ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยและเป็นที่พึ่งอันสูงสุด เรียนถามท่านผู้รู้ธรรมและจนท.มศพ.ครับ ผมมีเรื่องจะขอความคิดเห็นครับ คือ ผมเองก็ศึกษาพระธรรมของพระพุทธองค์ และก็ปฏิบัติ รักษาศีล ๕ ทุกวันพยามยามไม่ให้ขาด บางวันที่ทำงานอาจมีด่างพร้อยบ้างแต่ไม่ขาดก็วิรัติศีล สักครั้งในวันพระหากมีโอกาสก็รักษาศีลอุโบสถ นั่งภาวนาครับ ผมทำเช่นนี้มาปีกว่าแล้วครับ
๑. ในการที่เราปฏิบัติเช่นนี้ ก็น่าจะทำให้คนรอบตัวเรา เช่น พ่อแม่น่าจะทำบ้างครับ แต่หาไม่ครับ ท่านผู้รู้ธรรมท่านเคยชี้แนะในที่นี้ว่าให้เราปฏิบัติ ผู้อื่นก็จะเห็นกุศลดีงามก็จะปฏิบัติ ตามได้ง่าย แต่ทุกครั้งที่ผมเอ่ยปากชวนก็มักจะบอกกันว่าผมเคร่งเกินไปบ้าง อย่าให้มันมากนัก จะไปบวชแล้วหรือ? และมักมองเห็นว่าการศึกษาธรรมเป็นเรื่องของเพศบรรพชิต อะไรทำนองนี้ แต่ผมก็บอกว่าผมไม่ใช่เคร่งมากนะวิถีนี้ถือว่าสายกลางนะไม่ได้เคร่งเลยและผมยังไม่ได้คิด บวชด้วย เพราะยังไม่แน่จริงที่จะรักษาศีลถึง ๒๒๗ หากบวชก็จะบาปมากเปล่าๆ และศีล ๕ ก็ ถือเป็นข้อปกติของมนุษย์ครับ
๒. และก็อีกเรื่องท่านบอกว่านิพพานเป็นเรื่องของไกลตัว คนสมัยพุทธกาลเขามีบุญเขาถึงบรรลุอรหันต์กันง่าย ผมคิดว่าการจะสำเร็จอะไรสักอย่างก็ต้องศึกษาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนตั้งแต่ขั้นพื้นฐานจนสูงสุด ซึ่งก็คือ ปริยัติ ปฏิบัติ และสุดท้ายปฏิเวธ ตามที่ท่านผู้รู้ธรรมที่นี่เคยแนะนำ เช่น คนจะสอบเข้ามหาลัยเป็นผลสำเร็จได้ ก็ต้องศึกษาตั้งแต่ประถม มัธยมต้น ปลาย กว่าจะมาสอบแข่งขันจนเข้ามหาลัยได้มันยากนะครับ แต่ก็ไม่เกินความสามารถของมนุษย์ ผมว่านิพพานก็เช่นกัน ต้องปฏิบัติและศึกษาเท่านั้นจะจะสำเร็จใช่หรือไม่ครับ? หากเราอธิฐานว่าชาตินี้จะขอตั้งใจศึกษาและปฏิบัติให้เข้าถึงฝั่งพระนิพพาน ก็เหมือน การตั้งหางเสือให้เรือวิ่งเข้าสู่กระแสพระนิพพานแม้ชาตินี้จะไม่ได้ชาติต่อๆ ไปในอันไกล้ก็น่าจะ ได้สักชาติเพราะดวงจิตได้สะสมกุศลมาโดยตลอดครับ หากไม่ได้คิดที่จะเข้าถึง หรือคิดว่ายาก ว่าไกลตัวเราก็ดำเนินชีวิตแบบไม่มีหางเสือ ก็ไม่รู้ว่าจะเข้าสู่กระแสพระนิพพานเมื่อไหร่ เกิดเวียนว่ายอีกกี่แสนชาติ! ผมก็อธิบายเช่นนี้แต่ก็ไร้ผล ไม่รู้จะทำงัย ทำไมคนส่วนใหญ่ถึงคิดเช่น นั้นครับ
ขอท่านช่วยหากุศโลบายที่ดีแก่ผมด้วยครับ
ขออนุโมทนาครับ
