ข้อความเตือนสติเรื่องจวมานสูตร
โดย wittawat  22 มิ.ย. 2555
หัวข้อหมายเลข 21288

ขอเชิญคลิกอ่านพระสูตร..

จวมานสูตร .. เทวดาจุติมีนิมิต ๕ ประการ

ข้อความเตือนสติจากชั่วโมง สนทนาพระสูตร

ข้อความเตือนสติที่มาจากส่วน สนทนาที่เกี่ยวข้องกับพระสูตร

. ศรัทธามั่นคงเป็นอย่างไร?

ศรัทธาตั้งมั่นเพียงใด จะน้อย หรือมาก หรือไม่หวั่นไหว แทรกลงในจิตสันดาน ก็คือ มั่นคงมาก ที่จะไม่มีการว่างเว้นหรือหยุดขาดตอน ผู้ที่รู้ได้ ก็คือ ตนเอง เช่น การได้เกิดเป็นมนุษย์ ผู้ที่ได้สะสมศรัทธามาแล้ว ก็ได้มีโอกาสฟังธรรม และมีโอกาสที่ศรัทธาจะมั่นคงยิ่งขึ้น ถ้าศรัทธาที่จะฟังธรรมคงอยู่ มั่นคงไม่ขาดหายก็มีโอกาสที่ทำให้ศรัทธานั้นมั่นคงขึ้นได้เรื่อยๆ

. รวบรวมหลายข้อความที่เกี่ยวข้องกับศรัทธา

มีศรัทธาก็เหมือนมีมือที่ทำประโยชน์ ถ้าไม่มีศรัทธาก็เหมือนคนง่อยเปลี้ย คนไม่มีศรัทธาตายแน่ คือ ตายจากกุศลธรรม ถ้าไม่มีศรัทธาปัญญาก็เกิดขึ้นไม่ได้เลย ขณะที่เป็นกุศล มีศรัทธา ดอกไม้ที่อยู่ไกลมาก แต่มือเท้าก็ถึงที่นั่นได้ มือเท้า หาดอกไม้เพื่อบูชาพระรัตนตรัย มือเท้าคนกวาดใบไม้ที่มูลนิธิ คนถืออาหาร เพื่อให้เพื่อนได้รับประทาน เป็นต้น เพราะฉะนั้นถ้ามีศรัทธาจริงๆ ทุกอย่างในชีวิตก็เปลี่ยนจากอกุศลเป็นกุศลได้ และกว่าที่ขณะนั้นจะไม่เป็นอกุศลได้ หรืออกุศลสงบลงได้ ธรรมฝ่ายดีต้องเกิดพร้อมถึง ๑๙ ประเภท ไม่เพียงแต่ศรัทธาอย่างเดียว เป็นกุศลโดยมีศรัทธา หิริโอตัปปะบ้าง เป็นต้น ถ้ามีทรัพย์สินเงินทอง แต่ยากจนศรัทธา ก็ยากจนทันที คือ ยากจนจากคุณธรรม ไม่เพียงแต่ศรัทธาเท่านั้น กุศลธรรมอื่นๆ ทั้งหมดก็เช่นเดียวกัน เช่น อโลภะ อโทสะยังมีอยู่หรือไม่ ที่จะเป็นผู้ไม่ยากจนคุณธรรมได้ ก็ต่อเมื่อศรัทธาเกิด และโสภณเจตสิกอื่นๆ ก็เกิดได้ จนทรัพย์สินหรือจนคุณธรรม ควรเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นถึงจะจนทรัพย์สิน ก็อย่าได้จนคุณธรรม ศรัทธาอย่างเดียวไม่สามารถดับกิเลสได้ ต้องประกอบด้วยปัญญาด้วย

. ถ้าไม่มีศรัทธาฟังธรรมแล้วจะเป็นอย่างไร?

