[เล่มที่ 44] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 72
๒. ทุติยโพธิสูตร
ว่าด้วยปฏิจจสมุปบาทเป็นปฏิโลม
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 44]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 72
๒. ทุติยโพธิสูตร
ว่าด้วยปฏิจจสมุปบาทเป็นปฏิโลม
[๓๙] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้ใหม่ๆ ประทับอยู่ที่โคนไม้โพธิ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ที่ตำบลอุรุเวลา ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งเสวยวิมุตติสุขด้วยบัลลังก์อันเดียวตลอด ๗ วัน พอล่วงสัปดาห์นั้นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จออกจากสมาธินั้นแล้ว ทรง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 73
มนสิการปฏิจจสมุปบาทอันเป็นปฏิโลมด้วยดี ตลอดมัชฌิมยามแห่งราตรี ดังนี้ว่า เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มี เพราะสิ่งนี้ดับ สิ่งนี้ก็ดับ คือ เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้.
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว จึงทรงเปล่งอุทานในเวลานั้นว่า
ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลายมาปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ ในกาลนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อมสิ้นไป เพราะได้รู้แจ้งความสิ้นไปแห่งปัจจัยทั้งหลาย.
จบทุติยโพธิสูตรที่ ๒
อรรถกถาทุติยโพธิสูตร
ทุติยโพธิสูตรที่ ๒ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้:-
บทว่า ปฏิโลมํ ความว่า ปัจจยาการมีอวิชชาเป็นต้นที่กล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ดังนี้ เมื่อดับด้วยการดับโดยไม่เกิดขึ้น ท่านเรียกว่า ปฏิโลม เพราะไม่ทำกิจที่ตนควรกระทำ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 74
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปฏิโลม เพราะย้อนความเป็นไป ก็เพราะไม่ได้กล่าวถึงตั้งแต่ที่สุดหรือท่ามกลางจนถึงเบื้องต้น ในที่นี้ ความที่ปัจจยาการเป็นปฏิโลม โดยความอื่นจากนี้จึงไม่ถูก. อนึ่ง บทว่า ปฏิโลม เป็นการแสดงภาวนปุงสกลิงค์ เหมือนในประโยคว่า วิสมํ จนฺทิมสุริยา ปริวตฺตนฺติ พระจันทร์และพระอาทิตย์เวียนไปไม่สม่ำเสมอ. บทว่า อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ ความว่า เมื่อปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้ไม่มี คือ ถูกมรรคละเสียแล้ว ผลมีสังขารเป็นต้นนี้ก็ไม่มี คือ เป็นไปไม่ได้. บทว่า อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฺเฌติ ความว่า เพราะปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้ดับ คือ เพราะมรรคให้ถึงความเป็นธรรมชาติไม่เกิดขึ้นเป็นธรรม ผลมีสังขารเป็นต้นนี้จึงดับ คือ ไม่เป็นไป. แม้ในข้อนี้พึงทราบว่า ท่านแสดงลักษณะที่กำหนดลงในภายในมีอาทิว่า เมื่อปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้ไม่มี คือ มีไม่ได้ เพราะปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้ดับ คือ ไม่เกิด เหมือนอย่างที่ท่านแสดงลักษณะที่กำหนดลงในภายในมีอาทิว่า เมื่อปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้มี คือ ไม่มีก็หามิได้ เพราะปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้ยังเกิดขึ้น คือ ยังไม่ดับ เช่นในคำนี้ว่า เมื่อปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้มี ผลมีสังขารเป็นต้นนี้ก็มี เพราะปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นนี้เกิด ผลมีสังขารเป็นต้นนี้ก็เกิด. ในที่นี้ คำที่เหลือที่จะพึงกล่าว พึงทราบตามนัยที่กล่าวในอรรถกถาปฐมโพธิสูตร.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงประการที่พระองค์ทรงกระทำปฏิจจสมุปบาทโดยปฏิโลมไว้ในพระทัยดังพรรณนามาฉะนี้โดยสังเขปแล้ว บัดนี้ เพื่อจะแสดงโดยพิสดาร จึงตรัสคำมีอาทิว่า อวิชฺชานิโรธา สงฺขารนิโรโธ เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อวิชฺชานิโรธา ความว่า เพราะอวิชชา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 75
ดับเด็ดขาดโดยอริยมรรค อธิบายว่า เพราะอวิชชาถูกอรหัตตมรรคถอนขึ้นได้เด็ดขาด ด้วยการประหารอนุสัย. แม้ถ้าอวิชชาเมื่อถูกมรรคเบื้องต่ำละได้ ย่อมละได้เฉพาะด้วยอำนาจถอนขึ้นได้โดยส่วนเดียวก็จริง ถึงกระนั้นก็ละไม่ได้อย่างสิ้นเชิง. ก็อวิชชาที่นำสัตว์ไปสู่อบายถูกปฐมมรรคละได้ อนึ่ง อวิชชาอันเป็นปัจจัยให้เกิดในโลกนี้และในภูมิอันมิใช่ของพระอริยะทั้งหมด อันมรรคที่ ๒ และมรรคที่ ๓ ย่อมละได้ตามลำดับ ไม่ใช่ละกิเลสนอกนี้ได้. จริงอยู่ อวิชชานั้น อรหัตตมรรคเท่านั้นละได้เด็ดขาดแล. บทว่า สงฺขารนิโรโธ ความว่า ย่อมดับโดยสังขารไม่เกิดขึ้น. เพื่อแสดงว่า ก็เพราะสังขารดับไปอย่างนี้วิญญาณจึงดับ และเพราะวิญญาณเป็นต้นดับ นามรูปเป็นต้นก็ดับเหมือนกัน ท่านจึงกล่าวคำมีอาทิว่า เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ แล้วกล่าวว่า กองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมดับไปด้วยประการฉะนี้. ในคำเหล่านั้น คำที่ควรกล่าวมีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ.
