ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สนทนาปัญหาธรรม 22 ส.ค. 66
ความจริงของสภาพรู้มี 2 อย่าง คือ จิตและเจตสิกที่เกิดร่วมด้วย
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงด้วยคำว่านามะหรือนามธรรม คือ ขันธ์สี่คือ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์
ชื่อว่านามะ จริงอยู่ขันธ์ 4 นั้นมุ่งไปเน้นเฉพาะต่ออารมณ์ ชื่อนามะด้วยอรรถว่าน้อมไป เพราะขันธ์ 4 ย่อมยังกันและกันให้น้อมไปในอารมณ์
พระธรรมมีอยู่ในชีวิตประจำวัน เพราะถ้าไม่มีพระองค์จะทรงแสดงได้อย่างไร!! ให้ใครรู้ในสิ่งที่ไม่มี แต่นี้เป็นสิ่งที่กำลังมีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน แต่ไม่รู้ตามความเป็นจริงเลยเพราะฉะนั้น การตรัสรู้ของพระองค์และทรงประจักษ์แจ้งทุกสิ่ง ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง เพราะฉะนั้น นามขันธ์ที่ 1 ก็คือความรู้สึกใช่ไหม!! พอจะรู้ได้ใช่ไหมในวันนึงๆ แต่ไม่รู้ว่าไม่ใช่เรา!!! นานแสนนานมาแล้วก็มีความรู้สึกต่างๆ เดี๋ยวสุขเดี๋ยวทุกข์ แต่ก็ไม่เคยรู้เลยว่าไม่ใช่เรา เป็นสภาพธรรมะที่เกิดขึ้นรู้สึกในสิ่งที่ปรากฏต้องมีสิ่งที่ปรากฏให้รู้สึกอย่างนั้นๆ รู้สึกเป็นสุขหรือทุกข์ในสิ่งที่ปรากฏ รู้สึกเจ็บหรือสบายทางกาย เมื่อความรู้สึกนั้นๆ กำลังปรากฏ รู้ได้แน่นอนแต่ไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ใครเลย แต่เป็นธาตุที่เกิดขึ้นรู้ตามลักษณะของธาตุนั้นๆ
จุดประสงค์ของการฟังพระธรรมก็เพื่อเข้าใจความจริงอย่างถูกต้องเข้าใจถูกว่าลักษณะนั้นเป็นอะไร เคยเป็นเราดีใจ เราเสียใจ เราสุข เราทุกข์ แต่ถ้าความรู้สึกดีใจ เสียใจ สุข ทุกข์ไม่เกิด จะมีเราขณะที่สุขทุกข์ได้อย่างไร!! แต่เพราะเหตุว่าสภาพนั้นเป็นสภาพรู้เกิดแล้วไม่มีอะไรอื่นเลยนอกจากนั้น ขณะนั้นก็สำคัญว่าความรู้สึกนั้นแหละเป็นเราตามปกติในชีวิตประจำวัน
เป็นความไม่รู้อย่างยิ่งในสิ่งที่มีจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ทุกคำของพระองค์สามารถไตร่ตรองรู้ความจริงได้ในชีวิตประจำวัน ความรู้สึกเกิดขึ้นทีละอย่างสุขทุกข์ปนกันไม่ได้ จิต (สภาพรู้) มีจริง เกิดทุกขณะแต่ยังไม่ปรากฏกับปัญญา ฟังธรรมเพื่อเข้าใจถูกต้องมั่นคงเป็นบารมี เป็นธรรมะคือสิ่งที่มีจริงแน่นอน ไม่ใช่เรา ความรู้สึกมีเกิดขึ้นและดับไป ไม่กลับมา แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร!!! ธรรมะเกิดและดับเร็วสุดที่จะประมาณได้ เมื่อไม่เห็นการเกิดดับจึงยึดถือว่าเป็นเราเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด
เกิดแล้วต้องเห็น แล้วต้องตาย จริงไหม!!! เราอยู่ไหนล่ะตอนตายก็ไม่มีแล้วในชาตินี้ มั่นคงในความไม่มีเราไปหาสิว่าอยู่ไหน "เรา"!!!
ขันธ์ คือ สิ่งที่ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่าเกิดเพราะเหตุปัจจัยและดับไป เพราะฉะนั้น สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เกิดแล้วดับเป็นอดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นธรรมะแต่ละหนึ่งๆ เป็นชีวิตจริงๆ ใช่ไหม ไม่ใช่เราแน่นอน พระองค์ให้เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ว่าเป็นธรรมะ เพราะฉะนั้น" สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้น สิ่งนั้นมีความดับไปเป็นธรรมดา "
แต่ละคำให้เข้าใจความจริงจนมั่นคงว่า " ไม่มีเรา " จนสิ้นความสงสัย ทุกคำเกื้อกูลให้เป็นให้เข้าใจในความเป็นธรรมะที่ไม่ใช่เรา
ความรู้สึกเดี๋ยวนี้เป็นอะไร!! ... มีแต่ไม่รู้ ... ไม่ใช่ทุกข์ ... สุข ... ใช่ไหม!! ... ไม่รู้เลย ... ยากเพราะไม่เคยรู้ ... ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ต้องพูดถึงสิ่งที่ปรากฏจึงจะเข้าใจได้ถูกตามความเป็นจริง
กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ไม่สบายหรือเปล่าขณะนี้!!! ขณะเห็นมีความรู้สึกแน่นอนแต่ก็ไม่รู้ แต่ความรู้สึกหลากหลายตามเหตุปัจจัย เห็นไม่ทุกข์เลย ถ้าแข็งกระทบกายเป็นทุกข์ ไม่มีใครทำเลย ให้เข้าใจอนัตตา เข้าใจทีละเล็กละน้อย ไม่ใช่เรา แต่เป็นธรรมะแต่ละหนึ่งหลากหลาย (เวทนาเป็นสภาพรู้ที่เป็นความรู้สึก)
การศึกษาธรรมะไม่ใช่ท่องจำชื่อแต่ให้เข้าใจลักษณะธรรมะขณะนั้นๆ
เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้
การฟังธรรมะเป็นมงคลนำสิ่งที่ประเสริฐมาให้ เป็นสิ่งที่ประเสริฐอย่างยิ่ง เพราะทำให้เข้าใจความจริงที่ไม่รู้มานาน ถูกปกปิดด้วยความไม่รู้
ยิ่งเข้าใจธรรมะสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้มากเท่าไหร่ ... ยิ่งเห็นพระคุณของผู้ทรงตรัสรู้
ฟังธรรมะเพื่อให้รู้ว่าเป็นธรรมะ ... ยากจริงๆ!!! ธรรมะอยู่นี่แล้วไม่เคยรู้คำของพระองค์ให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ พระองค์ทรงแสดงความจริงที่ไม่มีใครรู้เลย สิ่งที่มีจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้เป็นธรรมะ ... เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสรู้ (สิ่งที่ไม่มีจริงเดี๋ยวนี้ ... ก็ไม่มี ... ก็ไม่จริง)
เชิญคลิกชม สนทนาปัญหาธรรม
22 ส.ค. 66
https://www.youtube.com/live/DPdsVPEyWns?feature=share
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในความดีของทุกท่านค่ะ
ความหลากหลายของธาตุรู้เป็นสิ่งที่มีจริงคือนานขันธ์ 4 ได้แก่ เวทนาขันธ์ (ความรู้สึก) สัญญาขันธ์ (ความจำ) สังขารขันธ์ (สภาพที่ปรุงแต่งจิตทั้งหลาย) วิญญาณขันธ์ (สภาพของจิตเอง)
อ.อรรณพ : พระสัมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธาตุรู้คือเวทนาขันธ์ (ความรู้สึก) เป็นประการแรกไม่ว่าจะแสดงโดยนามขันธ์ 4 หรือในการที่จะระลึกรู้สภาพธรรมะที่กำลังปรากฏที่เป็นนามธรรม พระองค์ก็แสดงการรู้ลักษณะของความรู้สึก คือ เวทนาวิปัสสนาสติปัฏฐานต่อจากการรู้ลักษณะของรูปที่ยึดว่าเป็นกาย
ธาตุรู้ที่แสดงความรู้สึกซึ่งไม่ใช่จิต แต่พระองค์ทรงแสดงก่อน แม้ความรู้สึกนั้นจะไม่ใช่เป็นสภาพรู้แจ้ง เป็นใหญ่เป็นประธานอย่างจิต แต่พระองค์ทรงแสดงลักษณะของธาตุรู้ที่เป็นความรู้สึกก่อนไม่ว่าจะเป็นนัยใดๆ
ทอจ : เรามุ่งไปหาความเข้าใจในคำที่พระองค์ได้ตรัสแล้ว หรือว่าฟังด้วยความเข้าใจว่าพระองค์กำลังตรัสถึงสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ให้เข้าใจ!!!
