เชิญคลิกอ่านที่นี่...
บุคคล ๔ จำพวก [มูลปัณณาสก์]
๑. ผู้ที่ฟังพระธรรมเทศนาจากพระพุทธองค์ในสมัยครั้งพุทธกาล บางท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์ บางท่านบรรลุเป็นพระอนาคามี บางท่านบรรลุเป็นพระสกทาคามี บางท่านบรรลุเป็นพระโสดาบัน บางท่านไม่บรรลุอะไรเลย ผู้ที่บรรลุเพราะได้สะสมอินทรีย์ บารมีอันควรแก่การบรรลุจึงบรรลุ ส่วนผู้ที่ยังไม่ควรแก่การบรรลุก็สะสมต่อไป
๒. ควรทราบว่า การบรรลุธรรมนั้นไม่เลือกสถานที่และเวลา มีหลายท่านที่บรรลุเป็นพระอรหันต์ หลังจากโกนผมเสร็จ บางท่านบรรลุในขณะฟังธรรม บางท่านบรรลุในห้องส่วนตัว บางท่านก็บรรลุธรรมในครัวก็มี ดังนั้นเรื่องสถานที่ หรือเวลาจึงไม่เป็นอุปสรรคเลย
๓. คนในยุคนี้ ถ้าจะบรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคลต้องอาศัยการศึกษาอย่างมาก อบรมปฏิบัติอย่างมาก จึงจะบรรลุได้ คือเป็นประเภทเนยยบุคคล ไม่มีอุคฏิตัญญูบุคคล วิปจิตัญญูบุคคล
ท่าน อ. สุจินต์ ท่านตอบไว้ได้กินใจมากครับ ว่าทำไมสาวกในสมัยพุทธกาลถึงเป็นอย่างที่คุณ atom กล่าว และทำไมสาวกในสมัยนี้ไม่อาจจะเป็นอย่างนั้น
เชิญคลิกฟัง --->
บารมีในชีวิตประจำวัน ตอนที่ 19
เมื่อฝนตก โอ่งบางโอ่งมีน้ำเกือบเต็มอยู่แล้ว บางโอ่งก็เพิ่งก้นโอ่งเมื่อฟังพระธรรม บางท่านได้สะสมปัญญามามากแล้ว บางท่านก็เพิ่งเริ่มสะสมปัญญา
ขออนุโมทนาค่ะ
เพราะว่าการอบรมเจริญปัญญาเพื่อประหารกิเลส เป็น "จิรกาลภาวนา" นี่เอง ดุจการจับด้ามมีดกว่าเห็นว่าจะสึก ต้องใช้เวลายาวนานและความอดทนต่างๆ ซึ่งมี บารมี๑๐ ที่เกื้อกูลให้อินทรีย์ บารมีที่ควรแก่การบรรลุเป็นปัญญาพร้อมที่จะประหารกิเลสจนหมดสิ้น คนสมัยนี้อาจจะลืมไปหรือยังไม่เคยได้ฟังคำว่า"จิรกาลภาวนา"นี้มาก่อน รวมไปถึง "การสะสม" อันยาวนาน ที่ประมาทไม่ได้เลย แม้หากว่ามีปัญญาพร้อมที่จะได้เป็นพระโสดาบัน แต่หากเผลอทำอนันตริยกรรมเสียก่อน ก็อาจทำให้เวลายืดยาวเพิ่มออกไป เป็นอสงไขยได้เช่นกันค่ะ ท่านที่บรรลุในสมัยพุทธกาล ก็เพราะว่าท่านได้สะสมมา ยาวนานในอดีตชาติ ก่อนที่จะมาเกิดในชาติที่บรรลุ ท่านทั้งหลายในสมัยพุทธกาลไม่ได้บรรลุเพราะโชคดีที่ได้เกิดทันพระพุทธเจ้าหรือเพราะว่าไม่ต้องศึกษา แต่เป็นเพราะการสะสมการฟังธรรม ความเข้าใจ ความอดทน ความมั่นคง ฯลฯ อันยาวนานมากๆ เป็นจิรกาลภาวนาค่ะ ปัจจุบันของท่านเป็นผลลัพธ์จากการสะสมอันยาวนานของท่าน ถ้าได้สังเกตจิตใจตนเองในปัจจุบัน ก็จะรู้ได้ว่าต้องอดทนฟังให้เข้าใจยาวนานอีกแค่ไหนค่ะ
เชิญคลิกอ่านที่นี่...
บุคคล ๔ จำพวก [มูลปัณณาสก์]
ผู้ไม่ประกอบด้วยการห้ามกรรม ห้ามวิบาก ห้ามกิเลส ฯลฯ สัตว์เหล่านี้นั้น จัดเป็น ภัพพะ. ในสัตว์สองประเภทนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงละอภัพพบุคคลทั้งหมด ทรงกำหนดถือเอาด้วยพระญาณ เฉพาะภัพพบุคคลเท่านั้น ทรงจำแนกออกเป็น ๖ ส่วน คือ เหล่านี้มีราคจริต โทสจริต โมหจริต วิตกจริต ศรัทธาจริต และพุทธิจริต. ครั้นจำแนกอย่างนี้แล้ว ก็ทรงพระดำริจักทรงแสดงธรรมโปรด.
ขออนุโมทนาครับ