อย่าเพิ่งห่วงหรือกังวลหรืออธิษฐานถึงพระนิพพานในชาตินี้ หรือชาติไหนๆ เลย ผลย่อมมีมาสมควรแก่เหตุ การจะได้ผลใหญ่ ก็ต้องสร้างเหตุใหญ่เช่นกัน แค่เพียงว่า ทุกสิ่งเป็นธรรม ที่เรียกว่า ตัวเรา ก็เป็นธรรม และก็ไม่มีตัวตนเสียด้วย สภาพธรรมล้วนๆ แค่นี้นะคะ เรายังไม่เข้าใจกันเลย แค่ให้เรายอมรับว่าสภาพธรรมที่ปรากฏแก่เรา ทั้งหกทวาร เมื่อเกิดแล้วก็ดับแล้ว ไม่มีอะไรเหลืออยู่เลย แค่นี้ เราก็รับกันไม่ได้แล้ว ยังไม่เข้าใจสภาพของ จิต เจตสิก รูป จะเข้าใจและเข้าถึงสภาพของพระนิพพานได้อย่างไร คุณเจริญในธรรมลองเอาเรื่องราวต่างๆ ออกเสียสักหน่อย ทีละน้อย และใส่ใจกับสภาพธรรมมากขึ้น ถ้าเราพยายามเข้าใจสิ่งเหล่านี้ ที่เป็นสภาพธรรม เราจะใส่ใจเรื่องของบัญญัติและเรื่องราวน้อยลง จะดีกว่านะคะ
คลิกอ่านที่นี่นะครับ --> __อธิษฐานขอถึงนิพพาน จะเป็นบารมีไหม__
ปริยัติ คือการศึกษาเรื่องราวของสภาพธรรมะ ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การฟัง การสนทนาเพื่อเข้าใจสภาพธรรมะจริงๆ ที่ปรากฏตามทวารต่างๆ ปริยัติต้องเพื่อปฏิบัติ ปริยัติอย่างไร ปฏิบัติต้องไม่ผิดจากปริยัติ เช่น โทสะ เป็นธรรมะ ปริยัติกล่าวว่าโทสะเป็นธรรม เมื่อเป็น ธรรม ก็ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล ตัวตน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา เมื่อโทสะปรากฏขึ้น ศึกษาโทสะที่เกิดขึ้น ว่าไม่ใช่เรา เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ขณะที่ศึกษาสภาพโทสะที่กำลัง ปรากฏนั้น เป็นการปฏิบัติธรรม ธรรมมีจิต ๑ (จิตมี ๘๙ ประเภท) เจตสิก ๑ (เจตสิก มี ๕๒ ประเภท) รูป ๑ (รูปมี ๒๘) และนิพพาน ๑
เมื่อปัญญาได้อบรมเจริญขึ้น สติและปัญญาเกิดบ่อยๆ เนืองๆ ปัญญาเป็นสังขารธรรมย่อมน้อมนำให้ถึงนิพพานได้ ผู้ศึกษาย่อมเข้าใจถึงความลุ่มลึก และความเป็นสภาพธรรมที่หลอกลวงของอกุศลธรรมต่างๆ จึงได้กล่าวว่านิพพานเป็นเรื่องไกลตัวมาก เพราะอกุศลเกิดบ่อยมากมายจริงๆ ทั้งที่รู้จัก เพราะได้เข้าใจบ้าง จากการศึกษาสภาพธรรมที่ปรากฏ และอกุศลที่ปรากฏอยู่เสมอโดย ไม่รู้จักตัวของอกุศลนั้นๆ เลย ดังนั้นผู้ที่รู้ว่าแม้สภาพของสังขารธรรมต่างๆ ที่ปรากฏยังไม่เข้าถึง คงไม่ต้องพูดถึงนิพพานซึ่งเป็นเรื่องไกลตัวปริยิติต้องพร้อมด้วยความเป็นพหุสุต ขอให้ฟังมากๆ พิจารณาสิ่งที่ได้ฟังมากๆ โดยเฉพาะการปฏิบัติ ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดจริงๆ