ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย [3]
โดย วันชัย๒๕๐๔  17 ก.พ. 2555
หัวข้อหมายเลข 20572

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สืบเนื่องจากการที่ข้าพเจ้าได้มีโอกาสไปร่วมในการสนทนาธรรม ที่บ้านพี่แอ้น (คุณวิภาดา กัลยาณมิตร) ที่อำเภอหล่มสัก จังหวัดเพชรบูรณ์ เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๕ ที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากจะมีการสนทนาธรรมตามปรกติแล้ว ข้าพเจ้ายังได้มีโอกาสได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์ต่างๆ โดยใกล้ชิดกับท่านอาจารย์ด้วย ในภาพ เป็นกิจกรรมหนึ่งของท่านอาจารย์ที่เข้าครัว ทำเผือกทอดและเต้าหู้ทอด ตามคำกราบเรียนเชิญของพี่แอ้น ซึ่งได้เตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างไว้พร้อมแล้ว เพื่อเป็นของว่างให้กับทุกๆ ท่าน และ อีกวันหนึ่ง ท่านก็ได้กรุณาทำวาฟเฟิลร้อนๆ แจกแก่ทุกคน ด้วยมือของท่านเอง เป็นความประทับใจใหญ่หลวงสำหรับทุกคนในครั้งนั้น

เหตุการณ์ในครั้งนี้ นอกจากจะยังความประทับใจให้กับทุกคน ในความเมตตาของท่านอาจารย์ที่มีแก่ทุกคนโดยเสมอกันแล้ว ยังให้ได้เห็นถึงชีวิตที่ปรกติ และ ความเป็นปรกติในชีวิตประจำวันของทุกคน ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ทำการสิ่งใดก็ตาม สำหรับผู้มีปัญญา มีความเข้าใจธรรมะ ทุกขณะก็คือธรรมะทั้งสิ้น ไม่ปราศจากธรรมะแม้เพียงขณะเดียว ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะจากที่ไหนเลย ขณะที่ทำครัว ก็มีเห็น มีได้ยิน มีเย็น มีร้อน มีอ่อน มีแข็ง มีคิดนึก ปรากฏให้ได้พิจารณา ศึกษา สังเกตุ อยู่ตลอดเวลา

เมื่อทุกขณะนี้เป็นธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ สภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ นั่นเอง จึง เป็นที่ตั้งให้สติและปัญญาเกิดขึ้น ระลึกรู้ตามความเป็นจริงได้ ดังพระสูตรตัวอย่างต่อไปนี้ ที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ครับ

[เล่มที่ 54] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรีคาถา เล่ม ๒ ภาค ๔ - หน้าที่ ๘

"...คนทั้งหลายเรียกเธอว่า เถริกา เพราะมีรูปร่างล่ําสัน เธอเจริญ วัย บิดามารดาให้แก่ขัตติยกุมารผู้มีชาติเสมอกันโดยตระกูลและประเทศเป็นต้น เธอบูชาสามีเหมือนเทวดาอยู่ ได้ศรัทธาในพระศาสนา คราวพระศาสดาเสด็จกรุงเวสาลี ต่อมาเธอได้ฟังธรรมในสํานักของพระมหาปชาบดีโคตมีเถรี เกิดชอบใจบรรพชา บอกแก่สามีว่า จักบวช สามีไม่อนุญาต แต่เพราะเธอสร้างบุญบารมีมา เธอพิจารณาธรรมตามที่ได้ฟัง กําหนดรูปธรรมและอรูปธรรม ประกอบวิปัสสนาอยู่เนืองๆ .

อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อเธอหุงหาอาหารอยู่ในครัวใหญ่ เปลวไฟใหญ่ได้ตั้งขึ้น เปลวไฟนั้นทำให้ภาชนะที่สิ้นเกิดเสียงเปรี๊ยะๆ เธอเห็นดังนั้นจึงยึดข้อนั้นแหละเป็นอารมณ์ ใคร่ครวญความไม่เที่ยงที่ปรากฏขึ้นอย่างดียิ่ง จากนั้นได้ยกความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาขึ้นในครัวนั้น เจริญวิปัสสนา ขวนขวายโดยลำดับ ได้ดำรงอยู่ในอนาคามิผลตามลำดับแห่งมรรค...