ถ้าไม่มีศรัทธาฟังธรรม หรือคิดว่ายากมาก ยากเกิน ก็ไม่มีทางพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ได้ เพราะสิ่งที่คิดว่ายาก เมื่อไม่มีการเข้าใจยิ่งขึ้น ก็ยิ่งยากขึ้น เพราะอกุศลทับถมมากขึ้น ในแต่ละวันที่มีชีวิตอยู่

. การฟังธรรมอย่างไรจึงเป็นองค์ของโสตาปัตติยังคะ?

ฟังธรรมเพื่อเข้าใจธรรม ถ้าฟังแล้วคิดเรื่องอื่น ก็คือ ไม่ได้เข้าใจธรรม เพราะผ่านไปแล้ว ไม่ได้กลับมาอีก ไม่ต่อ และเกิดความสงสัย เพราะฉะนั้น การฟัง คือ การฟังจริงๆ ซึ่งขณะนี้ก็มีเสียง และมีคำ และไม่ได้คิดเรื่องอื่น แต่ฟังในสิ่งที่ได้ยิน เข้าใจในสิ่งที่ได้ฟัง

. ขณะนี้ข้ามโอฆะแล้วหรือไม่?

โอฆะ มี ๔ กาโมฆะ ติดในกาม ภโวฆะ ติดข้องในภพ ทิฏโฐฆะ ความเห็นผิด และอวิชโชฆะ ความไม่รู้ ก็ทราบได้ว่ายังไม่ได้ข้ามไป เพราะสิ่งที่ปรากฏทางตามี เป็นธรรมที่ปรากฏให้เห็น แล้วก็ดับไป ที่เคยคิดว่าหลับตาแล้วก็ไม่ปรากฏ แต่จริงๆ แล้ว สิ่งที่ปรากฏทางตา ดับก่อนที่จะหลับตา นี่ก็แสดงให้เห็นว่าอวิชโชฆะมากมายเพียงใด

ตั้งแต่ปฏิสนธิจิต กระทั่งจุติจิต ที่มีภวังคจิตคั่นบ้าง มีวิถีจิตคั่นบ้าง มีสิ่งที่ปรากฏทางตาอยู่จริง แต่หมดไปด้วยความไม่รู้ จากที่เคยฟังความจริงว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจที่คิดอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าไม่ได้เข้าใจขึ้นทีละเล็กละน้อย ก็ไปสู่จุติจิตด้วยความไม่รู้ ไม่มีศรัทธา ไม่ได้ก้าวพ้นจากอวิชชา และทิฏฐิ เพราะยังเข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ด้วยอัตตสัญญาที่จำผิด เพราะฉะนั้นความเข้าใจขึ้นเป็นทางเดียว ที่จะสามารถก้าวข้ามทิฏฐิ และอวิชชาได้ ที่จะข้ามกาโมฆะ (รวมอวิชโชฆะที่เกิดพร้อมกาโมฆะ) ได้ ก็ต้องถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล และข้ามภโวฆะ (รวมทั้งอวิชโชฆะที่เหลือทั้งหมด) ได้ ก็ด้วยความเป็นพระอรหันต์

. ขณะนี้มีอุปธิหรือไม่?

ขณะนี้ มีอุปธิ หรือ สภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์หรือไม่ และอะไรบ้างที่เป็นอุปธิ ก็คือ ทุกอย่างที่เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นอุปธิ จึงเป็นสภาพที่ทรงไว้ซึ่งทุกข์ ขันธูปธิ ทุกขันธ์เกิดแล้วดับ จึงเป็นสภาพทรงไว้ซึ่งทุกข์ กิเลสูปธิ ก็เฉพาะกิเลสแยกจากขันธ์ ซึ่งตัวกิเลสนั้นเองเป็นสภาพทรงไว้ซึ่งทุกข์ อภิสังขารูปธิ เพราะมีการกล่าวถึงกิเลส ก็มีการกล่าวถึงกรรม ซึ่งทั้งหมดก็ไม่มีอะไรซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว จะพ้นไปจากอุปธิได้เลย

