ช่วงนี้มีจัดนิทรรศการ "สัทธรรมปุณฑริกสูตร สารแห่งสันตภาพและการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว" ได้ประชาสัมพันธ์ไปตามหน่วยงานต่างๆ โดยเฉพาะสถานศึกษา เพื่อให้เข้าชม ระหว่างวันที่ 3 พ.ค. -28 มิ.ย. 60 ที่ สมาคมสร้างคุณค่าในประเทศไทย จ.นนทบุรี ออกค่าใช้จ่ายให้ทั้งหมด ผมขอเรียนถามว่า สัทธรรมปุณฑริกสูตร คือ พระสูตรในพระไตรปิฎก หรือครับ แล้วในพระสูตร ว่าด้วยเรื่องเกี่ยวกับอะไรครับ ขอบพระคุณครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สัทธรมปุณฑริกสูตร เป็นคัมภีร์ในฝ่ายมหายาน ครับ ซึ่งไม่มีพระสูตรและคำสอนในพระสูตรนี้ ในพระไตรปิฎกในฝ่ายเถรวาท ครับ
กระผมขอนำความคิดเห็นที่คิดว่ามีประโยชน์ในเรื่องของคัมภีร์ สัทธรมปุณฑริกสูตร มาแสดงดังนี้ ครับ
เขียนโดย คุณ ผู้ร่วมเดินทาง เชิญอ่าน ครับ
ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยนะครับในเรื่องนี้ เนื่องจากผมสนใจศึกษาแนวทางของศาสนาพุทธนิกายเซ็น (เซ็น) นี้มาก่อนหน้านี้จากหนังสือทั้งในประเทศและต่างประเทศ
เนื่องจากเซ็นเป็นลัทธิที่ผสมผสานเอาคำสอนของศาสนาพุทธนิกายมหายานและปรัชญาของเต๋ามาหล่อหลอมรวมกัน จึงมีคำสอนที่เกี่ยวข้องในหลักการบางเรื่องตามคำสอนของพุทธศาสนาในพระไตรปิฎกอยู่ด้วย
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือ การยกเอาพระสูตรสัทธรมปุณฑริกสูตร ที่ว่าด้วยปัญหาที่ท้าวมหาพรหมทูลถามพระพุทธองค์ความว่า สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ ภูเขาคิชกูฎ ท้าวมหาพรหมได้มาถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชา แล้วนั่งลงกราบทูลให้ทรงแสดงธรรม
พระตถาคตจึงทรงแสดงโดยการชูดอกไม้ขึ้น ณ ท่ามกลางสันนิบาต แล้วมิได้ตรัสอะไร ในขณะนั้นปวงเทพและมนุษย์ทั้งหลายต่างไม่เข้าใจในความหมาย มีแต่พระมหากัสสปะยิ้มน้อยๆ อยู่
พระพุทธองค์จึงทรงตรัสว่า ตถาคตมีธรรมจักษุอันถูกตรงพระนิพพานและจิตที่เยี่ยมภาวะที่แท้จริงย่อมไม่มีลักษณะ มอบให้แก่มหากัสสปะแล้ว
จากข้อความที่ปรากฏในพระสูตรนี้ จึงเป็นที่มาของแนวคิดของเซ็นในการเข้าถึงธรรมด้วยวิธีการที่ไม่อาศัยคัมภีร์ ไม่อาศัยตัวหนังสือหรือคำพูด แต่มุ่งตรงไปยังแก่นแท้ในจิตของมนุษย์ทั้งหลาย
โดยกล่าวว่าทุกคนมีจิตที่เป็นพุทธะอยู่ในตัวอยู่แล้ว แต่ถูกบิดบังด้วยกิเลส ตัณหา และอวิชชา เซ็นจึงสอนให้เข้าถึงการบรรลุธรรมหรือที่เรียกกันว่า "ซาโตริ" คือการรู้แจ้งความเป็นจริงในสรรพสิ่งอันเป็นหนึ่งเดียว