สำหรับผู้ที่ศึกษาธรรม มีความเข้าใจธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงไว้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน กำลังทำสิ่งใด จะเป็นบุคคลใด เป็นพระราชา เป็นพ่อค้า เป็นหญิงรับใช้ เป็นชาวนา หรือ เป็นนักแสดง นักฟ้อนรำ ก็สามารถเข้าใจความจริง ของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นได้ ดังพระสูตรอีกสูตรหนึ่งที่จะขอเชิญมาดังนี้

[เล่มที่ 43] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท เล่ม ๑ ภาค ๒ ตอน ๔ หน้าที่ ๓๐๖

เรื่องบุตรเศรษฐีชื่ออุคคเสน

"...เชิญเถิด อุคคเสน บุตรคนฟ้อน ผู้มีกำลังมาก เชิญท่านจงดู, เชิญท่านทำความยินดีแก่บริษัทเถิด, เชิญท่านทำให้มหาชนร่าเริงเถิด."

เขาได้ยินถ้อยคำของพระเถระแล้ว เป็นผู้มีใจยินดี หวังว่า " พระศาสดามีพระประสงค์จะดูศิลปะของเรา " จึงยืนบนปลายไม้แป้นแล้วกล่าวคาถานี้ว่า :-

" เชิญเถิด ท่านโมคคัลลานะ ผู้มีปัญญามาก มีฤทธิ์มาก เชิญท่านจงดู, กระผมจะทำความยินดีแก่บริษัท, จะยังมหาชนให้ร่าเริง."

ก็แลครั้นกล่าวอย่างนั้นแล้ว ก็กระโดดจากปลายไม้แป้น ขึ้นสู่อากาศ หกคะเมน ๑๔ ครั้งในอากาศแล้ว ลงมายืนอยู่บนปลายไม้แป้น (ตามเดิม) .

ลำดับนั้น พระศาสดาตรัสกะเขาว่า " อุคคเสน ธรรมดาบัณฑิตต้องละความอาลัยรักใคร่ในขันธ์ทั้งหลาย ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบันเสียแล้ว พ้นจากทุกข์ทั้งหลายมีชาติเป็นต้นจึงควร ดังนี้แล้ว ตรัสพระคาถานี้ว่า:-

" ท่านจงเปลื้อง (อาลัย) ในก่อนเสีย จงเปลื้อง (อาลัย) ข้างหลังเสีย, จงเปลื้อง (อาลัย) ในท่ามกลางเสีย, จึงเป็นผู้ถึงฝั่งแห่งภพ มีใจหลุดพ้นในธรรมทั้งปวง จะไม่เข้าถึงชาติและชราอีก."

ในกาลจบเทศนา การตรัสรู้ธรรมได้มีแก่สัตว์ทั้ง ๘๔,๐๐๐ แล้ว. อุคคเสนทูลขอบรรพชาอุปสมบท

ฝ่ายบุตรเศรษฐี กำลังยืนอยู่บนปลายไม้แป้น บรรลุพระอรหัตพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาแล้ว ลงจากไม้แป้นมาสู่ที่ใกล้พระศาสดา ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์ ทูลขอบรรพชากะพระศาสดา. ลำดับนั้น พระศาสดาทรงเหยียดพระหัตถ์เบื้องขวา ตรัสกะนายอุคคเสนนั้นว่า " ท่าน จงเป็นภิกษุมาเถิด."

อุคคเสนนั้นได้เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งบริขาร ๘ ประหนึ่งพระเถระมีพรรษาตั้ง ๖๐ ในขณะนั้นนั่นเอง.

(ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณคำปั่น อักษรวิลัย ที่ได้กรุณาค้นพระสูตร และ ให้คำอธิบายเพื่อนำมาประกอบกระทู้นี้ด้วยครับ)

ทุกๆ ท่านที่ได้พากเพียร อบรมเจริญปัญญาตามแนวทางที่ท่านอาจารย์บรรยายไว้ ย่อมทราบดีว่าสิ่งที่เป็นหัวใจประการหนึ่งของปุถุชน ที่แสวงหาความรู้ถูก ความเข้าใจถูก ในพระธรรมคำสอน เพื่อการอบรมเจริญปัญญาในหนทางที่ถูกต้องนั้น ย่อมเป็นการอบรมที่เป็นปรกติ ในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่การไปทำสิ่งใดที่ผิดปรกติขึ้นมา เมื่อได้ฟังธรรมจนมีความเข้าใจที่มั่นคงขึ้น ย่อมเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้สติและปัญญาเกิดขึ้นระลึกรู้และเข้าใจความจริง ของสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังปรากฏ ในทุกๆ ขณะนี้เอง ไม่ใช่ขณะอื่นเลย ไม่ใช่ขณะที่ล่วงไปแล้ว หรือ ขณะที่ยังไม่มาถึง เป็นปรกติ เป็นธรรมดาอย่างนี้