. ตั้งแต่เช้ามาเห็นอะไร

ถ้าตั้งแต่เช้ามา เห็นเป็นดอกไม้ หรือ คนนั้นคนนี้ เป็นต้น ก็แปลว่า ตั้งแต่เช้าจนถึงบัดนี้ ไม่ได้รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏให้เห็น และก็ไม่ได้รู้จักเห็นด้วย แต่เห็นเป็นดอกไม้ เป็นเรื่องราวทั้งหมด เพราะฉะนั้นก็ต้องฟังอีก จนกระทั่งรู้จริงๆ เข้าใจจริงๆ ในสิ่งที่มี ทันทีที่เห็น ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ที่สามารถให้เห็นได้

. สิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้

ถ้าหลับตา มีคนนั้นคนนี้หรือไม่ แต่พอลืมตา ความจริง คือ เห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ ซึ่งไม่ได้เป็นอย่างอื่น (คน เรื่องราว ดอกไม้ เป็นต้น) แต่ความเข้าใจยังไม่เพียงพอที่จะรู้ว่า เป็นธรรม ผู้ที่สะสมความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริงๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจแล้ว จึงจะสามารถที่จะรู้ว่า สิ่งใดจริง สิ่งใดไม่จริง

. ความต่างของความจริง และเรื่องราวที่ไม่จริง

เรื่องราว ตัวตน เช่น ดอกไม้ เป็นต้น ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นแต่เพียงความคิด ที่เกิดจากสิ่งที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แต่สิ่งที่มีจริง เพียงปรากฏให้เห็น ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ ไม่สามารถเกินไปจาก เพียงปรากฏให้เห็น (หมายความว่า ไม่สามารถได้ยิน หรือลิ้มรส ของสิ่งที่ปรากฏทางตาได้ หรือ เห็นเสียงก็ไม่ได้ ลักษณะของสีเฉพาะปรากฏให้เห็นได้ทางตาเท่านั้น) ซึ่งไม่ใช่เรื่องราว เห็นก็เป็นเห็น เป็นธรรมที่สามารถเห็น ได้ยินก็เป็นเพียงขณะหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เห็น เพียงแต่จำไว้มั่นคง ว่าเป็นเราเห็น เราได้ยินแต่แท้จริง ไม่มีสิ่งที่เชื่อมโยงระหว่างเห็น กับได้ยินเลย เพราะเป็นธรรมแต่ละอย่าง

๑๐. ความไม่ปะปนกันของธรรม

เวลาที่เสียงไม่ปรากฏ เพราะไม่มีปัจจัยที่จะได้ยิน เพราะเสียงไม่ได้กระทบโสตปสาทรูป เพราะฉะนั้นชั่วขณะที่เสียงปรากฏ ก็เป็นธรรมอีกอย่างหนึ่ง แต่ละขณะ ก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง ไม่ได้ปะปนกันเลย ทั้งไม่ได้รู้จักกันด้วย เพราะเกิดแล้วดับ ก่อนที่สภาพธรรมอีกประเภทจะเกิดขึ้น และดับไป

๑๑. ผลที่ได้รับจากสิ่งที่เกิดดับ

ใครได้อะไรจากสิ่งที่ผ่านไปแล้วบ้าง? สิ่งที่เพียงเกิดขึ้นปรากฏแล้วหมดไป ซึ่งความจริงในชีวิต มีสิ่งที่ปรากฏทางตา แต่เป็นโลภะบ้าง โทสะบ้าง จนกว่าจะถึงขณะสุดท้ายที่จากโลกนี้ แสดงให้เห็นถึงความไม่มีอะไรเลย นอกจากการเกิดดับของจิต ทางปัญจทวารบ้าง ทางมโนทวารบ้าง การสามารถเข้าถึงจุดประสงค์ที่ทรงแสดงความไม่มีสาระได้ ก็คือ การได้รับศรัทธาจากความเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟังอย่างถูกต้อง ว่าคือ ธรรม และการมั่นคง มีชีวิตอยู่ต่อไป ที่มีวิถีจิตเกิดขึ้น เช่น ทางตาบ้าง ก็เพื่อความรู้ปรากฏขึ้น ทีละเล็กละน้อย ซึ่งมาจากการฟังเข้าใจ จนกว่าจะเป็นความรู้ที่ชัด ตรงตามที่ได้ยินได้ฟัง ว่าทุกอย่างเป็นธรรม ซึ่งต้องเกิด ปรากฏทีละอย่าง

