๔. ขัตติยสูตร ว่าด้วยผู้ประเสริฐสุด
โดย บ้านธัมมะ  28 ส.ค. 2564
หัวข้อหมายเลข 36175

[เล่มที่ 24] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 83

๔. ขัตติยสูตร

ว่าด้วยผู้ประเสริฐสุด


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 24]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 83

๔. ขัตติยสูตร

ว่าด้วยผู้ประเสริฐสุด

[๓๐] เทวดานั้น ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วแล ได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า

กษัตริย์ประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๒ เท้า โคมีกำลังประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๔ เท้า ภรรยาที่เป็นนางกุมารีประเสริฐสุดกว่าภรรยาทั้งหลาย บุตรใดเป็นผู้เกิดก่อน บุตรนั้นประเสริฐสุดกว่าบุตรทั้งหลาย.

[๓๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า

พระสัมพุทธเจ้าประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๒ เท้า สัตว์อาชาไนยประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๔ เท้า ภรรยาที่ปรนนิบัติดี ประเสริฐสุดกว่าภรรยาทั้งหลาย บุตรใดเป็นผู้เชื่อฟัง บุตรนั้นประเสริฐสุดกว่าบุตรทั้งหลาย.


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 84

อรรถกถาขัตติยสูตร

พึงทราบวินิจฉัยในขัตติยสูตรที่ ๔ ต่อไป :-

บทว่า ขตฺติโย ทิปทํ แปลว่า พระราชาประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๒ เท้า.

บทว่า โกมารี ความว่า เทวดากล่าวว่า ภรรยาที่เป็นกุมารีประเสริฐสุดกว่าภรรยาทั้งหลาย เพราะถือเอาในเวลาที่เธอเป็นกุมารี (หญิงสาว).

บทว่า ปุพฺพโช ความว่า บุตรคนใดเกิดก่อนเป็นคนบอดข้างเดียวก็ตามหรือบุตรที่เป็นง่อย เป็นต้นก็ตาม คนใดเกิดก่อน คนนี้แหละ ชื่อว่าประเสริฐสุด.

ในวาทะของเทวดานี้ ก็เพราะสัตว์ ๒ เท้าทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นนี้ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๒ เท้าทั้งหมด ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระคาถาตอบ.

พึงทราบวินิจฉัยในคาถาที่ ๒ ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประเสริฐสุดกว่าสัตว์ทั้งหมด ทั้งสัตว์มีเท้าและไม่มีเท้า แม้ก็จริง ถึงอย่างนั้น พระองค์เมื่อจะทรงอุบัติย่อมทรงอุบัติในสัตว์ ๒ เท้าเท่านั้น. เพราะฉะนั้น จึงตรัสว่า สมฺมาสมฺพุทฺโธ ทิปทํ เสฏฺโ แปลว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐกว่าสัตว์ ๒ เท้า ดังนี้.

ความที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นเป็นผู้ประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๒ เท้าทั้งหมดนั้น ไม่คลาดเคลื่อนแล้ว.

บทว่า อาชานีโย อธิบายว่า ช้างหรือสัตว์ทั้งหลายมีม้า เป็นต้นก็ตามที สัตว์ตัวใดตัวหนึ่งย่อมรู้ซึ่งเหตุ สัตว์อาชาไนยนี้จัดเป็นสัตว์ประเสริฐสุดกว่าสัตว์ ๔ เท้า เหมือนม้าชื่อว่า คุฬวรรณของพระราชาพระนามว่า กูฎกรรม.

ได้ยินว่า พระราชาเสด็จออกทางทวารด้านปราจีน ทรงดำริว่า เราจักไปเจติยบรรพต พอเสด็จมาถึงฝั่งแม่น้ำกลัมพะ. ม้าหยุดอยู่ที่ฝั่ง ไม่ปรารถนา


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 30 ม.ค. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑ - หน้า 85

เพื่อจะข้ามน้ำไป. พระราชาตรัสเรียกนายอัสสาจารย์มาแล้วตรัสว่า โอหนอม้าอันท่านฝึกดีแล้ว ไม่ปรารถนาจะข้ามน้ำ ดังนี้.

นายอัสสาจารย์กราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ ม้าอันข้าพระองค์ฝึกดีแล้ว ก็เพราะม้านั้น คิดว่าถ้าเราจักข้ามน้ำไป ขนหางจักเปียก เมื่อขนหางเปียกแล้ว ก็พึงทำน้ำให้ตกไปที่พระราชา ดังนี้ จึงไม่ข้ามไป เพราะกลัวน้ำจะตกไปที่สรีระของพระองค์ด้วยอาการอย่างนี้ ขอพระองค์จงให้ราชบุรุษถือขนหางม้าเถิด. พระราชาได้ให้กระทำแล้วอย่างนั้น ม้าจึงข้ามไปโดยเร็วจนถึงฝั่งแล้วแล.

บทว่า สุสฺสูสา ความว่า เชื่อฟังด้วยดี อธิบายว่า ภรรยาที่ถือเอาแม้ในเวลาที่เป็นกุมารี หรือภายหลังมีรูปงาม หรือไม่งามจงยกไว้ ภรรยาใดเชื่อฟังสามี ย่อมบำเรอ (รับใช้) ย่อมให้สามีชอบใจ ภรรยานั้นประเสริฐสุดกว่าภรรยาทั้งหลาย.

บทว่า อสฺสโว แปลว่า เชื่อฟัง อธิบายว่า บุตรคนใด พี่ก็ตาม น้องก็ตาม คนใดย่อมฟัง ย่อมรับคำของมารดาบิดา เป็นผู้สนองตามโอวาท บุตรนี้ประเสริฐกว่าบุตรทั้งหลาย ดูก่อนเทวดา ประโยชน์อะไรเล่าด้วยบุตรอื่นที่เป็นโจรมีการกระทำตัดช่องย่องเบา เป็นต้น ดังนี้แล.

จบอรรถกถาขัตติยสูตรที่ ๔