ไม่ใช่เราเอาคำมาเรียน แล้วก็ถามว่าคำนั้นคืออะไร!! อยู่ที่ไหน!! แต่ว่าเดี๋ยวนี้เอง ไม่ต้องพูดคำ แต่พูดถึงความจริง พระองค์ตรัสถึงความจริงที่ไม่รู้ให้เข้าใจ แต่ละหนึ่งๆ เดี๋ยวนี้ที่มีจริงๆ นั้นคืออะไร!!!
ไม่ใช่ไปเอาคำบาลีมาหาความเข้าใจว่าคำนั้นคืออะไร!! อยู่ที่ไหน!!หมายความว่าอะไร!! นั่นไม่ใช่การรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ไม่ได้มุ่งไปที่คำ แต่ตรัสถึงสิ่งที่มีจริงเวลาที่ใครไปเฝ้า ตรัสถามว่า " เห็นขณะนี้เที่ยงไหม!! " ไม่ได้ตรัสถึงอะไรเลย นอกจากสิ่งที่มีจริงขณะนั้น
การศึกษาธรรมะคือเข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ที่กำลังมีซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน ... มีก็ไม่เข้าใจ ... ไม่รู้เรื่องอะไรคืออะไร!! มีจริงๆ หมด โกรธก็มีจริง เห็นก็มีจริงชอบก็มีจริง แต่ไม่รู้ความจริงว่าเป็นอะไร
พระองค์ตรัสให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ไม่ต้องไปคำนึงถึงว่า คำนี้ที่พระองค์ตรัสหมายความว่าอะไร ธาตุรู้ แล้วก็ตามลำดับขั้นอันนี้ก่อนอันนั้นก่อนเพราะอะไร ... ไม่ใช่เลย ... ให้เริ่มเข้าใจใหม่ว่า ทุกคำของพระองค์ตรัสถึงสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เพื่อให้เข้าใจความจริงเดี๋ยวนี้ถูกต้องในภาษาของตนๆ ซึ่งตรงกับภาษาบาลีแต่ละคำ ซึ่งเมื่อเข้าใจความจริงแล้วไม่สงสัยในคำนั้นเลยสักคำเดียว แต่ถ้าไม่รู้ความจริงก็ไปสงสัยในคำนั้น พยายามหาเรื่องราวว่า คำนั้นกับคำนี้ต่างกันก่อนหลัง ... ไม่ใช่อย่างนั้นเลย!!! แต่ให้เข้าใจจริงๆ ว่าเดี๋ยวนี้ธาตุรู้มีไหม!!!
กล่าวถึงธาตุรู้ ทุกคนข้ามไปหามีกี่อย่างมีเท่าไหร่ แต่ว่าเดี๋ยวนี้มีธาตุรู้ไหม!!! ให้ถึงความเข้าใจของตนเองที่จะเข้าใจธาตุรู้ เพราะธาตุรู้กำลังมี ... ไม่ใช่ไปเอาคำแปลมาทั้งหมดแล้วบอกให้เข้าใจ ... เข้าใจความหมายแต่ไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้!!!
