ชีวิตที่สมมติเรียกกันว่าเป็นคนนี้ คนนั้น ชื่อนี้ ชื่อนั้น ที่เกิดมาจากพ่อและแม่นั้น แท้จริงคนก็ไม่มี ที่เรียกว่าชีวิตที่เกิดมาแท้จริงก็เป็นเพียงนามรูปแต่ละขณะที่เกิดดับ สืบต่อตั้งแต่เกิดคือตั้งแต่ปฏิสนธิจิตเกิดก็เป็นเพียงนามรูปที่เกิดเท่านั้น ไม่มีคน ไม่ มีสัตว์ ไม่มีเราเลย และ นามรูปเกิดขึ้นมาได้อย่างไร?
[เล่มที่ 67] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้าที่ 642
ก็กำหนดนามรูป โดยนัยดังกล่าวแล้ว กำหนดอยู่ว่าอะไรหนอเป็นเหตุแห่งนามรูปนี้ ครั้น เห็นโทษในอเหตุวาทะ และเหตุวาทะ อันแตกต่างกัน จึงแสวงหาเหตุและปัจจัยของ นามรูปนั้น ดุจแพทย์ครั้นเห็นโรคแล้วจึงตรวจดูสมุฏฐานของโรคนั้น จึงเห็นธรรม ๔ เหล่านี้ คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ว่าเป็นเหตุ เพราะเป็นเหตุให้เกิดนาม รูป และว่าเป็นปัจจัย เพราะมีอาหารเป็นปัจจัยอุปถัมภ์.กำหนดปัจจัยแห่งรูปกายอย่างนี้ ว่า ธรรมทั้งหลาย มีอวิชชาเป็นต้น เป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่กายนี้ เหมือนมารดา เป็น อุปนิสสยปัจจัยแก่ทารก มีกรรมทำให้เกิด เหมือนบิดาทำบุตรให้เกิด มีอาหารเลี้ยงดู เหมือนแม่นมเลี้ยงดูทารก แล้วกำหนดปัจจัยแห่งนามกายโดยนัยมีอาทิว่า อาศัยจักษุ และรูป จักขุวิญญาณย่อมเกิด. เมื่อกำหนดอยู่อย่างนี้ ย่อมตกลงใจได้ว่า ธรรมแม้ที่ เป็นอดีตและอนาคต ย่อมเป็นไปอย่างนี้เท่านั้นเหมือนกัน.
อะไรหนอ เป็นเหตุแห่งนามรูป เหตุที่ทำให้เกิดนามรูป และ เห็น ได้ยิน ... อยู่ในสังสารวัฏฏ์ ก็คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม ซึ่งเปรียบเหมือนบิดามารดา ที่ทำให้ต้องเกิดอยู่ร่ำไป ... เพราะเหตุนี้ จึงต้องฆ่าบิดามารดาซึ่งทำให้เกิด การฟังจึง ควรฟังให้เข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจ ก็รู้ว่าทำไมต้องฆ่าบิดามารดา เพราะว่าบิดามารดาตัวจริงที่ทำให้เราเกิดมาขณะนี้ มีอวิชชาอยู่ จึงต้องมีสังขาร ถ้าไม่มีอวิชชาอะไรๆ ก็มีไม่ได้ เพราะมีอวิชชา จึงมีตัณหา ขณะนี้ มีตัณหาด้วย ไม่ใช่มีอวิชชาอย่างเดียว
นามรูป ขณะเกิดนั้น มีมารดาคือ อวิชชา คือโมหะ-ความไม่รู้ มีตัณหา คือ โลภะ
มี อุปาทาน คือ โลภะที่มีกำลัง และมี บิดาคือ เจตนาเจตสิกที่กระทำกรรม ธรรมะ ๔ อย่าง อวิชชา ตัณหา อุปาทาน เป็นมารดา และ เจตนาคือกรรมเป็นบิดานั้น เป็นคำอุปมา ว่าเกิดมา จะมีแต่บิดาหรือมารดาอย่างเดียวไม่ได้ ต้องมีทั้งบิดาและมารดาจีงเกิดมาได้..
