ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จากการเดินทางไปสักการะสถานที่สำคัญๆ ในทางพระพุทธศาสนาของประเทศศรีลังกา ในตอนที่แล้ว ของวันที่ ๑๘ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘ คือ ในช่วงเช้า เดินทางไปยังมหินตาเล พระเจดีย์ถูปาราม และ ในตอนบ่าย ได้นำเสนอกิจกรรมจบลงที่ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ตามกระทู้ ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ศรีลังกาและอินเดีย ๑๖ - ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๘ [ ตอนที่ ๓ มหินตาเล-อนุราธปุระ ]
จากนั้นท่านอาจารย์และคณะฯทั้งหมดก็ขึ้นรถ เพื่อเดินทางไปยังพระมหาเจดีย์รุวันเวลิสยะ เป็นที่สุดท้ายสำหรับวันนี้ แต่เมื่อขบวนรถวิ่งไปสักพัก กลับแวะจอดข้างทาง เมื่อสอบถามกันในรถ ก็มีใครสักคนพูดว่า รถคันของท่านอาจารย์จะไปที่พระมหาเจดีย์ แต่รถคันอื่นๆ เขาจะพาไปชมพิพิธภัณฑ์ก่อน เมื่อได้ยินดังนั้น คุณแอ๊ว (นภา จันทรางศุ) ก็ออกอาการกังวลว่า พี่แก้วตา อเนกพุฒิ ได้ฝากฟองน้ำรองนั่งและสิ่งของอื่นๆ สำหรับท่านอาจารย์ไว้ และควรที่จะนำไปให้ทันสำหรับรับรองท่านอาจารย์ เราหลายคนก็ไม่อยากไปพิพิธภัณฑ์ จึงมีคณะหน่วยกล้าตาย (หรือจะเป็นกระต่ายตื่นตูม?...) ซึ่งนำโดยคุณวรรณี คุณแอ๊ว คุณขจีรัตน์ แก้วทานัง คุณสมบูรณ์ และน้องป๊อบ พร้อมใจกันลงจากรถ โดยไม่ฟังคำทัดทานจากไกด์ประจำรถ เพราะกลัวว่าจะพาเราไปพิพิธภัณฑ์ ซึ่งอาจไกลเกินกว่าที่จะเดินไปพระมหาเจดีย์ได้ ซึ่งคุณวรรณีและคุณแอ๊วบอกว่า พระมหาเจดีย์อยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง
และแล้ว หน่วยกระต่าย (หน่วยกล้าตาย) ของพวกเราก็รีบลงจากรถ หอบข้าวของกันพะรุงพะรัง กึ่งเดินกึ่งวิ่ง เห็นพระมหาเจดีย์อยู่ไม่ไกลเลย แต่พื้นที่ดูกว้างใหญ่มาก และทางเข้าก็อยู่อีกด้านหนึ่งไกลออกไป ขณะที่กำลังเร่งเดินกันอย่างใจจดใจจ่อ เพราะกลัวจะไม่ทันรถของท่านอาจารย์ที่อาจล่วงหน้าไปแล้ว พลันสายตาของทุกคนก็เหลือบไปเห็นขบวนรถทุกคัน บ่ายหน้าไปสู่ทางเข้าพระมหาเจดีย์ทางด้านโน้นแล้ว พวกเราจึงรีบวิ่งกันสุดชีวิต เมื่อใกล้ถึง ก็เห็นสหายธรรมพากันร้องเรียกว่า โน่นๆ มากันแล้วๆ (ฮาาา) ทันการถ่ายภาพหมู่เก็บไว้เป็นที่ระลึกพอดี ก่อนที่ทั้งหมดจะตั้งขบวนแห่ผ้าห่มเข้าสู่ลานพระมหาเจดีย์
