือวิสัยสำหรับผู้ที่ตั้งใจศึกษา เพื่อความเข้าใจจริงๆ เพราะสิ่งที่สามารถรู้ได้ สามารถเข้าใจได้ ก็คือสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ นั่นเอง ทุกคำของพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างแท้จริง ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณ natre,คุณผเดิม และ ทุกๆ ท่านครับ...
ไปเกิดในอรูปพหรมภูมิ เป็นอรูปพรหมบุคคล ซึ่งไม่มีรูปเลย มีแต่นามเท่านั้น
(ความคิดเห็นที่ 1)
ไปเกิดเป็นอรูปพรหมบุคคล (พรหมที่ไม่มีรูป มีแต่นามธรรม คือ จิต และ
เจตสิก เท่านั้น) ไม่มีรูปธรรมใดๆ เกิดขึ้น (ความคิดเห็นที่ 4)
กระผมกำลังคิดจะเรียนถามเพื่อหาความรู้ว่า ในเมื่อไม่มีรูป มีแต่นามเท่านั้น สิ่งมี
ชีวิตที่อยู่ในอรูปพรหมภูมินั้นจะกินเนื้อที่หรือเปล่า หมายความว่าต้องใช้สถานที่กว้าง
ยาวเท่านั้นเท่านี้เพื่อสถิตอยู่หรือเปล่า ถ้านามธรรมไม่กินเนื้อที่ อรูปพรหมภูมิก็ไม่ต้อง
ใช้สถานที่ คือไม่ต้องมีสถานที่อยู่ ณ ที่ใดๆ เลย ใช่ไหม? เพราะถ้ามีสถานที่ จะเอาไว้
รองรับอะไร? (ดูเหมือนท่านผู้รู้จะเคยบอกว่าอรูปพรหมภูมิเป็นภพภูมิ คือมีสถานที่ แต่
เป็นภพภูมิที่ละเอียด ไม่หยาบเหมือนภูมิมนุษย์)
แต่พออ่านมาถึงข้อความที่ว่า เรื่องภพภูมิอื่นไม่ว่าจะเป็นรูปพรหมภูมิ หรือ อรูป
พรหมภูมิก็ตาม เป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่ขณะนี้ ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ มีสภาพธรรม คือ
จิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไป ควรอย่างยิ่งที่จะศึกษาให้เข้าใจสภาพธรรมเหล่านี้ ตาม
ความเป็นจริง (ความคิดเห็นที่ 4) ก็เลยชะงัก ไม่ถามละครับ - ขอบพระคุณครับ
ขอขอยพระคุณอาจารย์ padermและอาจารย์khampan เป็นอย่างสูงครับที่ให้ความรู้ผม
"อย่างจุใจ"พร้อมก็ขอขอบคุณ คุณนาวาเอกทองย้อยด้วยที่ตั้งกระทู้เพิ่มซื่งผมก็เคยสงสัย
ในเรื่องนี้อยู่เช่นกันครับ แม้จะเป็นเรื่องที่ไกลตัวแต่ไม่รู้เป็นไรถ้าเรื่องใดที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา ผมมีฉันทะอยากรู้ครับ ขอขอบคุณครับ