"ปัญญา" เท่านั้น ที่จะนำพาทุกคน ให้ถึงความเป็นพระอรหันต์

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ


ความคิดเห็น 1    โดย Noparat  วันที่ 17 ก.พ. 2555

"ปัญญา" เท่านั้น ที่จะนำพาทุกคน ให้ถึงความเป็นพระอรหันต์

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลจิตและกุศลศรัทธาของคุณวันชัย ภู่งาม ด้วยค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย pat_jesty  วันที่ 17 ก.พ. 2555

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาคุณวันชัยและทุกๆ ท่านค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย เมตตา  วันที่ 17 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สำหรับผู้มีปัญญา มีความเข้าใจธรรมะ ทุกขณะก็คือธรรมะทั้งสิ้น ไม่ปราศจากธรรมะ แม้เพียงขณะเดียว ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมะจากที่ไหนเลย ขณะที่ทำครัว ก็มีเห็น มีได้ยิน มีเย็น มีร้อน มีอ่อน มีแข็ง มีคิดนึก ปรากฏให้ได้พิจารณา ศึกษา สังเกต อยู่ตลอดเวลา

ท่านอาจารย์จึงเมตตาเพียรสอนให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ถ้าไม่ปรากฏก็ไม่สามารถ รู้ได้ สิ่งที่กำลังปรากฏจึงเป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง เพราะมีจริงๆ เป็นธรรมะ ไม่ต้องไปแสวง หาที่ไหน จึงต้องฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏ ความเข้าใจคือ ปัญญา ถ้าไปนั่งสมาธิ ไปนั่งหลับตา แล้วจะเข้าใจสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏได้อย่างไร


ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ซาบซึ้งในหทัย ของข้าพเจ้า เช่นเดียวกับคุณวันชัย เมื่อปลายปี ที่แล้วพี่สาวและน้องสาวรวมทั้งข้าพเจ้าได้มีโอกาสกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปพัก ผ่อนที่หัวหิน และท่านอาจารย์ได้กรุณาสนทนาธรรมเพื่อความเข้าใจธรรมกันทั้งเช้า สาย บ่าย เย็น ท่านไม่เคยเหน็ดเหนื่อย มีแต่ความเมตตาที่จะสนทนาธรรมให้ทุกๆ ท่านเกิดความเข้าใจธรรม สิ่งที่ซาบซึ้งในหทัยของข้าพเจ้า ก็มาถึง มีอยู่ช่วงหนึ่ง หล้งทานข้าวเสร็จแล้ว ข้าพเจ้าก็มีหน้าที่เก็บโต๊ะอาหาร และทำความสะอาดที่ปูจาน ทันใดนั้น ท่านอาจารย์ได้มาช่วยข้าพเจ้าเก็บที่ปูจานและที่ข้าพเจ้าทำความสะอาด และผึ่งให้แห้ง ถึงแม้ว่า ข้าพเจ้ากราบเรียนท่านว่า หนูทำเองค่ะท่านอาจารย์ แต่ ท่านก็ได้ตอบว่าอะไร ... ข้าพเจ้าจำไม่ได้เพราะตื่นเต้น และซาบซึ้งใจเหลือเกิน ท่านก็ได้ช่วยข้าพเจ้าจนเสร็จ

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ที่เคารพรักอย่างยิ่ง

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัยอย่างยิ่งค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย daris  วันที่ 17 ก.พ. 2555

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาที่กรุณาแบ่งปันเรื่องราวดีๆ ครับ

ขอกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง


ความคิดเห็น 5    โดย khampan.a  วันที่ 17 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านด้วยครับ


ความคิดเห็น 6    โดย kinder  วันที่ 18 ก.พ. 2555
ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ

ความคิดเห็น 7    โดย nong  วันที่ 18 ก.พ. 2555

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 8    โดย เซจาน้อย  วันที่ 18 ก.พ. 2555

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านด้วยครับ


ความคิดเห็น 9    โดย raynu.p  วันที่ 18 ก.พ. 2555

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย chaweewanksyt  วันที่ 18 ก.พ. 2555

กราบอนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 11    โดย jaturong  วันที่ 20 ก.พ. 2555

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย orawan.c  วันที่ 1 ส.ค. 2556

ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 13    โดย Patikul  วันที่ 25 ก.ย. 2556
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 14    โดย swanjariya  วันที่ 12 ธ.ค. 2564

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลทุกประการค่ะคุณวันชัย


ความคิดเห็น 15    โดย chatchai.k  วันที่ 13 ธ.ค. 2564

กราบอนุโมทนาครับ