นอกจากจะได้ถวายผ้าห่มองค์พระมหาเจดีย์แล้ว คณะของเรายังได้ร่วมกันวางดอกบัวจำนวนหลายพันดอก ซึ่งแต่เดิมในคราวก่อนๆ ที่มาสักการะพระมหาเจดีย์แห่งนี้ ทุกคนได้ร่วมกันพับดอกบัวซึ่งเป็นกิจกรรมหนึ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่ง แต่เนื่องจากต้องใช้เวลามาก และ ต้องเดินทางมาก่อนในเวลาบ่าย และที่ลานพระมหาเจดีย์แห่งนี้ก็ปูพื้นด้วยหินแกรนิต ซึ่งยังไม่คลายจากความร้อนที่สะสมอยู่ การเดินไปมาบนลานหินที่ร้อนระอุนานๆ ทำให้เท้าของหลายคนระบมมาก รวมถึงข้าพเจ้าด้วยที่ได้มาเมื่อครั้งที่แล้ว ผู้จัดจึงได้สั่งให้ผู้ขาย เตรียมพับดอกบัวไว้ให้เป็นที่เรียบร้อยก่อนเลย อนึ่ง ขอเพิ่มเติมว่า ขณะที่ท่านอาจารย์และคณะฯได้ทำการเวียนประทักษิณรอบต้นพระศรีมหาโพธ์ก่อนหน้าที่จะเดินทางมาที่นี่ ได้มีฝนตกปรอยๆ ลงมา และหยุดตกก่อนที่คณะของท่านอาจารย์จะเดินทางมาถึง ทำให้ลานหินแกรนิตที่ร้อนระอุนั้นคลายลงแทบไม่เหลือความร้อนเลยครับ และเมื่อพวกเราเดินทางมาถึงและทำการประทักษิณรอบพระมหาเจดีย์แล้ว ก็ร่วมกันเรียงรายดอกบัวรอบฐานพระมหาเจดีย์ เพื่อน้อมบูชาในพระปัญญาคุณ พระมหากรุณาคุณและพระบริสุทธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งยิ่งใหญ่หาประมาณมิได้ในตลอดสากลจักรวาล ขอเชิญทุกท่านชมภาพอันน่าปีตินั้น พร้อมๆ กับข้อความการสนทนาธรรม ในช่วงเช้าของวันถัดมา (๑๙ ตุลาคม พุทธศักราช ๒๕๕๘) ณ โรงแรม Aliya Resort เมืองฮาบารานา เพื่อร่วมรำลึกในขณะอันยิ่งของกุศลกรรมอันทุกบุคคลได้ร่วมกันถวายแล้ว แทบพระบาทพระศาสดา พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ทรงคุณอันประเสริฐยิ่งพระองค์นั้น ณ พระมหาเจดีย์รุวันเวลิสยะอันยิ่งใหญ่โอฬาร
ท่านอาจารย์ ค่ะ ก็คงพร้อมแล้ว ที่จะได้บูชาคุณของพระรัตนตรัย ด้วยการฟังธรรมะ เมื่อวานนี้ (วันที่ ๑๘ ตุลาคม ณ พระมหาเจดีย์รุวันเวลิสยะ ที่นำภาพและเรื่องมาประกอบธรรมะ ในตอนนี้) เราก็มีการบูชาใหญ่เท่าที่เราจะทำได้ เพื่อที่จะระลึกถึงดินแดนแห่งนี้ ซึ่งสืบทอดพระธรรมโดยตรงจากประเทศอินเดีย ในครั้งนั้นก็ชื่อว่าชมพูทวีป ซึ่งไม่ได้หมายเฉพาะประเทศอินเดียเท่านั้น แต่เป็นที่ๆ เหมาะแก่การที่จะได้ตรัสรู้ หลังจากที่พระพุทธเจ้าถึง ๓ พระองค์ ได้ตรัสรู้มาก่อน พระองค์นี้ก็เป็นพระองค์ที่ ๔ ซึ่งจะเหลืออีกพระองค์เดียว คือ พระศรีอริยเมตไตรย จะคอยหรือ ไม่คอย?