คือ ความว่าง หรือ ความปล่อยวางจากความยึดถือในตัวตนและสิ่งต่างๆ ปล่อยวางจากกรอบของสมมติบัญญัติที่มนุษย์สร้างขึ้นมา เป็นการหลุดพ้นจากพันธนาการต่างๆ และเข้าถึงซึ่งสภาวะแห่งพุทธะนั่นเอง
ด้วยหลักการและแนวทางการสอนของเซ็นที่ไม่เน้นคัมภีร์และคำพูด แต่จะเน้นไปที่การทำลายกรอบแห่งความคิดของมนุษย์ที่ติดยึดอยู่ โดยการนิยมสร้างปริศนาธรรมขึ้นเพื่อกระตุ้นให้ผู้ขบคิดหรือพิจารณาปริศนาธรรมนั้นๆ ไม่ยึดถือในความคิดเดิมๆ
แต่ให้กลับมาอยู่กับสภาวะปัจจุบันโดยเห็นว่าสรรพสิ่งล้วนแต่เชื่อมโยงเป็นหนึ่งเดียวและปราศจากการยึดถือใดๆ
ตัวอย่างปริศนาธรรม เช่น
ศิษย์ถามว่า พระโพธิธรรม (สังฆปรินายกของเซ็น) เดินทางมาที่นี้ด้วยวัตถุประสงค์ใด
อาจารย์ตอบว่า โอ้...กอไผ่ต้นนี้ช่างสูงตระหง่านเสียจริงๆ
เห็นได้ว่าคำตอบของอาจารย์ไม่สัมพันธ์กับคำถามเลย แต่อาจอธิบายว่าเป็นการกระตุ้นให้ศิษย์ออกไปจากความคิดที่จะเป็นเหตุเป็นผลตามความรู้เดิมๆ
และพยายามให้ย้อนกลับมาพิจารณาถึงความที่สรรพสิ่งเป็นหนึ่งเดียวกันและเชื่อมโยงกันในสภาวะปัจจุบันว่าพระโพธิธรรมเดินทางมาก็เพื่อสอนให้รู้ถึงความเป็นหนึ่งเดียวของสรรพสิ่งทั้งหลาย แม้แต่กอไผ่ที่ปรากฏอยู่ต่อหน้าก็เช่นกัน เป็นต้น
เซ็นในสาขารินไซ นิยมยกปริศนาธรรมหรือที่เรียกกันว่า "โกอาน" ให้ลูกศิษย์พิจารณาขบคิด ตัวอย่างปริศนาธรรม เช่น
จงแสดงใบหน้าที่แท้จริงของท่านก่อน
ท่านจะเกิดอะไรคือเสียงของการตบมือข้างเดียว
การไขปริศนาธรรมนี้ก็เพื่อที่จะให้ศิษย์ได้หลุดพ้นไปจากกรอบความคิดและเหตุผลธรรมดาซึ่งเป็นความคิดที่ถูกล้อมกรอบด้วยอวิชชา
ซึ่งหากผู้ใดเข้าใจกระจ่างแจ้งในปริศนาธรรมนั้นแล้วก็จะเข้าสู่สภาวะ "ซาโตริ" ซึ่งเป็นการบรรลุธรรมโดยฉับพลัน
จะเห็นได้ว่า แนวทางของเซ็นนอกกรอบเหตุและผลของความคิดมนุษย์ในสังคมต่างๆ การสอนจึงไร้รูปแบบ และเน้นวิธีการที่ถึงลูกถึงคน บางทีอาจารย์ถึงกับลงไม้ลงมือทุบตีศิษย์เพื่อให้กลับมาอยู่กับสภาวะปัจจุบันและให้ทิ้งความคิดต่างๆ ไปเสีย
มีถ้อยคำสนทนาต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้พิจารณาได้แง่คิดที่น่าสนใจมากมาย ตัวอย่างเช่น มีลูกศิษย์ ๒ คน เถียงกันขณะที่มองไปยังธงที่โบกสะบัดอยู่หน้าวัด
ศิษยคนหนึ่งกล่าวว่า เธอเห็นธงที่สะบัดไปมาไหม
ศิษย์อีกคนบอกว่า ธงไม่ได้สะบัด แต่ลมต่างหากสะบัดพัดไปมา
อาจารย์ได้ยินจึงเอ่ยขึ้นว่า ธงไม่ได้สะบัด ลมไม่ได้พัด แต่ใจเธอต่างหากที่สะบัดไปมา
เนื่องจากแนวคิดและคำสอนของเซ็นนั้นมีลักษณะที่โดดเด่นและแฝงไปด้วยปรัชญาจึงเป็นที่นิยมในหมู่นักศึกษาที่มีความรู้และนักปรัชญามาก จึงอาจทำให้เห็นไปได้ดังที่คุณบ้านดอยกล่าวว่า คำสอนเซ็นเปรียบเสมือนคำสอนระดับด็อกเตอร์ของพุทธศาสนา