ที่ถูกต้องก็คือ เดี๋ยวนี้จะใช้ภาษาอะไรก็ได้ เช่น ธาตุรู้ ภาษาบาลีไม่มีคำว่ารู้ธาตุ คือ สิ่งที่มีจริงเปลี่ยนลักษณะนั้นไม่ได้เลย จริงแท้แน่นอนว่ามีลักษณะนั้นแน่นอน เพราะฉะนั้น ธาตุรู้คือธาตุรู้สิ่งที่เกิดขึ้นรู้ต้องมีใช่ไหม!!! เข้าใจคำว่าธาตุและเข้าใจคำว่ารู้ ไม่ใช่ว่าธาตุรู้มีอะไรบ้างและธาตุรู้ต่างกันยังไงโดยที่ขณะนี้เป็นอย่างนั้นก็ไม่รู้และกว่าจะรู้ ... ไปรู้คำรู้ชื่อเยอะแยะแต่ไม่รู้สิ่งที่กำลังมี
เพราะฉะนั้น เริ่มเป็นคนตรง ... ได้ยินคำว่าธาตุรู้ ... เดี๋ยวนี้มีไหม!! แค่นี้ก็ตอบยากแล้วใช่ไหม!! เพราะไม่รู้จักธาตุรู้ ... แล้วจะตอบว่ายังไง!! ต้องตรงต่อความจริง
เริ่มรู้ความต่าง ... ต้นไม้รู้อะไรไหม น้ำรู้อะไรไหม น้ำเห็นไหม กาแฟเห็นไหม ... ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ... จึงไม่ใช่ธาตุรู้ใช่ไหม!! ใช่!! เพราะไม่ใช่ธาตุรู้จึงไม่สามารถรู้อะไรได้เลย แต่มีจริง เมื่อมีจริงก็เป็นธาตุที่ไม่รู้ใช่ไหม!! ไม่สามารถรู้อะไรได้เลย เปลี่ยนลักษณะนั้นให้เป็นอื่นไม่ได้เลย ... นี่คือเริ่มเข้าใจความจริงว่า สิ่งที่มีจริงพระองค์ใช้คำว่า "ธรรมะ" ทุกอย่างที่มีจริงเป็น "ธรรมะ" เป็นจริงทั้งหมดไม่เว้นเลยและธรรมะแต่ละหนึ่งมีลักษณะของตนๆ ที่หลากหลายมากมายประมวลได้ว่า ธรรมะทั้งปวงทั้งหมดเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่เขา ไม่ใช่ทะเล ไม่ไม่ใช่กุ้ง ไม่ใช่เป็นอะไรหมด แต่ว่าเป็นธรรมะที่มีลักษณะเฉพาะที่เป็นอย่างนั้นเท่านั้น!!!
เริ่มเข้าใจหรือยัง!!! ไม่ใช่ไปจำชื่อ จำคำ จำเรื่องราว แต่กำลังรู้เข้าใจจริงๆ ระหว่างความต่างของธาตุ จึงจะสามารถรู้ได้ว่าธาตุรู้ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่อ่อน ไม่ใช่กลิ่น ไม่ใช่รส พวกนั้นไม่รู้อะไรเลย แต่เดี๋ยวนี้กำลังเห็น ... ก็ต้องรู้ว่ามีสิ่งที่ปรากฏให้เห็น ... เป็นอย่างนี้ ... ไม่ใช่หลับตา ... ลืมตาแล้วก็เห็น เพราะฉะนั้น มีธาตุที่ปรากฏให้รู้เห็นให้รู้โดยเห็น เห็นเกิดขึ้นเห็น จึงมีสิ่งที่ถูกเห็น ... นี่คือการศึกษาธรรมะ
อ.อรรณพ : ฟังธรรมะเพื่อเข้าใจเพื่อรู้ว่าเป็นธรรมะและเข้าใจว่าเป็นธรรมะอย่างนี้จะเฉไปได้ง่ายมาก เพราะว่าเคยชิน
ทอจ : แต่ความจริงของสิ่งที่กำลังมีตรงไหม!! เดี๋ยวนี้มีธาตุรู้ไหม!! เริ่มรู้ว่ามีธาตุรู้!! ที่รู้ก็ไม่ใช่เรา ... แต่เป็นความเข้าใจถูกที่เริ่มรู้ว่ามีธาตุรู้!!!
อ : ความเข้าใจถูกก็เป็นธาตุรู้ที่เข้าใจ!!! ไม่เว้นว่างจากธาตุรู้ในขั้นไตร่ตรอง พิจารณา เป็นความละเอียดอย่างยิ่งและต้องตรงที่จะไม่ไปไหน แม้ฟังในขั้นเรื่องราวเป็นปริยัติก็คือไม่ไปจากสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ปริยัติ คือ ฟังเข้าใจในสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้
ทอจ : ฟังเข้าใจในสิ่งที่มีแต่น้อยมากนิดหน่อยพอไหม!!
อ : ไม่พอ!!