แต่ว่า (ถึงคิดว่าจะคอย) ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย (ก็) ไม่มีทาง!!! เหมือนกับที่ได้มีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ได้ตรัสรู้แล้ว มากมาย หลายพระองค์ แต่ก็ คอยมาก่อนหรือเปล่า? หรือ ไม่เคยคอยเลย หรือ ไม่เคยฟังธรรมะเลย!!! แล้วก็ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย ได้ยินแต่พระนามว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คำนี้ไม่ใช่สำหรับเพียงให้จำได้!!! กราบไหว้ บูชา แต่ไม่เข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น โอกาสซึ่งทุกคน ไม่มีใครรู้ล่วงหน้าเลย ว่าจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ เพราะฉะนั้น เป็นผู้ที่ไม่ประมาท เพราะว่า ก่อนที่จะปรินิพพาน พระองค์ก็ได้ตรัสไว้ว่า "จงยังความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม" ความไม่ประมาทให้ถึงพร้อม คือ ทุกขณะ แม้แต่ในขณะที่กำลังฟังธรรม ถ้าฟังด้วยความเข้าใจ ด้วยการเห็นพระคุณที่สามารถที่จะทำให้เกิดความเห็นถูก ความเข้าใจถูก ในสิ่งที่มี ตั้งแต่เกิดจนตาย แม้ว่าจะเล็กน้อยสักเท่าไหร่ก็ตาม แต่ก็เป็นความเห็นถูกที่มั่นคง ที่จะทำให้ไม่ไปในทางที่ผิด และเป็นการที่จะได้เห็นพระปัญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เพราะเหตุว่า ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่มีทางที่จะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะเหตุว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่รูปที่เรากราบไหว้ ไม่เหมือนเลย!!! ด้วยประการใดๆ ทั้งสิ้น!!! ทั้งพระรูปกาย และ ปัญญาของคนที่เข้าใจว่ามีก่อนที่จะได้ฟังพระธรรม จะรู้ได้เลยว่า เป็นผู้เขลา เป็นผู้ไม่ฉลาด เป็นผู้ที่สะสมมา ไม่เห็นคุณค่าของการที่จะได้เข้าใจ แม้แต่เพียง "หนึ่งคำ" ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เช่นคำว่า "ธรรมะ"
ขณะใดก็ตาม ที่มีการเข้าใจถูกว่า ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง แค่นี้ ปัญญาของใคร สามารถที่จะสามารถค้นคว้า ไตร่ตรอง ด้วยตัวเอง จนกระทั่งรู้ได้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่มีจริง และ ความจริงของสิ่งที่มีจริง คือ อะไร?
เพราะฉะนั้น ประมาทธรรมะเพียงหนึ่งคำก็ไม่ได้!! และ เมื่อมีความเข้าใจแล้ว เห็นพระคุณ ทันที!!! ถ้าไม่มีการทรงแสดงพระธรรมจากการที่ได้ทรงตรัสรู้ ใครจะมีโอกาสได้เข้าใจ ความหมายของคำว่า "ธรรมะ" ในภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษามคธี
เพราะเหตุว่า ธรรมะ หมายความถึง สิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม ต้องไตร่ตรอง แล้วก็ตรง ต่อคำที่ได้ฟัง ต้องเป็นสัจจบารมี เมื่อได้ฟังแล้วก็ตรงต่อความจริง เพื่อที่จะได้มีบารมีอื่นต่อไป เพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีวิริยะบารมี ฟังเพื่อเพียรที่จะสามารถไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามแต่ มีโอกาสที่จะได้ฟังอีก
เพราะเหตุว่า การได้ฟังพระธรรมแต่ละครั้ง ไม่ใช่บังเอิญ!! ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ใครก็จะมาได้ฟังธรรมะ!! แต่พระผู้มีพระภาคฯทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี พร้อมทั้งเหตุปัจจัยที่จะทำให้สิ่งนั้นเกิดมีขึ้นด้วย ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ ก็เหมือนคนที่ไม่รู้อะไรเลย บังเอิญบ้าง โชคดีบ้าง อะไรบ้าง แล้วก็เข้าใจว่าถูกต้อง แต่ความจริง แม้แต่ "หนึ่ง" ที่ปรากฏ ก็ต้องมีเหตุปัจจัยที่สมควร ที่จะให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ไม่มีคำว่า "บังเอิญ"
เมื่อได้ฟังพระธรรมแล้วก็จะรู้ว่า "เป็นคนไม่รู้" มานานแสนนาน จนกว่าจะมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ด้วยความไม่ประมาทในพระปัญญาคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราเป็นใคร? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นใคร? แค่นี้ก็รู้แล้ว ห่างไกลกัน เกินฟ้ากับดิน ซึ่งแสนไกล ฝั่งนี้ กับ ฝั่งโน้นของมหาสมุทร
การฟังพระธรรม เพื่อประโยชน์ของตนเอง!!! ซึ่งไม่มีโอกาสที่จะได้เป็นผู้ที่ฉลาด หรือเป็นผู้มีปัญญา ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม!!
เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า จากการที่ได้ยิน ได้ฟังธรรมะ ประโยชน์สูงสุดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมี เพื่อให้แต่ละคนที่ได้ยินได้ฟัง พิจารณาไตร่ตรอง แล้วก็มีความเข้าใจของตนเอง ถ้าฟังแล้วจำ สวดมนต์เก่ง ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่มีประโยชน์ เพราะเหตุว่า ไม่ใช่พุทธประสงค์ ที่ทรงบำเพ็ญพระบารมีโดยความเป็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งบำเพ็ญบารมีไม่ใช่เพียงถึงความเป็นสาวก หรือถึงความเป็นปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งตรัสรู้ด้วยตัวเอง แต่ว่าไม่ได้สามารถที่จะทำให้คนอื่น ถึงการที่จะรู้แจ้งธรรมะตามความเป็นจริงได้ เพราะเหตุว่า พระธรรม ลึกซึ้งอย่างยิ่ง
และพระธรรมที่ลึกซึ้งก็คือ แต่ละคำ ที่จะได้ยินเรื่อยๆ ไป ตั้งแต่คำแรกที่ได้ฟัง แล้วก็ไม่ละเลย ไม่ประมาท เพราะสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เคยเข้าใจว่าเป็นของเรา แม้แต่ร่างกาย ตั้งแต่ศีรษะ จรดเท้า วงศาคณาญาติ ทรัพย์สินเงินทอง ไม่ใช่ของเรา เพราะเหตุว่า เกิดคนเดียว แล้วก็ตายคนเดียว แล้วก็อยู่ในโลกทุกวันนี้ เห็นคนเดียว ได้ยินคนเดียว ได้กลิ่นคนเดียว ลิ้มรสคนเดียว รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสคนเดียว คิดนึกคนเดียว เพราะฉะนั้น แต่ละคน แต่ละใจ ขณะนี้ กำลัง "คิดนึก" ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ความคิดของใครได้
เพราะฉะนั้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมะ สิ่งที่มีจริง ไม่ลืมเลย ต้องมั่นคงว่า ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง ถ้าไม่ใช่สิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ ก็เป็นแต่เพียงสิ่งที่ "เราคิด" มีหรือไม่มีก็ไม่รู้ ใช่ไหม? แต่ว่า เวลาที่รู้ว่าสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้มี สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น การศึกษาพระธรรมที่จะให้เข้าใจคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องไม่ลืมว่า ทุกคำ กำลังมี!!! และสามารถที่จะเข้าใจในพระธรรมที่ทรงแสดง ว่า เป็นสิ่งที่มีจริง ซึ่งต้องเกิดขึ้น ถ้าไม่เกิด ก็ไม่มี เมื่อเกิดแล้ว ต้องดับไป สังขารทั้งหลาย มีความเสื่อมไป เป็น "ธรรมดา" ธรรมะ สิ่งที่มีจริง ภาษาบาลีไม่ใช้ ด เด็ก ก็ใช้ ต เต่า ธรรมะ กับ ตา ความเป็นไปของธรรมะ แต่ละหนึ่ง แต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่มีใครสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้เลย
"ทุกคำ" ที่ได้ฟัง ไตร่ตรอง มีใครสามารถที่จะทำให้ธรรมะหนึ่งธรรมะใดเกิดได้ไหม? สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะของธรรมะนั้น ได้ไหม? เพราะ แม้แต่บอกว่า ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้ ยังไม่รู้เลย!!! ถ้าถามคนที่ไม่เคยฟังธรรมะเลย เดี๋ยวนี้ อะไรมีจริงๆ ? ตอบไม่ถูก!! เขาจะตอบว่า มีโต๊ะ มีเก้าอี้ มีห้องนี้ มีไฟฟ้า มีคน แต่ไม่ได้ใช้คำว่า "ธรรมะ" คือ สิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ซึ่งจะเป็นใครไม่ได้ จะเป็นโต๊ะ เป็นเก้าอี้ เป็นไฟฟ้า เป็นห้อง เป็นคน ไม่ได้เลย เพราะเหตุว่า ธรรมะ คือ สิ่งที่มี เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แต่ละหนึ่ง ดับเร็วสุดที่จะประมาณได้
นี่คือ พระปัญญาคุณ ที่ได้ทรงบำเพ็ญพระบารมี ว่าเดี๋ยวนี้ กำลังมีสิ่งซึ่งเกิดเพราะเหตุปัจจัย แต่เกิดดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ เหมือนมายากล ที่เล่นกลเก่ง แต่ก็ไม่มีใครเทียบได้กับการที่จะรู้ว่า แท้ที่จริง เก่งกว่านั้นก็คือว่า ไม่มีแม้ในมายากลและกลที่กำลังแสดงให้เราเห็นว่าเป็นสิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นภาพลวง ฉันใด สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ก็เป็นภาพลวง ฉันนั้น!!!
