เพราะเหตุใดจิตปุถุชนจึงไม่สามารถรู้ปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์โดยประจักษ์แจ้งจริงๆ ถ้า
แสดงโดยวิถีจิตครับ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
เราต้องเข้าใจคำว่าอารมณ์ก่อนครับ อารมณ์ หมายถึง สภาพธรรมที่ถูกจิตรู้ ส่วน จิต
และเจตสิก เป็นสภาพรู้ ดังนั้นต้องมีสิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่า อารมณ์ครับ จิตเป็นสภาพธรรมที่
เป็นใหญ่ในการรู้ สิ่งที่จิตรู้ได้คือ สภาพธรรมทุกอย่าง ทั้ง จิต เจตสิก รูป นิพพาน รวม
ทั้งบัญญัติด้วย สรุป คือ เมื่อกล่าวโดยรวมแล้ว มีทั้งหมด ๖ ประเภทใหญ่ๆ คือ สี
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธัมมารมณ์ (อารมณ์ที่รู้ได้ทางใจอย่างเดียว ได้แก่
ปสาทรูป ๕ สุขุมรูป ๑๖ จิตทั้งหมด เจตสิกทั้งหมด พระนิพพาน และบัญญัติ)
ดังนั้น จิตรู้ได้ทุกอย่างครับ ถามว่าปุถุชนมีจิตหรือไม่ มีครับ ดังนั้น เมื่อมีจิต ก็ต้องมี
สิ่งที่ถูกจิตรู้ คือ มีอารมณ์ด้วย และเมื่อมีจิต ก็ต้องมีการรู้ปรมัตถธรรมด้วยครับ แต่รู้ด้วย
การเป็นอารมณ์ ไมใช่การประจักษ์แจ้งตามความเป็นจริง อันนี้คนละส่วนกันครับ ปุถุชนก็มีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์ได้ในชีวิตประจำวัน เช่น ขณะที่เห็น การเห็นไมได้
จำกัดเฉพาะ พระอริยบุคคล แม้สัตว์เดรัจฉาน ปุถุชนก็มีการเห็น ก็ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็น คือ
สี สีเป็นปรมัตถธรรม เป็นรูปธรรมชนิดหนึ่งนั่นเอง ขณะที่ได้ยินก็ต้องมีสิ่งที่ถูกได้ยิน คือ
เสียง เสียงเป็นรูปธรรม ดังนั้นสัตว์ทั้งหลายที่มี จิต เจตสิกเกิดขึ้นนั้น ย่อมมีปรมัต
ถธรรมเป็นอารมณ์ครับ แต่ป็นอารมณ์ด้วยจิตที่รู้ แต่ไม่ใช่เป็นอารมณ์ของปัญญาที่รู้ตาม
ความเป็นจริงครับ ดังนั้นขณะที่เป็นวิถีจิตแล้ว เช่น ขณะที่เห็น ที่เป็นจักขุทวารวิถี ก็
ต้องมีรูปเป็นอารมณ์ด้วย แม้ปุถุชนก็มีจักขุทวารวิถีด้วย จึงมีปรมัตเป็นอารมณ์ แม้จิต
อื่นๆ ทีเกิดต่อจากจิตเห็น ก็ต้องมีปรมัตเป็นอารมณ์เมื่อรูปนั้นยังไม่ได้ดับไปครับ
คราวนี้ในประเด็นของคำถาม มุ่งหมายถึง การรู้แจ้งปรมัตธรรมตามความเป็นจริง เมื่อ
ใช้คำนี้ ย่อมแสดงถึงการรู้ความจริงของสภาพธรรม (ปรมัตถธรรม) ด้วยปัญญา ไม่ใช่
ด้วยจิตที่เป็นเพียงการรู้อารมณ์เท่านั้นครับ
ดังนั้นในชีวิตประจำวัน ขณะนี้กำลังเห็น (เห็นสี) มีปรมัตเป็นอารมณ์ (สี) แต่ไม่รู้ว่าสิ่งที่
เห็น เป็นธรรมไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ไม่เห็นตามความเป็นจริงด้วยปัญญา ขณะนี้
กำลังได้ยิน ได้ยิน เสียง เสียงเป็นปรมัตถธรรม แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า เสียงเป็น
ธรรมไม่ใช่เรา ปุถุชนที่ไม่ได้สดับธรรมของพระอริยเจ้า ย่อมเป็นผู้ยึดถือในสิ่งที่เห็น
เสียงที่ได้ยิน...ว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ บุคคล เพราะไมได้มีการอบรมปัญญานั่นเองในหน
ทางที่ถูกต้อง จึงไม่สามารถรู้ความจริงของปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฎว่าเป็นธรรมไม่ใช่
เราครับ เพราะไมได้ฟังพระธรรมที่ถูกต้องนั่นเองครับ
การฟังพระธรรมในเรื่องของสภาพธรรมและสติปัฏฐานย่อมจะเป็นปัจจัยให้สติและ
ปัญญาเกิดรู้ความจริงของสภาพธรรม (ปรมัถธรรม) ที่กำลังปรากฎ ด้วยการประจักษ์แจ้ง
ตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ ดังนั้นในประเด็นนี้เราจึงต้องแยกระหว่าง
การมีปรมัตถธรรมเป็นอารมณ์โดย จิตรู้ ซึ่งปุถุชนและสัตว์เดรัจฉาน รู้ปรมัตในขณะนี้ได้
กับการรู้ปรมัตถธรรมด้วยการประจักษ์แจ้งตามควาเมป็นจริงด้วยปัญญาครับ ของผู้ที่ได้
สดับพระธรรมแล้วครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในชีวิตประจำวันที่ดำเนินไป นั้น เป็นจิตแต่ละขณะที่เกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลาเมื่อจิตเกิดขึ้นย่อมรู้อารมณ์ ซึ่งแน่นอนว่าอารมณ์ มีทั้งอารมณ์ที่เป็นปรมัตถธรรม และ บัญญัติ ด้วย แต่การที่จะรู้ธรรมตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม นั้น ต้องค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกทีละเล็กทีละน้อย จากที่เป็นปุถุชนผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลสก็สามารถมีปัญญาเจริญขึ้นจนถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน (ซึ่งก็เป็นหนึ่งในปรมัตถธรรมด้วย) ตามความเป็นจริงได้ ด้วยการอบรมเจริญปัญญา ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ฟังในสิ่งที่ควรรู้ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เพราะปรมัตถธรรม ก็คือ สิ่งที่มีอยู่ จริงๆ มีลักษณะให้รู้ได้ และก็มีจริงให้รู้ได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าไม่ขาดการฟัง ไม่ขาดการศึกษา ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
จิตของปุถุชนไม่สามารถรู้ปรมัตถธรรมอย่างประจักษ์แจ้งได้ เพราะยังไม่ได้สะสม
ปัญญาที่มีกำลังเพียงพอที่จะประจักษ์แจ้งความเป็นอนัตตาของปรมัตถธรรมอย่างเช่นจิต
ของพระอริยบุคคลทั้งหลายครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในชีวิตประจำวันที่ดำเนินไป นั้น เป็นจิตแต่ละขณะที่เกิดดับสืบต่อกันอยู่ตลอดเวลาเมื่อจิตเกิดขึ้นย่อมรู้อารมณ์ ซึ่งแน่นอนว่าอารมณ์ มีทั้งอารมณ์ที่เป็นปรมัตถธรรม และ บัญญัติ ด้วย แต่การที่จะรู้ธรรมตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม นั้น ต้องค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกทีละเล็กทีละน้อย จากที่เป็นปุถุชนผู้ที่หนาแน่นไปด้วยกิเลสก็สามารถมีปัญญาเจริญขึ้นจนถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ประจักษ์แจ้งพระนิพพาน (ซึ่งก็เป็นหนึ่งในปรมัตถธรรมด้วย) ตามความเป็นจริงได้ ด้วยการอบรมเจริญปัญญา ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ ฟังในสิ่งที่ควรรู้ สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เพราะปรมัตถธรรม ก็คือ สิ่งที่มีอยู่ จริงๆ มีลักษณะให้รู้ได้ และก็มีจริงให้รู้ได้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งถ้าไม่ขาดการฟัง ไม่ขาดการศึกษา ความเข้าใจก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น ครับ. ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอ อนุโมทนา ครับ เข้าใจ ง่าย ครับ รู้ธรรมชาติ ตามเป็นจริง ครับ ช่วยกันเปิดเผย นะ ครับ ขอ สรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วจักรวาล เป็นสุขๆ เถิด อย่ามีทุกข์กายทุกข์ใจเลย สวัสดี ครับ