รบกวนผู้รู้ช่วยตอบหน่อยครับ เนื่องจากเพิ่งเริ่มคิดจะศึกษาธรรมะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สิ่งที่ไม่เห็นไม่ได้หมายความสิ่งนั้นไม่มีจริง เพราะฉะนั้น จากคำถามที่ว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ หรือเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น หากเราย้อนถามกลับไปว่า ญาติที่ล่วงลับไปแล้ว ที่ไม่สามารถเห็นในขณะนี้ มีจริงหรือไม่ หากพิสูจน์เพียงการเห็นด้วยตา ก็อาจกล่าวได้ด้วยสมมติฐานที่จะต้องเห็นได้ด้วยตา ก็อาจกล่าวว่าไม่มีจริง แต่ในความเป็นจริง ก็มีญาติ มีปู่ มีย่ามาแล้ว เพียงแต่ไม่สามารถเห็นในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น เพียงสมมติฐานที่ว่า สิ่งนั้นจะมีจริงก็ต้องเห็นด้วยตาเปล่า ก็ไม่จริงเสมอไป แล้วพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ แม้จะไม่เห็น ก็ไม่จำเป็นจะต้องมีจริงหรือไม่มีจริง แต่มีสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงและเป็นศาสดาแทนพระองค์ นั่นคือ พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงเป็นศาสดา และเป็นเครื่องยืนยันการมีอยู่ของพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้น การจะเชื่อว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ ก็ไม่ใช่เชื่อเพราะะจะต้องเห็น แต่เชื่อ เพราะได้ศึกษาได้เข้าใจพระธรรมตามคำสอนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง เพราะการเห็นพระพุทธเจ้าจริงๆ คือการเห็นด้วยปัญญา เชื่อเพราะ ได้เข้าใจถูกในคำสอน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่แต่งขึ้นจากคนรุ่นหลัง แต่เมื่อได้ศึกษา ย่อมจะเห็นถึงความละเอียดลึกซึ้งของพระธรรม ว่าไม่มีใครที่สามารถจะแต่งขึ้นได้ นอกจากผู้มีปัญญาสูงสุด คือพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงธรรมสืบต่อมาให้ชนรุ่นหลังได้ศึกษา ครับ ดังนั้น คำถามที่ว่า พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ ย่อมเป็นที่สงสัยและตอบไม่ได้เลยในใจของผู้ที่ยังไม่ได้ศึกษาพระธรรม แต่คำตอบจะเกิดขึ้นในจิตใจของผู้ที่ได้เข้าใจได้ศึกษาพระธรรมแล้วเท่านั้น
ดังนั้น ปัญหาไม่ได้อยู่ที่พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ แต่ปัญหา คือได้เริ่มศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงหรือยัง เพราะหากเริ่มจากความไม่เชื่อ ก็จะไม่ได้ศึกษา แต่ผู้ที่จะพิสูจน์ ก็จะต้องศึกษา และก็จะรู้คำตอบในใจของผู้นั้นเอง สมดังที่บุคคลที่ไม่นับถือพระพุทธเจ้าเลย เห็นการแสดงธรรมและการรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งของพระพุทธเจ้า ที่ตนเองไม่สามารถทำได้ จึงอยากเรียนและรู้เช่นนั้น พระพุทธองค์จึงได้ตรัสว่า เธอจะต้องศึกษา ปฺฏิบัติตามพระธรรมที่เราแสดงไว้ดีแล้ว เธอก็จะรู้ตามที่เรารู้ นี่แสดงให้เห็นว่า พระพุทธศาสนาเป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่ จะให้ปฏิเสธ หรือ เชื่อทันทีในทุกสิ่ง แต่ผู้นั้นจะต้องศึกษาสิ่งนั้นเอง ก็จะรู้ตามความเป็นจริง ว่าสิ่งนั้นจริงหรือไม่จริง และมีจริงหรือไม่ ครับ
พระธรรม มีไว้ให้พิสูจน์ได้ตลอดเวลา เปรียบเหมือนการวางทรัพย์สินเงินทองมากมายไว้ที่หน้าประตู ผู้ใดเปิดประตูรับ คือศึกษาพระธรรม ก็ย่อมได้ทรัพย์ที่ประเสริฐและรู้ตามความเป็นจริงว่าพระพุทธเจ้ามีหรือไม่ แต่ผู้ที่ไม่เปิดประตูเพื่อที่จะได้เห็นทรัพย์ พูดอยู่ในขณะที่ประตูปิด ก็ย่อมไม่ได้ทรัพย์เลย ก็ย่อมเสื่อมจากทรัพย์คือประโยชน์ที่ควรได้ ครับ
สมดังพระธรรมคุณที่ว่า พระธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว อันผู้รู้จะพึงเห็นเอง คือผู้ที่ได้ศึกษาพระธรรมย่อมจะได้คำตอบเอง ไม่ใช่เพียงใครกล่าวว่ามีจริงหรือไม่มีจริง เพราะปัญญาเป็นธรรมที่เป็นเฉพาะตน ครับ ซึ่งในเว็บนี้ก็มีพระธรรมส่วนต่างๆ ให้ได้ศึกษา ทั้งในหมวด ฟังธรรม กระดานสนทนาเป็นต้น