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ จึงต้องฟัง "ทีละคำ" ให้เข้าใจจริงๆ แล้วก็ลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจได้!!! แต่สัจจะบารมี สำหรับคนที่เห็นประโยชน์ว่า เข้าใจความจริงนี้ได้เมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าพระองค์ได้ทรงตรัสรู้ความจริงนี้
เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่จะต้องอดทน ขันติบารมี นอกจากความจริงใจที่มั่นคง ก็ยังต้องมี ขันติ ความอดทน ด้วย ว่าถ้าเราไม่อดทน ธรรมะยากเกินไป ไปแสวงหาวิธีง่ายๆ ที่จะให้รู้ธรรมะ ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมียิ่งด้วยปัญญา ถึงสี่อสงไขยแสนกัป ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ที่ยิ่งด้วยศรัทธา แปดอสงไขยแสนกัป ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ ที่ยิ่งด้วยวิริยะ สิบหกอสงไขยแสนกัป แล้วแต่ว่า ใครจะได้ฟังธรรมะจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ใด ซึ่งในยุคนี้ เราก็ได้ฟังคำ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งบำเพ็ญพระบารมี ยิ่งด้วยปัญญา สี่อสงไขยแสนกัป
แล้วเราเป็นใคร? แล้วเราจะไปตามคำของใคร? ที่ไม่ทำให้เราเข้าใจสิ่งที่มีจริงเลย แต่ว่า คิดว่า มีวิธีที่จะทำให้ประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมะ ที่ฟังเผิน เพราะว่าเข้าใจว่า เดี๋ยวนี้ สภาพธรรมะมี ก็ยังไม่ละเอียดพอ แต่ว่า พยายามที่จะไปประจักษ์การเกิดดับ ทุกขอริยสัจจะ ก็ได้ยินเพียงชื่อเผินๆ เพราะฉะนั้น การฟังพระธรรม สำหรับคนที่ ไม่ได้สะสมบุญไว้แต่ปางก่อน ไม่ได้ตั้งจิตไว้ชอบ ที่จะรู้ว่า ธรรมะเป็นสิ่งที่ลึกซึ้ง แล้วก็เป็นผู้ที่รู้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่ต้องไปอาศัยปัญญาของใครเลย แม้ปัญญาของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอรหันต์ พระอนาคามีบุคคล พระสกทาคามีบุคคล พระโสดาบันบุคคล ซึ่งเป็นพระอริยบุคคล จากปุถุชนซึ่งหนาแน่นด้วยกิเลส สามารถที่จะถึงการรู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริง ตามที่ได้ฟัง จนกระทั่งสามารถที่จะดับกิเลส เป็นพระอริยบุคคลได้
แต่ไม่ใช่ด้วยความไม่รู้ ไม่ใช่ด้วยความไม่เข้าใจ ไม่ใช่ด้วยการเชื่อคำของ "คนอื่น" แล้วก็ประพฤติปฏิบัติตาม ผู้นั้นไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
เพราะฉะนั้น การที่จะกล่าวว่า เป็นผู้ที่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง มั่นคงก็คือว่า ได้ฟังธรรมะแล้วเข้าใจ เข้าใจที่จะฟังคำของใครก็ไม่รู้ แต่ไม่ทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ ด้วยเหตุนี้ คำจริงทั้งหมด ไม่ว่าใครจะกล่าว พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสาวกในครั้งนั้น หรือคำใดๆ ก็ตามที่สืบทอดมาเป็นคำจริง คำจริงทั้งหมด เป็นวาจาของพระองค์ ใช้คำว่า วาจาสัจจะ วาจา คำ ที่พูดถึงสิ่งที่มีจริง เพื่อให้เข้าใจความจริง เป็นมรดกล้ำค่า ที่ได้จากการฟังพระธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่า สิ่งอื่นไม่สามารถที่จะติดตามไป ทรัพย์สมบัติ ผู้เป็นที่รักอย่างยิ่ง เกียรติยศ ชื่อเสียงใดๆ ทั้งสิ้น ไม่มีทางที่จะติดตามไปได้เลย
แต่การสะสมกุศล แม้เพียงเล็กน้อย ก็สะสมอยู่ในจิต อกุศล ที่เกิด พ้นไปไม่ได้ ยกไปให้ใครไม่ได้ อุทิศให้ใครก็ไม่ได้ แต่ก็สะสมอยู่ในจิต ซึ่งใครจะรู้ ว่าแต่ละคน มาจากไหน? มาจากเทวโลกก็ได้ มาจากนรกก็ได้ มาจากการเป็นสัตว์เดรัจฉานก็ได้ แต่เพราะบุญที่ได้กระทำไว้แต่ปางก่อน ทำให้มีโอกาสได้ฟังพระธรรม!!!
เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุดสำหรับชีวิตทุกครั้ง ที่มีการเข้าใจพระธรรม ด้วยความไม่ประมาท!!
เราก็พูดหลายครั้งแล้วว่า ธรรมะ หมายความถึง สิ่งที่มีจริง ภาษาไทยเราก็ใช้คำนี้ แต่ว่าจะใช้คำไหนก็ได้ ชาติไหน พูดภาษาอะไร อีกชาติหนึ่งพูดภาษาอะไรก็ตามแต่ แต่ความเข้าใจมี และสิ่งที่มีจริงๆ มี เช่น "เห็น" กำลังมี ถ้า "เห็น" ไม่เกิด ไม่เห็น ใครจะคัดค้านบ้าง?
เริ่มเห็นความเป็นอนัตตา ว่า อยากเท่าไหร่ ปรารถนาเท่าไหร่ สิ่งใดๆ ก็ตาม ไม่สามารถที่จะเกิดตามความปรารถนา แต่ต้องมีเหตุที่จะให้เป็นอย่างนั้น แค่นี้ก็พอจะเบาใจไหม? ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น รู้ว่า ไม่มีใครทำให้เลย ทำเองมาแล้วแต่ปางก่อน เพราะฉะนั้น จะเกิดเป็นใคร ชาติไหน อย่างไร ก็เพราะเหตุว่า ตามเหตุที่ได้กระทำแล้ว
เพราะฉะนั้น การศึกษาธรรมะ ไม่มีโทษใดๆ เลยทั้งสิ้น มีแต่คุณ ที่จะทำให้รู้ว่า สิ่งใดมีค่าที่สุด ประเสริฐที่สุดในชีวิต
แต่ว่า การที่จะรู้กิเลสของตัวเอง ใครจะรู้ได้ ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม ทุกคนนั่งอยู่ที่นี่ มีกิเลส มากน้อย ถ้าไม่เกิดขึ้น ไม่รู้!!! เหมือนกับภูเขาน้ำแข็งที่อยู่ใต้มหาสมุทร โผล่มาให้เห็นนิดเดียว อกุศลใดๆ ก็ตามที่ใครทำ ส่วนลึกกว่านั้น มากกว่านั้นอีก!!! หรือว่า สิ่งที่ดีก็ตามแต่ ใครจะรู้ นอกจากตนเอง แม้แต่ผู้ที่เสียสละ อย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นต้น ผู้รู้คือผู้นั้นเองที่เสียสละ คนอื่นจะรู้ไหม? ว่าการกระทำใดๆ ที่เป็นสิ่งที่ดีงาม ที่เป็นประโยชน์แก่คนอื่น เกิดจากอะไร
เพราะฉะนั้น พระธรรมที่ทรงแสดงทั้งหมด พระไตรปิฎกทั้ง ๓ ปิฎก ถ้าได้อ่านเอง ไพเราะอย่างยิ่ง คำพูดที่กล่าวถึงเรื่องต่างๆ ของบุคคลในครั้งนั้น แต่ว่า พระไตรปิฎก ไม่ใช่สำหรับอ่านด้วยความไม่รู้ ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็คือว่า ไม่ได้เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ว่า ทุกคำ ต้องสอดคล้องกัน ไม่ว่าพระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และ พระอภิธรรมปิฎก พูดถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด โดยนัยหลากหลาย เช่น โดยนัยขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต ซึ่งต่างกับคฤหัสถ์ ก็ทรงมีพระพุทธบัญญัติแสดงไว้ เป็นเรื่องที่ละเอียดมาก แต่ก็ไม่พ้นจากความจริง คือ สิ่งที่มีจริงในชีวิต คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ กุศล และ อกุศล