๑๒. ความหมายของกุศลไม่มีประมาณ

กุศลไม่มีประมาณ ก็คือ กุศลเท่าไรก็ไม่พอ แม้เล็กๆ น้อยๆ หนึ่งขณะ สองขณะ ก็เป็นขณะที่อกุศลเกิดขึ้นไม่ได้

๑๓. ผลของความไม่ประมาทในกุศล

การฟังธรรม ทำให้จิตอ่อนโยน เห็นถูก และถ้าเป็นผู้ไม่ประมาทในกุศล ก็สามารถมีกุศลเพิ่มขึ้นได้

๑๔. การฟังธรรม และ ความหวัง

ถ้าฟังธรรมเพื่อ หวังว่าเราจะเป็นคนดี แล้วก็คอยคิดว่าเราดีขึ้นหรือยัง เราดีขึ้นหรือเปล่า นั่นคือ เรื่องของเราโดยตลอด ด้วยความหวัง แต่ประโยชน์แท้จริง คือ ฟังธรรม เพื่อไม่มีเรา รู้ตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม

๑๕. อะไรทำให้ปัญญาเกิด

การฟังโดยไม่ขาด จะทำให้เข้าใจถึงความจริงของธรรม ว่าคือสิ่งที่มีจริง

๑๖. สิ่งที่หลงลืมเป็นประจำ

ขณะนี้ทุกคนเห็น แต่ลืมว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ และลืมที่จะเริ่มเข้าใจลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทีละเล็กละน้อย ถึงแม้จะเห็นเป็นคนๆ นี้ แต่ความจริงสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ไม่ใช่ใครเลย เป็นธาตุ หรือธรรม ที่สามารถปรากฏให้รู้ว่ามีจริง ให้เห็นว่ามีจริง เพราะฉะนั้นต้องอาศัยการฟังธรรมที่ไม่ขาด จนกว่าจะเข้าใจได้ เพราะถ้าไม่ได้ฟังก็ลืมไป

๑๗. สิ่งที่ไม่เคยรู้จักเลย

ลืมตามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น นี้คือ ธรรม แต่ไม่เคยรู้จัก ที่รู้จัก คือ โต๊ะ เก้าอี้ เพราะคุ้นเคยกับเรื่องราวด้วยความไม่รู้ แต่ไม่รู้ว่า มีธรรมที่สามารถปรากฏ เมื่อกระทบจักขุปสาท เป็นปัจจัยให้จิตเห็นเกิดขึ้น เห็นแล้วดับ ไม่เหลือทุกๆ ขณะ ไม่ใช่เราไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใด แต่เป็นธรรม

๑๘. ทำไมฟังเรื่องที่ปรากฏทางตาก็ดี แล้วก็ยังไม่เข้าใจ

พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่ยากหรือสิ่งที่ง่าย? เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยการฟังธรรม ต่อไปจนกว่าที่จะเข้าใจได้