ขณะนี้มีมารดาไหม? ขณะนี้มีเห็น ก็ติดข้อง มีอวิชชา เปรียบเหมือนมารดา ก็ไม่รู้ก็ติดข้อง ยึดมั่น ก็ย่อมมีการกระทำกรรมซึ่งเปรียบเหมือนบิดา เพราะฉะนั้นทั้งบิดามารดา
จึงเป็นเหตุให้เกิดนามรูป เกิดในภพภูมิต่างๆ และ กรรม ยังไม่ใช่ให้เกิดในปฏิสนธิกาล เท่านั้น ยังเป็นเหตุให้เกิดนาม-รูป ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ มีจักขุปสาท โสตปสาท ... ... .มีจิตเห็น จิตได้ยิน ... เมื่อฆ่าบิดาและมารดา คือ อวิชชาดับ สังขารจึงดับ เมื่อสังขารดับ นาม-รูปจึงดับ...
ขอยกตัวอย่างในพระอภิธรรมแสดงอวิชชาเป็นบิดาด้วย ...
พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 458
ว่าด้วยนิเทศอวิชชาเป็นปัจจัย (บาลีข้อ ๒๔๖)
บัดนี้ เป็นกถาว่าโดยพิสดาร ด้วยสามารถแห่งนิเทศวาร จริงอยู่ พระผู้มีพระ ภาคเจ้าตรัสว่า อวิชฺชาปจฺจยา สขรา ดังนี้ ในพระบาลีนั้น เมื่อจะทรงแสดงสังขาร ทั้งหลาย อันมีอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะบุคคลเมื่อจะพูดถึงบุตร ก็ย่อมกล่าวถึงบิดา ก่อน ด้วยว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ บุตรก็เป็นคำพูดได้ดีว่าบุตรของนายมิต บุตรของนาย ทัตตะ ดังนี้ ฉะนั้น พระศาสดาทรงเป็นผู้ฉลาดในเทศนา เพื่อทรงแสดงอวิชชา เช่นเป็นบิดาด้วยอรรถว่า ยังสังขารทั้งหลายให้เกิดก่อน จึงตรัสคำว่า ตตฺถ กตมา อวิชฺชา ทุกฺเข อญฺาณ (ในปัจจยาการเหล่านั้น อวิชชาเป็นไฉน? ความไม่รู้ทุกข์) เป็นต้น.
... ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณผเดิม ที่ค้นพระสูตรและพระอภิธรรม ด้วยค่ะ ...
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่เมตตา ครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่เมตตา ด้วยครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่เมตตาครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
"..เหตุที่ทำให้เกิดนามรูป และ เห็น ได้ยิน ... อยู่ในสังสารวัฏฏ์ ก็คือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน กรรม.."
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะพี่เมตตา
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะ กุศลศรัทธาของพี่เมตตาด้วยค่ะ
ธรรมทั้งหลาย ๓ มีอวิชชาเป็นต้น เป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่กายนี้ เหมือนมารดา เป็นอุปนิสสยปัจจัยแก่ทารก (และ) มีกรรมทำให้เกิด เหมือนบิดาทำบุตรให้เกิด มี อาหารเลี้ยงดู เหมือนแม่นมเลี้ยงดูทารก แล้วกำหนดปัจจัยแห่งนามกายโดยนัยมี อาทิว่า อาศัยจักษุ และรูป จักขุวิญญาณย่อมเกิด. เมื่อกำหนดอยู่อย่างนี้ ย่อม ตกลงใจได้ว่า ธรรมแม้ที่ เป็นอดีตและอนาคต ย่อมเป็นไปอย่างนี้เท่านั้นเหมือนกัน.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส เล่ม ๖ - หน้าที่ 642
ขออนุโมทนา