อีกอย่างหนึ่ง ในที่นี้ เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ เพราะฉะนั้น จึงเป็นอันกล่าวกองทุกข์ทั้งมวลดับไปโดยสิ้นเชิงแม้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ก็จริง ถึงกระนั้น เพื่อแสดงเนื้อความนี้ในอนุโลมว่า ปัจจยุปปันนธรรมใดๆ ยังไม่ดับไป คือ ยังเป็นไปอยู่ เพราะปัจจัยธรรมใดๆ มี ท่านจึงกล่าวว่า อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขาราฯ เปฯ สมุทโย โหติ ดังนี้ ฉันใด เพื่อแสดงว่า ปัจจยุปปันนธรรมนั้นๆ ย่อมดับ คือ ไม่เป็นไป เพราะปัจจัยธรรมนั้นๆ ไม่มี โดยเป็นปฏิปักษ์ต่อปัจจยุปปันนธรรมนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในที่นี้ว่า อวิชฺชานิโรธา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อุทาน เล่ม ๑ ภาค ๓ - หน้า 76
สงฺขารนิโรโธ สงฺขารนิโรธา วิญฺญาณนิโรโธ วิญฺาณนิโรธา นามรูปนิโรโธ ฯเปฯ ทุกฺขกฺขนฺธสฺส นิโรโธ โหติ ดังนี้ ฉันนั้น. แต่ไม่ได้กล่าวเพื่อแสดงความดับกองทุกข์นับเนื่องในกาล ๓ เหมือนในอนุโลม. พึงทราบความแปลกกันแม้นี้ว่า จริงอยู่ เมื่อไม่มีอริยมรรคภาวนาแห่งกองทุกข์ที่เป็นอนาคต ท่านประสงค์เอาความดับกองทุกข์ที่ควรจะเกิดด้วยอริยมรรคภาวนา.
บทว่า เอตมตฺถํ วิทิตฺวา ความว่า รู้อรรถนี้ที่ท่านกล่าวว่า กองทุกข์มีสังขารเป็นต้น ย่อมดับด้วยอำนาจอวิชชาดับเป็นต้น โดยอาการทั้งปวง. บทว่า อิมํ อุทานํ อุทาเนสิ ความว่า ทรงเปล่งอุทานนี้อันแสดงอานุภาพแห่งการหยั่งรู้การสิ้นปัจจัยมีอวิชชาเป็นต้นที่ประกาศไว้อย่างนี้ว่า เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ในเมื่อรู้แจ้งอรรถนั้น.
ในข้อนั้น มีความสังเขปดังต่อไปนี้ เพราะเหตุที่พระองค์ทรงรู้ทั่วถึงแทงตลอดความสิ้นไป กล่าวคือ ความดับไม่เกิดขึ้นแห่งปัจจัยธรรมมีอวิชชาเป็นต้น ฉะนั้น โพธิปักขิยธรรมหรือจตุสัจธรรมมีประการดังกล่าวแล้ว ปรากฏเกิดขึ้นหรือแจ่มชัดแก่พราหมณ์นั้นผู้มีความเพียรเพ่งอยู่โดยนัยดังกล่าวแล้ว ทีนั้น ความสงสัยมีประเภทดังกล่าวแล้วในกาลก่อนพึงเกิดขึ้นเพราะไม่รู้แจ้งความดับปัจจัยโดยชอบทั้งหมดนั้นย่อมหายไป คือ ดับไปแล. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วในหนหลังนั่นแหละ
จบทุติยโพธิสูตรที่ ๒