แต่ก่อนที่ผมยังไม่ได้มาศึกษาที่มูลนิธิฯ ผมก็คิดเช่นเดียวกับคุณบ้านดอยว่า แนวทางของเซ็นนี้น่าจะเป็นคำสอนของพุทธศาสนาระดับสูงทีเดียว
เนื่องจากมีแนวทางปฏิบัติที่ปล่อยวางอย่างอุกฤษ ไม่เน้นไปที่พิธีรีตรองอะไร มุ่งตรงไปแนวคิดของการปล่อยวางเพียงเรื่องเดียว เพื่อให้บรรลุสัจธรรมเข้าสู่จิตเดิมแท้ของเราที่มีอยู่
แต่หากพิจารณาโดยละเอียดจริงๆ แล้ว เราจะเห็นความแตกต่างระหว่างแนวทางการสอนของเซ็นและคำสอนของพุทธศาสนาในพระไตรปิฎกเป็นอย่างมากทีเดียวครับ
ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือพระพุทธศาสนาเน้นเหตุและผลอธิบายได้ตามความเป็นจริง
ถามอะไรขึ้นมาก็ย่อมต้องตอบได้ด้วยเหตุและผลจนเข้าใจตามความเป็นจริง ไม่มีปริศนาธรรมที่ให้ไปนึกคิดพิจารณาเองโดยให้ละทิ้งเหตุและผลเพื่อไม่ให้ยึดมั่น ถือมั่น แต่ใช้เหตุและผลทำให้ละความยึดมั่นถือมั่น
ศาสนาพุทธสอนให้เราทำความเข้าใจไปเป็นลำดับ ไม่มีการก้าวกระโดดข้ามขั้น การศึกษาต้องเป็นไปตามขั้นอย่างชัดเจนตั้งแต่ ปริยัติ ปฏิบัติ ปฎิเวธ
ดังนั้น การบรรลุธรรมโดยฉับพลันย่อมไม่มี ตัวอย่างที่ปรากฏว่ามีท่านผู้บรรลุธรรมด้วยการฟังพระธรรมเพียงครั้งเดียวนั้นหากไม่ศึกษาให้ดีแล้วจะเข้าใจไปได้ว่าเป็นการบรรลุธรรมโดยฉับพลันได้
แต่จริงๆ แล้วทุกท่านที่จะบรรลุธรรมได้ ย่อมต้องสะสมปัญญามาก่อนทั้งนั้น เพียงแต่เรามายึดเอาเฉพาะตอนที่ผลจะเกิดเท่านั้น ไม่ได้ย้อนไปดูว่าแต่ละท่านนั้นสะสมเหตุอะไรมานานเท่าไหร่แล้ว
พุทธศาสนาเน้นที่ปัญญาและต้องเป็นปัญญาที่มั่นคงในสัจธรรมตามลำดับ ดังนั้นการพิจารณาปริศนาธรรมเพื่อจะให้ปล่อยวาง หรือ ให้เชื่อว่าไม่มีตัวตนโดยยังไม่มีปัญญาที่แท้จริงแล้ว ย่อมไม่ส่งผลใดๆ แน่
นอกจากจะไม่เข้าใจธรรมะจริงๆ แล้ว คงไม่ต้องกล่าวว่าจะบรรลุเห็นสัจจธรรมใดๆ ได้เลย การที่จะปล่อยวางทุกสิ่งทุกอย่างได้โดยยังไม่เข้าใจอะไรเลยนั้นย่อมเป็นไปไม่ได้
ถ้อยคำในพุทธศาสนาในแต่ละคำ มีการอธิบายไว้อย่างละเอียดชัดเจนไม่ว่าจะเป็นคำว่า พุทธะ ธรรมะ จิต ความสงบ การปล่อยวาง ความว่าง ความไม่มีตัวตน กิเลส ตัณหา อวิชชา ฯลฯ
การเข้าใจถ้อยคำความหมายต่างๆ ก็เป็นขั้นตอนแรกที่จะนำไปสู่ความเข้าใจสภาพที่เกิดขึ้นปรากฏอย่างแท้จริง ดังนั้น หากไม่มีการอธิบายให้เข้าใจถูกต้องตั้งแต่ต้นแล้ว ย่อมทำให้เกิดความนึกคิดของตนเองได้ และย่อมเสี่ยงต่อการเข้าใจไปเองว่า ได้รู้แจ้งความจริงแล้ว