ขออนุโมทนาที่เป็นผู้สนใจในพระพุทธศาสนาและต้องการทราบความจริง ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ถ้ายังไม่เข้าใจอะไร ก็ต้องฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เมื่อเข้าใจพระธรรรมไปตามลำดับก็จะเข้าใจได้ว่าผู้ที่ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงแล้วทรงแสดงความจริงให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะถ้าพระองค์ไม่ตรัสรู้และทรงแสดงความจริง สัตว์โลกไม่มีทางที่จะเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ได้เลย จึงควรตั้งต้นที่การค่อยๆ ฟังค่อยๆ ศึกษาพระธรรมไปตามลำดับครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ ยิ่งฟังธรรมเข้าใจก็ยิ่งซาบซึ้งในพระคุณของพระองค์ ผู้ที่ศึกษาธรรมเข้าใจธรรมย่อมรู้ว่าพระพุทธเจ้ามีจริง ค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
สมดังพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า "ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นย่อมเห็นเรา"
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ถ้ามีจริง ทำไมคนทำดี ฝึกฝนตนเองทำดีมาตลอด กลับไม่ได้ดีตอบแทน แต่คนเลวโกงบ้านเมืองกลับได้ดี (ถ้าบอกทำดีแล้วจะได้ผลชาติหน้าละจะทำทำไม ทีทำชั่วกลับได้ผมชาตินี้ เลยงง ว่าความเท่าเทียมไม่มี) แต่ก่อนเชื่อนะศรัทธานะ ปัจจุบัน หมดความเชื่อความศรัทธาการปฏิบัติละ เพราะยิ่งทำยิ่งแย่ ดูๆ เหมือนนิยายเขียนแต่งขึ้นมา
พอมีใครตอบได้ไมว่า ทำไมทำดีมาตลอด กลับไม่ได้ดี ละทีคนทำชั่ว เขากลับอยู่สุขสบายจนตาย
ผู้ที่ท่านได้ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงด้วยความเคารพ ต่างก็กล่าวตรงกันว่า เป็นบุญที่สุดในชาตินี้ที่ได้ฟังคำที่แสดงความจริงที่ไม่เคยรู้มาก่อน คือความเป็นเหตุและผลของสภาพธรรมที่บังคับบัญชาไม่ได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน ต้องเป็นไปอย่างนั้นๆ ดี หรือไม่ดี ล้วนมาจากเหตุทั้งสิ้น ซึ่งเหตุไม่ได้มีเพียงแค่ชาตินี้เท่านั้น ทรงแสดงภพภูมิต่างๆ ที่เกิดของสัตว์โลก กรรมในชาติก่อนๆ ที่จะเกิดต้องมีแน่นอน พี่ น้อง เกิดจากพ่อแม่เดียวกัน มีความต่างกัน ทั้งรูปร่างหน้าตา อุปนิสัย และอายุยาว หรืออายุสั้น ทุกคนในครอบครัวเกิดมาตาดี แต่มีคนเดียวเท่านั้นตาบอด อะไรเป็นเหตุ รวมทั้งโอกาสต่างๆ ที่จะได้รับในช่วงของชีวิตตั้งแต่เกิดจนตายก็ต่างกันไป เพราะอะไร แม้ชาติต่อไปเมื่อสิ้นสุดชาตินี้แล้วก็ไม่ทราบว่ากรรมของชาติไหนจะเป็นผลให้จิตนำเกิดในภพภูมิใด ในพระไตรปิฏกทรงแสดงผลของกรรมทำให้ เศรษฐีเคยมีสมบัติมากมาย แต่เมื่อตายแล้วกรรมก็นำเกิดในอบายภูมิ ได้อัตภาพเป็นสุนัขในบ้านหลังเดิมทันที
สังสารวัฎฎ์อีกยาวนาน ที่ต้องเป็นไปตามผลของกรรม จากเหตุในอดีตมากมาย เหตุปัจจุบันก็จะให้ผลในอนาคต วันนี้ก็จะเป็นอดีตของพรุ่งนี้ ชาตินี้ก็จะเป็นอดีตของชาติหน้า และในความจริงถึงที่สุดคือ ทุกขณะจิตที่เกิดแล้วก็กำลังจะเป็นอดีตของขณะจิตต่อไป ทั้งหมดเป็นธรรม เป็นไปตามเหตุปัจจัย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงที่ละเอียดลึกซึ้ง ความเป็นไปแต่ละขณะจิตที่รู้สิ่งที่ปรากฎสามารถพิสูจน์ความจริงที่ทรงแสดงได้ ผู้ได้ฟังพระธรรมศึกษาความจริงจนมั่นคงก็เป็นเหตุให้ระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามกำลังของความเข้าใจ
ศรัทธาคืออะไร พระพุทธองค์ก็ทรงแสดงไว้อย่างครบถ้วน
ศรัทธา ของปุถุชนยังไม่มั่นคง เปลี่ยนแปลงได้เสมอ ยังหวั่นไหว จากความไม่เข้าใจความจริง เป็นเครื่องเตือนใจว่า จะต้องศึกษาพระธรรมต่อไป จนกว่าศรัทธานั้นจะเป็นอริยทรัพย์ เป็นทรัพย์ภายในที่มีค่า เมื่อประจักษแจ้งความจริง มั่นใจในพระปัญญาตรัสรู้ ไม่มีความสงสัย ในคุณของพระรัตนตรัย เห็นพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เชื่อมั่นว่าพระพุทธเจ้ามีจริงแน่นอน
ชาตินี้มีโอกาสได้ฟังคำของพระพุทธองค์ เป็นโอกาสที่ประเสริฐสะสมความเข้าใจถูก ที่จะนำไปสู่การค่อยๆ คลายความสงสัย
ขออนุโมทนาค่ะ
ศึกษาเพิ่มเติมที่ ...
อริยทรัพย์ภายใน
วิจิกิจฉา
แนวทางเจริญวิปัสสนา ครั้งที่ 269
ยินดีในกุศลจิตครับ