[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้าที่ 518
๙. สาลกชาดก
ว่าด้วยสาลกวานร
[๓๔๘] ดูก่อนพ่อสาลกวานร พ่อเป็นลูกคนเดียว ของเรา อนึ่ง พ่อจักได้เป็นใหญ่แห่งโภคสมบัติ ในตระกูลของเรา ลงมาจากต้นไม้เถิด มาเถิดพ่อ เราจะพากันกลับไปบ้านของเรา
[๓๔๙] ท่านสำคัญเราว่าเป็นสัตว์ใจดี จึงได้ตีเรา ด้วยเรียวไม้ไผ่ เราพอใจอยู่ในป่ามะม่วงที่มีผล สุก ท่านจงกลับไปบ้านตามสบายเถิด
จบ สาลกชาดกที่ ๙
อรรถกถา สาลกชาดกที่ ๙
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภพระมหาเถระรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า เอกปุตฺตโก ภวิสฺสติ ดังนี้
ได้ยินว่า พระมหาเถระนั้นให้กุมารน้อยบรรพชาแล้ว ทำให้ลำบากอยู่ ณ พระเชตวันนั้น สามเณรนั้นไม่สามารถจะทน ความลำบากได้จึงสึก พระเถระไปเกลี้ยกล่อมกุมารน้อยนั้นว่า ดูก่อนกุมารน้อย จีวรของเธอคงเป็นของเธอตามเดิม แม้บาตร ก็คงเป็นของเธอ ทั้งบาตรและจีวรก็คงเป็นของเธอ จงมาบรรพชาเถิด กุมารน้อยนั้น แม้กล่าวว่า ผมจักไม่บรรพชา ถูกพระเถระรบเร้าบ่อยๆ เข้าก็บรรพชา ครั้งนั้นพระเถระได้ให้สามเณร นั้นลำบากอีกตั้งแต่วันที่บวช สามเณรทนความลำบากไม่ไหว จึงสึกอีก แม้พระเถระเกลี้ยกล่อมอยู่หลายครั้งหลายครา ก็ไม่ยอมบวช โดยกล่าวว่า หลวงพ่อไม่เห็นใจผม หลวงพ่อขาดผม จะไม่สามารถเป็นไปได้เทียวหรือ ไปเถิดหลวงพ่อ ผมไม่บวชละ
ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในโรงธรรมว่า อาวุโสทั้งหลาย ทารกนั้นใจดีจริงหนอ ทราบอัธยาศัยของพระมหาเถระแล้วจึงไม่ยอมบวช พระศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้พวกเธอนั่งสนทนาด้วยเรื่องอะไรกัน เมื่อภิกษุทั้งหลาย กราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ทารกนั้นมิใช่มีใจดีแต่ในบัดนี้เท่านั้น แม้เมื่อก่อนก็ใจดี เห็นโทษของพระเถระนั้นคราวเดียวเท่านั้น ไม่ยอมเข้าใกล้อีก ทรงนำเรื่อง อดีตมาตรัสเล่า
ในอดีตกาลครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ใน กรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในตระกูลกุฎุมพี ครั้นเจริญวัย เลี้ยงชีพด้วยการขายข้าวเปลือก มีหมองูคนหนึ่ง หัดลิงตัวหนึ่ง ให้ถือยา แล้วให้งูแสดงการละเล่นกับลิงนั่งเลี้ยงชีพ เมื่อมีการ โฆษณาแสดงมหรสพที่กรุงพาราณสี. หมองูนั้นประสงค์จะชมมหรสพ จึงมอบลิงนั้นไว้กับพ่อค้าขายข้าวเปลือกนั้น สั่งว่า ท่านอย่าดูดายลิงตัวนี้ ครั้นชมมหรสพแล้วในวันที่ ๗ จึงไปหาพ่อค้าถามว่า ลิงอยู่ที่ไหน ลิงพอได้ยินเสียงเจ้าของรีบออกจากร้านขายข้าวเปลือก
ลำดับนั้นหมองู จึงเอาไม้เรียวตีหลังลิง พาไปสวนผูกไว้ข้างหนึ่ง แล้วหลับไป ลิงรู้ว่าเจ้าของหลับ จึงแก้เชือกที่ผูกออกหนีไปขึ้นต้นมะม่วง กินผลมะม่วงสุก แล้วทิ้ง เมล็ดลงตรงหัวหมองู หมองูตื่นแลดูเห็นลิงนั้นแล้ว จึงคิดว่า เราจักลวงเจ้าลิงนั้นด้วยถ้อยคำไพเราะ ให้มันลงจากต้นไม้แล้วจึงจับมัน เมื่อจะเกลี้ยกล่อมลิงนั้น ได้กล่าวคาถาแรกว่า :-
ดูก่อนพ่อสาลกวานร เจ้าเป็นลูกคนเดียวของพ่อ อนึ่ง พ่อจักได้เป็นใหญ่ในตระกูลของพ่อ ลงมาจากต้นไม้เถิด มาเถิดลูกพ่อ จะพากลับไปบ้านของเรา
ลิงได้ฟังดังนั้นจึงกล่าวคาถาที่ ๒ ว่า :-
ท่านสำคัญว่า เราเป็นสัตว์ใจดีจึงได้ตีเรา ด้วยเรียวไม้ไผ่ เราพอใจอยู่ในป่ามะม่วงที่มีผลสุก ท่านจงกลับไปบ้านตามสบายเถิด
ในบทเหล่านั้น บทว่า นนุ ม สุหทโยติ มญฺสิ ความว่า ท่านสำคัญเราว่าเป็นสัตว์มีใจดีมิใช่หรือ อธิบายว่า ท่านสำคัญ ว่าลิงนี้เป็นสัตว์ใจดี.
บทว่า ยญฺจ ม หนสิ เวฬุยฏฺิยา ความว่า ท่านแสดงไว้ดังนี้ว่า ท่านดูหมิ่นเราด้วยเหตุใด และท่านเฆี่ยน เราด้วยไม้เรียวด้วยเหตุใด เหตุนั้นเราจึงไม่กลับไป เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงพอใจในป่ามะม่วงนี้ เชิญท่านกลับไปเรือนตาม สบายเถิด แล้วกระโดดเข้าป่าไป แม้หมองูก็ไม่พอใจได้กลับ ไปเรือนของตน
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก ลิงในครั้งนั้นได้เป็นสามเณรในครั้งนี้ หมองูได้เป็นพระมหาเถระ ส่วนพ่อค้าขายข้าวเปลือกคือ เราตถาคตนี้แล
จบ อรรถกถาสาลกชาดกที่ ๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น