ทอจ : ต้องรู้มากกว่านี้ ต้องรอบรู้จึงจะเป็นปริยัติ ไม่ใช่แค่ชื่อ แค่คำ
อ : ถ้ารู้ชื่อ รู้คำ ก็ห่างไปจากความเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ ก็ไม่เป็นปริยัติ
ทอจ : ไปเข้าใจว่ารู้จำนวนจิตเจตสิก รู้คำต่างๆ แต่ว่าไม่ได้เข้าใจเลยว่าเดี๋ยวนี้กำลังเริ่มเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริง จนกว่าจะเข้าใจขึ้นๆ จึงรอบรู้ในสิ่งที่ปรากฏ ... ซึ่งเริ่มจะได้ยินได้ฟังว่า เข้าใจสิ่งที่มีจริง ... นั่นคือการศึกษาธรรมะซึ่งพระองค์ทรงตรัสสรู้ ไม่ว่าอะไรทั้งหมดที่มีจริงใครไม่รู้แม้ว่าสิ่งนั้นมี!!!
สิ่งที่มีนั่นแหละไม่ใช่ใคร ใครก็ไปทำให้เกิดขึ้นไม่ได้ แต่มีจริงๆ เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป
ทรงแสดงแต่ละคำตรงกับที่เราไปจำภาษาบาลีไว้หมดเลย โดยไม่รู้ว่าหมายถึงเดี๋ยวนี้ ... ขณะนี้!!!
อ : ธาตุรู้ก็ได้แก่จิตและเจตสิก
ทอจ : ถ้ากล่าวว่า ธาตุรู้มีทุกขณะ ... ขณะไหนล่ะที่เป็นธาตุรู้!!! ให้เขาคิดและไตร่ตรอง ไม่ใช่เอาชื่อไปให้เขาอีก ถามทุกคนได้เลยมีธาตุรู้แน่ และเดี๋ยวนี้ก็ต้องมีด้วย ... ไม่เคยขาดเลย
เดี๋ยวนี้ ... ขณะไหน ... อะไรเป็นธาตุรู้!!! ให้เขาคิด ให้เขาไตร่ตรอง ไม่ใช่เอาชื่อไปบอกเขาอีก เริ่มขยายชื่อออกไป แต่ไม่สามารถที่จะรู้ว่า เขากำลังฟังเพื่อเข้าใจในสิ่งที่กำลังมี ... นี่เป็นประโยชน์สูงสุด!!! ไม่ใช่ไปให้เขาได้ยินแต่ชื่อ
ทุกคำต้องให้เข้าใจแม้แต่คำว่าปริยัติแค่นี้เป็นปริยัติหรือยัง!!! ปริยัติหมายความว่าอะไร!!! รอบรู้ในสิ่งที่มีจริงในขั้นฟังเข้าใจ เพราะว่าความจริงที่มีจริงสามารถประจักษ์แจ้งได้แต่ไม่สามารถจะเข้าใจประจักษ์แจ้งได้เพียงไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ได้ยินเพียงคำสองคำที่กำลังกล่าวถึงสิ่งที่มีจริง ยังไม่ประจักษ์แจ้งได้
ต้องให้เขาเข้าใจความละเอียด อย่าไปพูดชื่อทั้งหมดให้เขาฟังเลย เขาก็หลงไปตามชื่อหมด ไม่คิดเลยว่าที่ฟังทุกคำ เพื่อให้เข้าใจสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น จะไม่มีโอกาสเลยที่จะรู้ความจริงว่า ศึกษาธรรมะเพื่อเข้าใจสิ่งที่มี สามารถเข้าใจได้เมื่อฟัง ความละเอียดเพิ่มขึ้น ไตร่ตรองเพิ่มขึ้นเพราะว่าสิ่งนั้นกำลังมี
ไม่ใช่หลงไปนั่งปฏิบัติ ... ปฏิบัติอะไร!! เดี๋ยวนี้รู้อะไร!! เดี๋ยวนี้มีอะไร!! จริงหรือเปล่า!! ถ้าไม่รู้แล้วไปปฏิบัติเพื่ออะไร ... เพื่อไม่รู้สิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ... อย่างนั้นหรือ!!!!!