๑๙. กิเลส เครื่องเนิ่นช้า

กิเลส ที่เป็นเครื่องเนิ่นช้า ได้แก่ ตัณหา มานะ ทิฏฐิ เช่น ถ้าเกิดขึ้นแล้ว ขณะที่ฟังธรรมอยู่ จากที่ฟังแล้วจะเป็นความเข้าใจ กลายเป็นความอยากรู้ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งนั่นก็คือ เครื่องเนิ่นช้า แต่ถ้าเครื่องเนิ่นช้า เช่น ความอยากรู้อยากจำธรรมได้ อยากท่องได้ เป็นต้น ลดลง ฟังธรรมแล้วก็เข้าใจยิ่งขึ้น แล้วก็ละซึ่งไม่มีใครทำให้สัมมาสติเกิดขึ้นได้ นอกจากปัจจัย คือ โยนิโสมนิการ หรือ การพิจารณาโดยแยบคาย เพื่อความละ ไม่ใช่เพื่อความอยากได้ เพราะฉะนั้นการเข้าใจเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย จึงเป็นประโยชน์ ยิ่งกว่า การอยากมีสติ

๒๐. สิ่งที่นำให้เครื่องเนิ่นช้าออกไป

ประโยชน์ของการฟัง คือ เพื่อรู้ว่า อะไร ทำให้การรู้ลักษณะสภาพธรรมที่เนิ่นช้านั้นออกไป เพราะความเข้าใจ จะทำให้เห็น ตัวที่ทำให้เนิ่นช้า คือ ความติดข้อง ความสำคัญตน ความเห็นผิด ที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เช่น ขณะที่ฟังธรรมแล้วคิดอยากจำได้ ท่องได้ เป็นต้น นั้นก็คือ เครื่องเนิ่นช้า เพราะขณะนั้นเป็นเรา ที่อยากจำได้ ขณะนั้นไม่ได้เข้าใจธรรม และไม่ได้รู้ว่าเป็นธรรม



ความคิดเห็น 1    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 22 มิ.ย. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย nong  วันที่ 22 มิ.ย. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย khampan.a  วันที่ 22 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ข้อความธรรมทั้งหมดเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ผู้ศึกษาอย่างแท้จริง

-มีศรัทธาก็เหมือนมีมือที่ทำประโยชน์ ถ้าไม่มีศรัทธาก็เหมือนคนง่อยเปลี้ย

-ถ้ามีทรัพย์สินเงินทอง แต่ยากจนศรัทธา ก็ยากจนทันที คือ ยากจนจากคุณธรรม

-พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสรู้สิ่งที่ยากหรือสิ่งที่ง่าย? เพราะฉะนั้นก็ต้องอาศัยการฟังธรรม ต่อไปจนกว่าที่จะเข้าใจได้ ฯลฯ

...การถอดเทปสนทนาพระสูตรทั้งหมด แล้วประมวลให้เหลือแต่สาระสำคัญ (ประมวลธรรม) เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากโดยแท้

ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวิทวัต และทีมงานทุกๆ ท่าน ด้วยครับ...


ความคิดเห็น 4    โดย ผิน  วันที่ 22 มิ.ย. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 5    โดย เซจาน้อย  วันที่ 22 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"การฟังพระธรรมเป็นการฟังสิ่งที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต"

ขออนุโมทนาในกุศลจิตวิริยะของคุณวิทวัตกับทีมงานและทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 6    โดย หนุง0901  วันที่ 27 มิ.ย. 2555

อนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย Graabphra  วันที่ 29 มิ.ย. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอบพระคุณมาก และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย เข้าใจ  วันที่ 1 ก.ค. 2555

ขอขอบพระคุณผู้แบ่งปันพระธรรมด้วยครับ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 9    โดย NUWIE26  วันที่ 6 ก.ค. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นด้วยเศียรเกล้า

ขอขอบพระคุณและอนุโมทนาบุญค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย orawan.c  วันที่ 11 ก.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลวิริยะขงคุณวิทวัตและทีมงานค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย wanipa  วันที่ 12 ก.ค. 2555

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวิทวัตและทีมงานด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 12    โดย munlita  วันที่ 11 ส.ค. 2555

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย เมตตา  วันที่ 12 ม.ค. 2557

...ขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวิทวัต และ ทีมงานทุกๆ ท่าน ด้วยค่ะ...


ความคิดเห็น 14    โดย ประสาน  วันที่ 5 มี.ค. 2562

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