ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทางปัญจทวารมีวิถีจิต ๗ วิถีตามลำดับ
เมื่อวิถีจิตที่ ๑ คือ ปัญจทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้น ทำอาวัชชนกิจ แล้วดับไป เป็นปัจจัยให้วิถีจิตที่ ๒ เกิดขึ้น คือ
ถ้าเป็นทางตา จักขุวิญญาณเกิดขึ้นทำทัสสนกิจ คือ กิจเห็น ๑ ขณะแล้วดับไป
ถ้าเป็นทางหู โสตวิญญาณเกิดขึ้นทำสวนกิจ คือ กิจได้ยิน ๑ ขณะแล้วดับไป
ถ้าเป็นทางจมูก ฆานวิญญาณเกิดขึ้นทำฆายนกิจ คือ กิจได้กลิ่น ๑ ขณะแล้วดับไป
ถ้าเป็นทางลิ้น ชิวหาวิญญาณเกิดขึ้นทำสายนกิจ คือ กิจลิ้มรส ๑ ขณะแล้วดับไป
ถ้าเป็นทางกาย กายวิญญาณเกิดขึ้นทำผุสสนกิจ คือ กิจรู้อารมณ์ที่กระทบกาย ๑ ขณะแล้วดับไป
เมื่อปัญจทวาราวัชชนจิตดับไป จิตอื่นนอกจากจิต ๑๐ ดวงนี้จะเกิดต่อไม่ได้เลย (ปัญจวิญญาณทาง ๕ ทวารๆ ละ ๒ ดวง คือ กุศลวิบาก ๑ ดวง อกุศลวิบาก ๑ ดวง)
ปัญจทวาราวัชชนจิตเป็นวิถีจิตที่ ๑ จักขุวิญญาณ หรือ โสตวิญญาณ หรือ ฆานวิญญาณ หรือ ชิวหาวิญญาณ หรือ กายวิญญาณเป็นวิถีจิตที่ ๒ เมื่อจิตหนึ่งจิตใดในทวิปัญจวิญญาณ ๑๐ ดวงนี้ดับไปแล้ว วิถีจิตที่ ๓ เป็นสัมปฏิจฉันนจิตเกิดขึ้นทำสัมปฏิจฉันนกิจ คือรับอารมณ์นั้นต่อจากปัญจวิญญาณ เมื่อสัมปฏิจฉันนจิตดับไปแล้ว วิถีจิตที่ ๔ เป็นสันตีรณจิต เกิดขึ้นทำสันตีรณกิจ คือ พิจารณาอารมณ์นั้น ๑ ขณะแล้วดับไป วิถีจิตที่ ๕ คือ โวฏฐัพพนจิต (ได้แก่ มโนทวาราวัชชนจิตที่เกิดขึ้นทำโวฏฐัพพนกิจทางปัญจทวาร) เกิดขึ้นเป็นชวนปฏิปาทกะทำกิจกำหนด คือ กระทำทางให้โลกิยกุศลจิต หรืออกุศลจิต หรือมหากิริยาจิตเกิดต่อ
เมื่อโวฏฐัพพนจิตดับไปแล้ว วิถีจิตที่ ๖ คือ โลกิยกุศลจิต หรืออกุศลจิต หรือมหากิริยาจิตประเภทใดประเภทหนึ่งเกิดขึ้นทำชวนกิจ ๗ ขณะ จึงสั่งสมสันดาน ตามข้อความที่ว่า ในคำว่า “จิตฺตํ” นี้ โลกิยกุศลจิต อกุศลจิต และมหากิริยาจิต ชื่อว่า “จิต” เพราะสั่งสมสันดานของตนด้วยสามารถแห่งชวนวิถี
การเกิดขึ้นเป็นไปของวิถีจิตตามลำดับแต่ละขณะที่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ นั้นเป็นจิตนิยาม เป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครเลย
โดย อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จัดพิมพ์เผยแพร่ โดย คณะกรรมการ ศิลปะและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนม์พรรษา ครบ ๗๕ พรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๕
ขอเชิญอ่านหรือดาวน์โหลดหนังสือ ...
ปรมัตถธรรมสังเขป
ขอเชิญอ่านตอนต่อไป ...
ความจริงแห่งชีวิต
ขออนุโมทนา
ขอเรียนถามว่าวิถีจิตที่ ๗ คือ ขณะไหน และ ทำกิจอะไรคะ
วิถีจิตที่ ๗ คือ ตทาลัมพนวิถี ทำกิจตทาลัมพนกิจ รับอารมณ์ต่อจากชวนะ
ขออนุญาตเรียนถามเกี่ยวกับ ชวนจิตของวิถีจิตทางปัญจทวาร ครับ ว่า หากเป็นกุศล มีลักษณะอย่างไร หากเป็นอกุศล จะมีลักษณะอย่างไร จะแตกต่างจากชวนจิตของวิถีจิตทางมโนทวารหรือไม่ครับ บัญญัติจะเกิดขึ้นกับชวนจิตของวิถีจิตทางปัญจทวารได้หรือไม่ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาครับ
ชวนจิตของวิถีจิตทางปัญจทวาร กับชวนะทางมโนทวาร ก็เหมือนกัน คือทำกิจแล่นไปในอารมณ์ ถ้าเป็นอกุศลจิตก็เป็นโลภะ โทสะ หรือโมหะ อย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นกุศลจิตก็ผ่องใส และวิถีจิตทางปัญจทวารจะรู้บัญญัติไม่ได้เพราะทางปัญจทวารวิถีรับรู้อารมณ์ที่มากระทบโดยตรง บัญญัติต้องเป็นวิถีจิตทางมโนทวารเท่านั้นครับ
จาก ความเห็นที่ 4
ถ้าเป็นอกุศลจิต ก็เป็นโลภะ โทสะ หรือ โมหะ อย่างใด อย่างหนึ่ง
ถ้าเป็นกุศลจิต ก็ผ่องใส
วิถีจิตทางปัญจทวาร จะ รู้บัญญัติไม่ได้ เพราะทางปัญจทวารวิถีรับรู้อารมณ์ที่มากระทบโดยตรง
ขออนุโมทนาค่ะ
เข้าใจว่า เพราะทาง ปัญจทวารวิถี รับรู้อารมณ์ที่มากระทบ โดยตรง คือ ทางตา คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา เท่านั้น หรือ ทางหู คือ เสียง เท่านั้น หรือ ทางจมูก คือ กลิ่น เท่านั้น หรือ ทางลิ้น คือ รส เท่านั้น หรือ ทางกาย คือ เย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง ตึง-ไหว เท่านั้น (ทางใด ทางหนึ่ง ทีละขณะๆ ไม่ปนกัน) ดังนั้น เมื่อมี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง และ ไม่ใช่บัญญัติ
บัญญัติ ซึ่งไม่ใช่สภาพธรรมที่มีจริง จึง มีเมื่อ "คิด" .. "บัญญัติ" จึงเป็นอารมณ์ของ "จิตคิดนึก" และ "จิตคิดนึก" ต้องเกิด ทางมโนทวารวิถี เท่านั้น
ขอบพระคุณอาจารย์ประเชิญ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