อ : เป็นความคิดเรื่องที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้จริงๆ ไม่ใช่ไม่แสดง แต่ผู้ศึกษาไม่ได้เป็นไปที่จะเข้าใจสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ เพราะไปสนใจต่อ แม้เป็นคำจริง เช่น นามธรรมสภาพรู้ ธาตุรู้ก็มีจิตเจตสิก และแสดงว่าได้แก่อะไร และอะไรอีกเป็นเรื่องต่อไปแล้ว ได้แก่ นามขันธ์ 4 และเป็นเรื่องต่อไปว่านามธรรม 53 คือ จิต 1 เจตสิก 52 คือ เวทนา สัญญาและสังขารอีก 50 ทรงแสดงไว้อย่างนั้นจริงๆ แต่ว่าที่จะเป็นประโยชน์ให้เข้าใจจริงๆ ว่าเป็นการฟัง ไตร่ตรองธรรมะเพื่อรู้ในความเป็นธรรมะที่กำลังมีเดี๋ยวนี้!!
เหมือนจะชวนให้ห่างไกลจากสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้
อ : เป็นสิ่งที่ยากมากกับการสะสมที่สนใจในเรื่องราว แล้วก็ไปในเรื่องราวแต่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ทรงแสดงคำ เรื่องราวนั้นไว้จริงๆ
ทอจ : ยากมากใช่ไหม!!!
อ : ยากมากที่จะใส่ใจถูกที่จะเข้าใจความจริงที่พระองค์ทรงแสดงไว้ในแต่ละคำที่เป็นความจริง ... ก็แสดงถึงความจริง
ทอจ : อย่าลืมว่ายากมากไม่ใช่เพียงแค่พูด!!! ลึกซึ้งไหม!!!
อ : ถ้าพูดเรื่องคำและความหมายก็ไม่ลึกซึ้ง เพราะไม่ได้ใส่ใจในสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้
ทอจ : เพราะฉะนั้น เดี๋ยวนี้มีสิ่งที่ลึกซึ้งไหม!! ลึกซึ้งแค่ไหน!!
อ : มี ... ลึกซึ้งจนกระทั่งไม่สนใจที่จะรู้!!
ทอจ : ถ้าอย่างนั้นก็ไม่รู้จักพระองค์แล้วนับถืออะไร!!!
อ : สนใจที่จะคิดเรื่องไป ... ก็ห่างจากประโยชน์ไป ... พูดได้หมดเลย
ทอจ : เพราะฉะนั้น นับถือพระองค์หรือเปล่า!!! พระองค์ทรงแสดงธรรมะให้เบื่อหรือ!!! หรือให้รู้ความจริง!!! เบื่อแต่รู้จักพระองค์ไหม!!! เบื่อคือไม่ฟังแล้วใช่ใหม!!!
อ : ฟังแต่ฟังแบบนามธรรมมี 2 คือจิตเจตสิก มี 4 นามขันธ์
ทอจ : นั่นแหละรู้จักพระองค์ไหม!!!
อ : ไม่รู้จัก!!
ทอจ : ค่อยๆ ไปทีละน้อย ไม่ใช่เอาความคิดอะไรมาใส่หมด ทีละคำ ลึกซึ้ง ค่อยๆ ไป ค่อยๆ เห็นความลึกซึ้ง มิฉะนั้น ก็แค่พูดไปเท่านั้นเอง
ศึกษาธรรมะต้องทีละคำ ไตร่ตรองอย่าเพิ่งข้ามไป เพราะฉะนั้น ธรรมะเดี๋ยวนี้มีจริงๆ พระองค์ทรงแสดงว่าเกิดขึ้นและดับไปและไม่กลับมาอีกเลย ... จริงหรือเปล่า ... ใช่ไหม ... เป็นอย่างนั้นแม้ว่าพระองค์ตรัสแล้ว ... ความจริงเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า!!!
อ : ความจริงต้องเป็นอย่างนั้น ... แม้จะยังไม่รู้ว่าเป็นอย่างนั้น!!
ทอจ : สิ่งนี้ที่กำลังมีปรากฏว่าเกิดดับหรือเปล่า!!!
อ : ยังไม่ปรากฏความเกิดดับให้รู้อย่างนั้น!!
ทอจ : แล้วพระองค์ตรัสว่าธรรมะที่มีเดี๋ยวนี้เกิดแล้วดับหรือเปล่า!!!