สำหรับ "พระอภิธรรมปิฎก" กล่าวถึงสิ่งที่กำลังมี ให้ค่อยๆ เข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคลใดๆ ทั้งสิ้น เมื่อเข้าใจพระธรรม ซึ่งไม่มีใครเปลี่ยนแปลงได้ ใช้คำว่า ปรม ยิ่งใหญ่ ใครจะยิ่งใหญ่กว่าธรรมะ เพราะฉะนั้น ธรรมะที่มีจริงทั้งหมด เป็นธรรมะที่ยิ่งใหญ่ เป็นปรมัตถธรรม และ เพราะความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมะแต่ละหนึ่งเดี๋ยวนี้ ซึ่งกำลังเกิดดับสืบต่ออย่างเร็วมาก จึงใช้คำว่า อภิธรรม-ยิ่งใหญ่ ลึกซึ้งที่สุด ซึ่งใครก็ตาม ถ้าจะอ่านพระไตรปิฎกโดยความไม่รู้ เข้าใจผิด!!!
เพราะฉะนั้น แต่ละคนก็อ้างคำในพระไตรปิฎก แต่ความเข้าใจความจริงของแต่ละคำนั้น ถูกต้องหรือเปล่า? มีหรือเปล่า? ถ้าไม่มีเลย ก็กล่าวตู่พระพุทธพจน์ โดยไม่รู้ตัวเลย!!! ว่าแท้ที่จริง คำพูดที่พูดนั้น ค้านกับความจริง ซึ่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้แล้ว
(ท่านอาจารย์และคณะฯ เดินทางต่อไปยังวัดมหาวิหาร ตามที่พระภิกษุที่อาวาสนี้ เชิญให้ทางคณะฯเดินทางไปสักการะพระบรมสารีริกธาตุที่นี่ ซึ่งวัดมหาวิหารนี้ ในอดีตเมื่อ พ.ศ. 956 พระพุทธโฆษาจารย์ เดินทางจากอินเดียมายังศรีลังกา และพักจำพรรษาที่วัดนี้ เพื่อปริวรรตคัมภีร์อรรถกถาพระไตรปิฏกภาษาสิงหลเป็นภาษามคธ (บาลี) เพื่อนำกลับไปยังชมพูทวีป)
เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นผู้ที่ตรงต่อความลึกซึ้งของธรรมะ จึงศึกษาและฟังพระธรรม ด้วยความเคารพยิ่ง และต้องสอดคล้องกัน เพราะเหตุว่า พระสูตรก็กล่าวถึงบุคคลต่างๆ ในครั้งโน้น แต่ถ้าไม่มีธรรมะซึ่งเป็นอภิธรรมะ ที่เป็นปรมัตถธรรมะ อย่างเดี๋ยวนี้เลย เห็น,ได้ยิน พวกนี้ เป็นธรรมะ เป็นปรมัตถธรรม ใครก็เปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้ เป็นอภิธรรมะ ใครจะรู้สิ่งที่กำลังเกิดดับในขณะนี้ จนสามารถตรงตามคำที่ได้ยินว่า ธรรมะทั้งหลายเป็นอนัตตา ไม่ใช่ใคร ไม่ใช่อะไรที่เข้าใจว่าเที่ยง ยั่งยืน สักอย่างเดียว แต่เป็นสิ่งที่มีจริง แต่ละหนึ่ง ไม่ปะปนกันเลย คิดดู
ขณะนี้ ตามี หูมี เห็นมี ได้ยินมี คิดนึกมี แยกไม่ออก แต่ว่า ธรรมะไม่ปะปนกันเลย เมื่อกล่าวถึงธรรมะใด ก็คือ ธรรมะแต่ละหนึ่ง เมื่อเข้าใจแล้วก็คือว่า ไม่ใช่เราแน่นอน!!! จะเป็นใครก็ไม่ได้สักอย่างเดียว แต่เป็นธรรมะนั้นๆ เช่น "แข็ง" เป็นโต๊ะหรือเก้าอี้? "แข็ง" เป็นโต๊ะไม่ได้ เป็นเก้าอี้ไม่ได้ เป็นแก้วน้ำไม่ได้ "แข็ง" เป็น "แข็ง" นั่นคือ หนึ่ง ของธรรมะ ซึ่งไม่ใช่อย่างอื่นเลย
ด้วยเหตุนี้ ธรรมะก็มีมาก การฟังธรรมะก็แล้วแต่โอกาส ก็เป็นการที่จะได้สนทนากัน เพื่อที่จะได้เข้าใจยิ่งขึ้นว่า ขณะนี้มีธรรมะ กำลังมีธรรมะ!!! ไม่ขาดจากธรรมะเลย ตั้งเกิดจนตาย
เพราะฉะนั้น การที่จะเข้าใจธรรมะ ก็มีโอกาสเดียว คือ ฟังและสนทนากัน มีอะไรที่จะทำให้ได้เข้าใจขึ้น ก็เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
[เล่มที่ 39] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ เล่มที่ ๓๙ หน้าที่ ๑๑๗ - ๒๑๔
มงคลสูตร (ว่าด้วยมงคล)
[๕] ข้าพเจ้า ได้สดับมาแล้วอย่างนี้. สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวันวิหารอารามของท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี กรุงสาวัตถี. ครั้งนั้น เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว เทวดาองค์หนึ่ง มีวรรณะงดงาม เปล่งรัศมีสว่างทั่วพระเชตวันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ยืน ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยพระคาถาว่า
[๖] เทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก ปรารถนาความสวัสดี พากันคิดมงคลทั้งหลาย ขอพระองค์ โปรดตรัสบอกมงคลอันอุดมด้วยเถิด พระเจ้าข้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบด้วยคาถาเหล่านั้นว่า
การไม่คบคนพาล การคบแต่บัณฑิต และการบูชาผู้ที่ควรบูชา นี้ก็เป็นมงคล อันอุดม (ประเสริฐ)
การอยู่ในประเทศอันสมควร ความเป็นผู้ทำบุญไว้แต่ก่อน การตั้งตนไว้ชอบ นี่ก็เป็นมงคล อันอุดม
ความเป็นพหูสูต ความเป็นผู้มีศิลปะ มีวินัยที่ศึกษามาดี มีวาจาเป็นสุภาษิต นี่ก็เป็นมงคล อันอุดม.
การบำรุงมารดาบิดา การสงเคราะห์บุตรภริยา การงานอันไม่อากูล นี่ก็เป็นมงคล อันอุดม.
ทาน ธรรมจริยา การสงเคราะห์ญาติ การงานอันไม่มีโทษ นี่ก็เป็นมงคล อันอุดม.
การงดเว้นจากบาป งดเว้นการดื่มน้ำเมา ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย นี่ก็เป็นมงคล อันอุดม.
ความเคารพ ความถ่อมตน ความสันโดษ ความกตัญญู การฟังธรรมตามกาล นี่ก็เป็นมงคล อันอุดม.
ความอดทน ความเป็นผู้ว่าง่าย การเห็นสมณะ การสนทนาธรรมตามกาล นี่ก็เป็นมงคล อันอุดม.
ตบะ พรหมจรรย์ การเห็นอริยสัจจ์ การทำพระนิพพานให้แจ้ง นี่ก็เป็นมงคล อันอุดม.
จิตของผู้ที่ถูกโลกธรรมกระทบแล้ว ไม่หวั่นไหว ไม่เศร้าโศก ไม่เศร้าหมองด้วยละอองกิเลส เกษม ปลอดโปร่ง นี่ก็เป็นมงคล
อันอุดม.
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ทำมงคลดังนี้แล้ว ไม่พ่ายแพ้ในข้าศึกทั้งปวง ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน
นี่แลมงคลอันอุดม ของเทวดาและมนุษย์ เหล่านั้น.
จบมงคลสูตร
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
สาธุ กราบขอบพระคุณสำหรับทุกๆ คำค่ะ ขอกราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