โอปปาติกะ หมายถึงพระสกทาคามีด้วย คัดลอกจาก พระสูตรนี้
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 454
๖. ทุติยเสขสูตร
ว่าด้วยเสขบุคคล
[๕๒๖] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิกขาบทที่สำคัญ ๑๕๐ นี้ ย่อมมาสู่อุทเทสทุกกึ่งเดือน ... ภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ที่เป็นผู้ทำให้บริบูรณ์ในศีล ... ในสมาธิ ทำพอประมาณในปัญญา เธอก็ย่อมล่วงสิกขาบทเล็กน้อยบ้าง ฯลฯ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ภิกษุนั้นเพราะสิ้นสังโยชน์เบื้องต่ำ ๕ เป็น โอปปาติกะ ปรินิพพานในโลก (ที่เกิด) นั้น มีอันไม่กลับจากโลกนั้นเป็นธรรมดา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในบทว่า โอปปาติกะ ที่ปรากฏในทุติยเสขสูตร นั้น มีความหมายว่า "อุบัติขึ้น" หรือ "เกิดขึ้น" ตามข้อความในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า ๔๕๘ ดังนี้
บทว่า โอรมฺภาคิยานํ ได้แก่ เป็นไปในส่วนเบื้องต่ำ. บทว่า สํโยชนานํ ได้แก่ สังโยชน์ (เครื่องผูกทั้งหลาย) .บทว่า ปริกฺขยา แปลว่า เพราะความสิ้นไป. บทว่า โอปปาติโก โหติ ได้แก่ เป็นผู้อุบัติขึ้น. บทว่า ตตฺถ ปรินิพฺพายี ได้แก่ มีอันไม่ลงมาเกิดในภพชั้นต่ำๆ จะปรินิพพานในภพชั้นสูงนั้นแล.
จะเห็นได้ว่าผู้ที่บรรลุถึงความเป็นอนาคามีแล้ว เมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว ท่านก็จะไปเกิดในพรหมโลก จะไม่มาเกิดเป็นมนุษย์ จะไม่มาเกิดเป็นเทวดาในสวรรค์ ๖ มีแต่จะเกิดในพรหมโลก ก็แล้วอบรมเจริญปัญญาต่อไปจนถึงความเป็นพระอรหันต์ แล้วปรินิพพานในพรหมโลกนั้นเลย
ผู้ที่บรรลุถึงความเป็นพระอนาคามีแล้ว ต้องไปเกิดที่รูปพรหมภูมิ เพราะมีกำลังถึงปฐมฌาน เป็นอย่างน้อย และขึ้นอยู่กับกำลังของฌานที่ท่านได้ว่าจะทำให้ท่านไปเกิดในพรหมโลกชั้นไหน ถ้าเกิดในรูปพรหมภูมิ ก็เกิดผุดขึ้นเป็นตัวทันทีเลย แต่ถ้าเป็นพระอนาคามีผู้ได้อรูปฌาน ก็ไปเกิดเป็นอรูปพรหม ในอรูปพรหมภูมิ ไม่มีรูปธรรม มีแต่นามธรรมเท่านั้น จึงไม่มีรูปร่างแต่อย่างใด แต่ท่านก็เกิดขึ้นหรืออุบัติขึ้น เพราะมีความเกิดขึ้นเป็นไปของนามธรรมนั่นเอง ครับ
... ยินดีในกุศลของคุณ preechacupr และทุกๆ ท่านด้วยครับ ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณท่านอาจารย์
เพราะส่วนมาก จะหมายถึง อสุรกาย เทวดา เปรต เกิดผุดขื้นเป็นตัวทันที (พจนานุกรม)