ภาระคืออะไร เป็นภาระอย่างไร ขณะนี้มีภาระหรือไม่ และเป็นภัยอย่างไร
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ทั้งเหตุให้เกิดภาระ และเหตุให้พ้นจากภาระ ผู้ที่ได้ฟังก็รู้ในพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ มิฉะนั้นก็อยู่ไปวันๆ ไม่มีโอกาสเข้าใจสิ่งที่กำลังมีได้เลย
ทุกอย่างที่เกิดเป็นภาระใช่ไหม เพราะเกิดมาก็ต้องเป็นไป เป็นภาระแน่นอน มีอะไรเกิดบ้าง มากมายนับไม่ถ้วน แต่ก็ทรงแสดงสภาพธรรมที่เกิดเป็นภาระอีกด้วย ทุกอย่างไม่พ้นจากขันธภาระ เป็นสิ่งที่มีเกิดขึ้นต้องเป็นไป ยับยั้งไม่ได้เลย ใครจะบอกว่า ไม่อยากเกิดอีกแล้ว แต่ยับยั้งไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะมีเหตุที่จะต้องเกิด เมื่อกี้นี้ดับแล้ว แต่ก็มีสิ่งที่เกิดอีกตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป แล้วก็เกิดอีก ยับยั้งไม่ได้เลย เป็นขันธภาระ
กล่าวโดยกว้างที่สุด คือ ทุกอย่างที่เกิดมีขึ้นเป็นไปเป็นภาระทั้งนั้น เพราะต้องเกิด ต้องเป็นไป ไม่เกิด ไม่ต้องเป็นไปจึงไม่ใช่ภาระ
ชีวิตที่เป็นไปตามธรรมดา ถ้าไม่มีกิเลสดีไหม ดีกว่าแน่นอน สบายกว่าไหม แต่ก็มีขันธภาะซึ่งเป็นกิเลสภาระ แล้วก็ต้องเป็นไปตามกำลังของกิเลสด้วย เป็นภาระหนักมาก เพราะกิเลสมีแต่ความติดข้อง ความไม่รู้ การแสวงหาทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ชีวิตวันหนึ่งๆ มากด้วยกิเลสภาระ ถ้ากิเลสน้อยลง ภาระก็น้อย ก็แสดงให้เห็นถึงว่า ในบรรดาขันธภาระ กิเลสภาระเป็นภาระหนักมาก ไม่รู้เลย คิดว่า สบายดี สนุกดี แต่ความจริงทั้งหมดเป็นกิเลสภาระ เมื่อมีกิเลสแล้วก็มีเจตนา ความจงใจ ลำพังกิเลส แต่ไม่มีเจตนาที่จะกระทำสิ่งหนึ่งสิ่งใด ผลนั้นก็ไม่เกิด มีแต่สะสมความยินดีพอใจ แต่กิเลสก็เป็นขันธภาระ เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิด แต่เกิดเป็นกิเลส
กิเลสก็เป็นกิเลสภาระ ส่วนขันธภาระซึ่งเกิดขึ้นเป็นความจงใจก็มี ห้ามไม่ให้มีเจตนา ห้ามไม่ให้จงใจไม่ได้เลย และความจงใจก็เป็นไปตามขันธ์อื่นๆ ซึ่งเกิดร่วมกัน เพราะเหตุว่าสังขารขันธ์ ได้แก่ เจตสิก ๕๐ มีทั้งโสภณเจตสิก อโสภณ มี ๒ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใดก็ตาม เมื่อยังมีความจงใจที่จะกระทำ ย่อมนำมาซึ่งผล หยุดภาระได้ไหม ไม่ให้มีขันธ์เกิดขึ้น เพราะเหตุว่ายังมีเจตนา ความจงใจซึ่งเป็นเหตุให้เกิดผล
เจตนาที่เป็นอกุศลก็เป็นเหตุให้เกิดขันธ์ ซึ่งเป็นวิบาก ซึ่งเป็นอกุศลวิบาก ทำให้เกิดในอบายภูมิ เป็นผลของอกุศลกรรม เป็นขันธ์แล้ว เป็นผลของอภิสังขารภาระแล้ว
ทุกคนกลัวภัยมาก เกิดมาแล้วมีภัยมากมาย จะมีอุบัติเหตุ ข้าวยากหมากแพง โรคภัยต่างๆ น้ำท่วม ไฟไหม้ สารพัดภัย เกิดมาแล้วพ้นจากภัยไหม ไม่พ้น แต่ถ้ายังมีขันธ์อยู่ตราบใดก็ยังต้องมีภัย และภัยที่สำคัญ คือ ทุกขันธ์เกิดเพราะเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย ดับเหตุปัจจัยแล้ว ภัยก็เกิดไม่ได้ ขันธ์ก็เกิดไม่ได้
ทุกอย่างในพระไตรปิฎกกล่าวถึงสภาพธรรมแต่ละหนึ่งโดยละเอียดยิ่ง โดยประการทั้งปวง โดยสอดคล้องกัน ทั้งธรรมเป็นเหตุเป็นผล และธรรมที่ไม่ใช่เหตุไม่ใช่ผล เพื่อรู้ว่า เป็นธรรมซึ่งเป็นอนัตตา หัวใจทั้งหมดคือเมื่อไรจะรู้ว่า เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพราะธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
ขอเชิญรับฟัง
ภาระและภัย
ยังไม่เห็นว่าเป็นภาระ
ภ า ร สู ต ร ที่ ๑
ว่าด้วยขันธ์ ๕ เป็นภาระ
[๔๙] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล ฯลฯ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงภาระ ผู้แบกภาระ การถือภาระ และการวางภาระ แก่เธอทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับสนองพระพุทธดำรัสแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ภาระเป็นไฉน พึงกล่าวว่า ภาระ คือ อุปาทานขันธ์ ๕ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นไฉน คือ อุปาทานขันธ์ คือ รูป อุปาทานขันธ์ คือ เวทนา อุปาทานขันธ์ คือ สัญญา อุปาทานขันธ์ คือ สังขาร และ อุปาทานขันธ์ คือ วิญญาณ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เรียกว่าภาระ
ขอเชิญรับฟัง
ภ า ร สู ต ร ที่ ๑ ..ว่าด้วยขันธ์ ๕ เป็นภาระ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอถวายความนอบน้อมพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า
การที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรมจนเห็นว่าเป็นภาระ ก็คือขณะนั้นไม่ใช่เรา ...
กว่าจะรู้ว่าเป็นภาระ ก็คือต้องมีการศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ที่จะระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมจนประจักษ์แจ้งว่า พระธรรมที่ทรงแสดงทุกพุทธวจนะเป็นความจริง เป็นสิ่งที่แต่ละท่านสามารถอบรมเจริญปัญญาพิสูจน์รู้แจ้งในความจริงนั้นได้
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในธรรมทานค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