ผมเข้าใจว่า สะสมในที่นี้คือ สะสมเป็นนิสัยปัจจัย เป็นได้ทั้ง กุศลนิสัยปัจจัย และ อกุศลนิสัยปัจจัย ครับ
หากกุศลที่ประกอบกับความเข้าถูกเกิด ก็จะเกื้อกูลให้กุศลที่เข้าใจถูกขึ้นเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต ตามกาลอันสมควร ของเหตุหรือปัจจัย ณ ขณะนั้นๆ ทบไปเรื่อยๆ เมื่อกุศลเกิดขึ้นๆ อันมาจากปัญญา อกุศลเกิดน้อยลงๆ จากการดับไปด้วยความเข้าใจถูก ทบไป จนถึงที่สุดของความเข้าใจแจ้งแทงตลอด อกุศลเกิดไม่ได้เลย ดับกิเลสหมดสิ้น นับเป็นหนทางที่กุศลเจริญถึงที่สุด [ถึงฝั่ง]
หากอกุศลเกิด มีความไม่เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงประกอบกัน ก็เป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลจิต อกุศลกรรม เกิดบ่อยขึ้นๆ ตามแรงของการสะสม [momentum ของอกุศล] เป็นเช่นนี้เรื่อยๆ เรียกอกุศลเจริญขึ้น จนกุศลเกิดน้อยลงๆ หรือไม่เกิดเลยได้ เป็นหนทางจมดิ่งในสังสารวัฏฏ์ ประหนึ่งรถบรรทุกของหนักวิ่งด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บนทางเขาที่คดเคี้ยว โอกาสตกหน้าผาย่อมมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นหนทางที่อกุศลเจริญ
รบกวนชี้แนะครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จิตเป็นสภาพธรรมที่สะสม สะสมทั้งฝ่ายดีทีเป็นกุศลและ สะสมธรรมฝ่ายไม่ดี ที่เป็นอกุศล ทำให้มีอุปนิสัยที่ดีหรือไม่ดี ตามการสะสมของกุศลหรือ อกุศลครับดังนั้นขณะที่กุศลจิตเกิดขึ้น จิตสะสมแล้ว สะสมธรรมฝ่ายดี คือ สะสมเป็นผู้มีอุปนิสัยที่ดี เช่น ขณะที่ให้ทาน ก็สะสมแล้ว สะสมที่จะเป็นผู้มีอุปนิสัยในการให้ทานมากขึ้นนั่นเอง ขณะที่โกรธ จิตที่เป็นโทสะเกิดขึ้น สะสมแล้ว สะสมให้มีอุปนิสัยโกรธเพิ่มขึ้นครับ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าในชาตินี้แต่ละคนมีอุปนิสัยต่างๆ กันเพราะสะสะมมาไม่เหมือนกัน แต่ก็ไม่พ้นจากการสะสมของจิตที่เป็นกุศลที่เกิดบ้างและอกุศลที่เกิดบ้างครับ แต่ละคนก็เคยมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน สะสมมาทุกอย่างทั้งที่เป็นกุศล และ อกุศลเราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอดีตที่ผ่านไปแล้วได้ ที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป แต่ปัจจุบันนี้ ขณะนี้ สำคัญที่สุดที่จะสะสมเหตุที่ดี สะสมอุปนิสัยที่ดี ซึ่งก็คือ กุศลธรรมประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ต่อไป ถ้าไม่สะสมอุปนิสัยที่ดีบ่อยๆ เนืองๆ ก็ย่อมจะเป็นโอกาสของความชั่วที่พร้อมจะเกิดขึ้นครอบงำจิตใจอยู่ตลอดเวลา จนยากที่จะแก้ไขได้ และอาจจะตายไปพร้อมกับความไม่รู้ก็เป็นได้ เป็นการสะสมแต่สิ่งที่ไม่ดี และจะเป็นปัจจัยให้สิ่งที่ไม่ดี มีมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว จึงควรอย่างยิ่งที่จะสะสมแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ไปตามลำดับ ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้นที่จะเกื้อกูลให้ชีวิตดำเินินไปในทางที่ถูกที่ควรมากยิ่งขึ้นและเป็นที่พึ่งในชีวิตได้อย่างแท้จริง.
สิ่งที่ควรสะสม
ท่าน อ.สุจินต์ เริ่มค่อยๆ สะสมความเห็นที่ถูกต้องในความหมายของคำว่าอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แล้วก็ลืมสิ่งที่ได้ยินได้ฟังไม่ได้ ได้ยินคำว่า “ทุกอย่างเป็นธรรม” ลืมไม่ได้ เพราะว่าอะไร ประเดี๋ยวก็ลืมแล้ว กลายเป็นเราเสียอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้สัญญาความจำที่มั่นคงก็คือความจำพร้อมด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องว่าทุกอย่างในขณะนี้เป็นธรรม คือเป็นสิ่งที่มีจริงแล้วก็มีลักษณะต่างกัน เป็นนามธรรมและรูปธรรมๆ ไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย ส่วนนามธรรมเมื่อเกิดต้องรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้นถ้าการฟังของเราเป็นไปตามลำดับที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ สามารถที่จะเข้าใจถึงลักษณะของจิตประเภทต่างๆ โดยการฟังว่าไม่ว่าเป็นจิตใดทั้งสิ้นก็ไม่ใช่เราเพราะเหตุว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
แต่ละคนก็เคยเกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วน สะสมมาทุกอย่างทั้งที่เป็นกุศล และ อกุศล เราไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอดีตที่ผ่านไปแล้วได้ ที่ผ่านไปแล้วก็ผ่านไป แต่ปัจจุบันนี้ ขณะนี้ สำคัญที่สุดที่จะสะสมเหตุที่ดี สะสมอุปนิสัยที่ดี ซึ่งก็คือ กุศลธรรมประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ต่อไป ถ้าไม่สะสมอุปนิสัยที่ดีบ่อยๆ เนืองๆ ก็ย่อมจะเป็นโอกาสของความชั่วที่พร้อมจะเกิดขึ้นครอบงำจิตใจอยู่ตลอดเวลา จนยากที่จะแก้ไขได้ และอาจจะตายไปพร้อมกับความไม่รู้ก็เป็นได้ เป็นการสะสมแต่สิ่งที่ไม่ดี และจะเป็นปัจจัยให้สิ่งที่ไม่ดี มีมากยิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว จึงควรอย่างยิ่งที่จะสะสมแต่สิ่งที่ดีงามในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ไปตามลำดับ ความเข้าใจพระธรรมเท่านั้นที่จะเกื้อกูลให้ชีวิตดำเินินไปในทางที่ถูกที่ควรมากยิ่งขึ้นและเป็นที่พึ่งในชีวิตได้อย่างแท้จริงครับ
... ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ ...
ขออนุโมทนาในกุศลของทุกๆ ท่านครับ