ดังนั้น พุทธศาสนาจึงเน้นที่คำสอนที่พระพุทธองค์ทรงแสดงเป็นเวลาถึง ๔๕ พรรษา ซึ่งในภายหลังได้รวบรวมเป็นพระไตรปิฎกและอรรถกถาให้ผู้ศึกษาได้ทำความเข้าใจโดยละเอียดเป็นลำดับ ซึ่งเมื่อเข้าใจอย่างถ่องแท้แล้ว ย่อมรู้จักสภาวะอันแท้จริงตามคำสอนของพระพุทธองค์
ปัญญาที่เกิดจากความเข้าใจดังกล่าว จึงจะเริ่มทำหน้าที่ขัดเกลาความเห็นผิดต่างๆ และเพิ่มความรู้แจ้งแทงตลอดในสัจธรรม อันนำมาสู่ความหลุดพ้นจากกิเลสอย่างแท้จริง
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง มีมาก ตลอด ๔๕ พรรษา นับคำไม่ถ้วน เป็นประโยชน์อย่างยิ่ง สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ฟังได้ศึกษา ดังนั้น เมื่อรู้ว่า คำสอนใดที่ไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ไม่ใส่ใจสนใจที่จะฟังที่จะศึกษา เพราะไม่ทำให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงเลย แต่มีความจริงใจ มั่นคงที่จะศึกษาคำจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยความละเอียด รอบคอบ ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง ต่อไป เริ่มตั้งแต่คำว่า ธรรม คือ สิ่งที่มีจริงๆ เพราะเหตุว่า ถ้าไม่ฟังคำนี้ให้เข้าใจก่อน จะฟังอย่างอื่นต่อไปก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
พระพุทธเจ้าเป็นหนึ่งในโลก เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ไม่มีใครยิ่งกว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นหนึ่ง ผู้ใดประพฤติตามพระธรรมคำสอนสามารถออกจากทุกข์ได้จริงค่ะ
ชีวิตนี้ทั้งชีวิต ก็ศึกษาพระธรรมของพระพุทธเจ้าไม่หมด แต่ละนิกาย แต่ละฝ่ายก็กล่าวอ้างว่านี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ขอขอบพระคุณครับที่ช่วยอธิบาย ผมขอเพิ่มเติมสักเล็กน้อยจากการที่ได้เป็นสมาชิกของชมรมบ้านธัมมะ คือ ความคิดเห็นของผมจะถูกหรือไม่ตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ผมก็ยังต้องฟังพระธรรมและศึกษาพระธรรมต่อไป แต่สติปัญญาทำหน้าที่ไปเป็นลำดับแล้ว ทำให้ผมพิจารณาความจริงของชีวิตได้พอสมควร สามารถเผชิญกับความทุกข์ต่างๆ ได้เป็นอย่างดี โดยไม่ต้องไปทำอะไรต่ออะไร ที่ใช้ คำว่า ไปปฏิบัติธรรมที่วัดหรือสำนักปฏิบัติธรรม เพราะการได้เข้าใจคำแต่ละคำในพระพุทธศาสนา ทำให้เราได้เข้าใจความจริงของชีวิตได้จริงๆ และสามารถดำรงชีวิตได้อย่างเป็นปกติสุขได้จริงๆ ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ขออนุโมทนาครับ
อนุโมทนาสาธุครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