ในชีวิตประจำวัน จิตที่เกิดขึ้นก็ไม่พ้นจิตชาติใด ชาติหนึ่งใน ๔ ชาติ (ชาติคือ การเกิด) นั่นคือกุศลจิต อกุศลจิต กิริยาจิต หรือวิบากจิต เพราะฉะนั้น แต่ละขณะจิตที่เกิดขึ้นต้องรู้ว่า จิตนั้นเป็นเหตุคือ กุศล หรืออกุศล หรือว่าจิตนั้นเป็นผลคือ เป็นวิบาก หรือว่าจิตนั้นไม่ใช่ทั้งเหตุและผล คือไม่ใช่ทั้งกุศลและอกุศลซึ่งเป็นเหตุ และไม่ใช่วิบากแต่เป็นกิริยาจิต เพราะฉะนั้น จึงต้องรู้ว่าจิตชื่ออะไร ทำกิจอะไร และชาติอะไร เปลี่ยนชาติไม่ได้เลย จิตที่เป็นวิบากก็คือ จิตที่เป็นผลของกรรม (วิบากจิตเกิดก็ต้องมีเหตุคือ กรรมที่ได้กระทำแล้ว เช่น เห็นเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ดี ก็เพราะกุศลที่ได้กระทำไว้ ถ้าเห็นสิ่งที่ไม่ดีก็เพราะผลของอกุศลกรรมที่ได้กระทำไว้) ขณะนี้เห็นแล้วก็รู้ว่าเป็นผลของกรรมที่ได้กระทำไว้แล้ว เราจะเลือกให้เห็นแต่สิ่งที่น่าพอใจก็ไม่ได้เลย ถ้ากรรมใดยังไม่สุกงอมที่จะให้ผล ก็ไม่สามารถทำให้วิปากประเภทหนึ่งประเภทใดเกิดได้ ถ้ายังมีกิเลสอยู่ตราบใดก็จะติดข้องหรือไม่ชอบในสิ่งที่เห็นจะเป็นกุศลหรืออกุศล หรือพระอรหันต์ซึ่งดับกิเลสแล้ว ไม่เป็นกุศลหรืออกุศลแต่เป็นกิริยาจิต
แต่ถ้ามีความเข้าใจมั่นคงตั้งแต่ต้นว่า จิตไม่ใช่เรา กุศลจิตไม่ใช่เรา อกุศลจิตไม่ใช่เรา วิบากจิตไม้ใช่เรา กำลังเห็น ได้ยินก็ไม่ใช่เรา กิริยาจิตก็ไม่ใช่เรา ถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้ และรู้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องเข้าใจถูกต้องว่า จิตใดเป็นเหตุ จิตใดเป็นผล และจิตใดไม่ใช่ทั้งเหตุและผล เป็นกิริยาจิตที่เกิดขึ้นทำกิจตามกาลซึ่งเกิดขึ้นที่จะต้องทำเช่นปัญจทวารวัชชจิตเป็นชาติกิริยา เกิดขึ้นเพียงทำหน้าที่รำพึงหรือรู้อารมณ์ที่มากระทบ
ขณะที่ติดข้องหรือขณะที่โกรธ เป็นชาติอกุศล ไม่ใช่เรา ศึกษาเรื่องของจิต เรื่องของกิจ เรื่องชาติของจิต เพื่อให้เห็นว่า ไม่ใช่เราเลย
..กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขต์ ด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ..
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ศึกษาธรรมะเพื่อให้รู้ว่าทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา
กราบบูชาคุณท่านอ.สุจินต์ บริหารวนเขตต์
อนุโทนาในกุศลวิริยะค่ะ
ขออนุโมทนาครับ