อ : ตรัสว่าอย่างนั้น!!
ทอจ : ความห่างไกลของความเข้าใจที่ได้ฟังกับพระปัญญาของพระองค์ห่างกันแค่ไหนรู้ไหม!!!
อ : ค่อยๆ รู้ขึ้นเมื่อตรง!!
ทอจ : แล้วไปจำ ... จำนวน ... ลึกซึ้งไหมจำนวน!!!
อ : ไม่ลึกซึ้ง!!
ทอจ : ด้วยเหตุนี้จึงต้องรู้ว่าใครรู้จักพระองค์ ... ใครเคารพนับถือพระองค์ใครรู้คุณของความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มิฉะนั้นแล้วก็ไม่รู้จักพระองค์ จะนับถืออย่างไรเมื่อไม่รู้จักคุณที่ประมาณไม่ได้เลยในพระคุณเหนือบุคคลใดทั้งสิ้นในสากลจักรวาลเพราะฉะนั้น ต้องตรงต่อทุกคำ ลึกซึ้งนั่นคือสรรเสริญพระปัญญาคุณ พระมหากรุณาคุณ 45 พรรษา ถ้าธรรมะไม่ลึกซึ้งจะต้องทรงแสดงไว้มากมายเพื่อให้ค่อยๆ เข้าใจในความเป็นจริงค่อยๆ ขัดเกลาความไม่รู้ ค่อยๆ เห็นว่าสิ่งต่างๆ ที่เกิดแล้วดับจะเป็นประโยชน์อะไร!! ไม่เหลือเลยแต่ละชาติ ชาตินี้ดูเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตสำคัญมากมาย เรื่องโน้นเรื่องนี้ แล้วอยู่ไหนเมื่อจากไป!!! ไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่างเดียว
สิ่งที่ประเสริฐสุดก็คือ ความเห็นที่ถูกต้อง ความเข้าใจความจริงที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เริ่มรู้จักหนทางที่จะรู้ได้ก็ด้วยการฟังคำของผู้ที่ได้ทรงดำเนินหนทางอบรมบารมีนานแสนนานแค่ไหน จึงตรัสรู้ทุกคำที่พระองค์ทรงแสดงถึงสิ่งที่กำลังมีจริงๆ เดี๋ยวนี้
ความลึกซึ้งของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ระดับไหน!!! เริ่มศึกษาเพื่อจะเข้าใจสิ่งที่มีจริง ไม่ใช่ไปเอาชื่อมาเยอะๆ แล้วก็จำได้หมด ทั้งขันธ์ ทั้งธาตุ แต่ว่าเดี๋ยวนี้อะไร!! แม้แต่ แต่ละหนึ่งๆ เป็นอย่างไร!! เพราะยังไม่สามารถที่จะรู้ได้!!
เห็นความห่างไกลของผู้ที่ไม่รู้ ไม่เคยฟัง ผู้ที่ฟังแล้วประมาทและผู้ที่ฟังด้วยความเคารพอย่างยิ่งจึงจะละความหวังทั้งปวง เพราะเหตุว่ากว่าจะรู้ต้องมีบารมีที่ค่อยๆ เข้าใจแต่ละคำมากระดับไหน!!! นี่คือเริ่มรู้จักพระองค์เริ่มเป็นผู้ตรงต่อความจริงตรงต่อสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
ถ้าไม่มีอย่างนี้ไม่ได้ชื่อว่าศึกษาธรรมะ ไม่ชื่อว่ารู้จักพระองค์เลยเพราะธรรมะมีจริงๆ เดี๋ยวนี้ ก็ไปพูดเรื่องราวใหญ่โตเยอะเลย แต่เพียงธาตุรู้แค่นี้ ... เข้าใจระดับไหน!!!
อ : ธาตุรู้ไม่เพียงแค่นี้ ลึกซึ้งสุดประมาณ ขณะนี้ก็มีอยู่ ต้องมี ไม่งั้นก็ไม่ฟัง ไม่คิด ไม่เปล่งคำออกมาได้เพราะต้องมีธาตุรู้ แต่การที่จะรู้ธาตุรู้ ... ขณะไหน!!! ลึกซึ้งจริงๆ!!!
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาอาจารย์ มศพ.
ยินดีในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ยินดีในกุศลจิตครับ