[เล่มที่ 49] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 30
๔. ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ
ว่าด้วยบุคคลไม่ตระหนี่
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 49]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 30
๔. ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ
ว่าด้วยบุคคลไม่ตระหนี่
[๘๙] บุคคลผู้ไม่ตระหนี่ ควรทำเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือปรารภถึงบุรพเปตชน เทวดาผู้สิงอยู่ในเรือน หรือท้าวมหาราชทั้ง ๔ ผู้รักษาโลก ผู้มียศ คือ ท้าวธตรฐ ๑ ท้าววิรุฬหก ๑ ท้าววิรูปักษ์ ท้าวกุเวร ๑ ให้เป็นอารมณ์แล้ว พึงให้ทาน ท่านเหล่านั้นเป็นอันบุคคลได้บูชาแล้ว และทายกก็ไม่ไร้ผล ความร้องไห้ ความ เศร้าโศก หรือความร่ำไห้อย่างอื่นไม่ควรทำเลย เพราะความร้องไห้เป็นต้นนั้น ย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ญาติทั้งหลายคงตั้งอยู่ตามธรรมดาของตนๆ อันทักษิณาทานนี้ที่ท่านเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในสงฆ์ให้แล้ว ย่อมสำเร็จประโยชน์แก่บุรพเปตชนโดยทันทีสิ้นกาลนาน.
จบ ปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุที่ ๔
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 31
อรรถกถาปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุที่ ๔
พระศาสดา เมื่อประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหาร กรุงสาวัตถี ทรงปรารภทานของท่านอนาถปิณฑิกคฤหบดี ได้ตรัสคำนี้ เริ่มต้นว่า ยงฺกิญฺจารมฺมณํ กตฺวา ดังนี้ :-
ได้ยินว่า พี่เลี้ยงของเด็กหญิง ธิดาของลูกสาวท่านอนาถปิณฑิกคฤหบดี ได้ให้ตุ๊กตาแป้งด้วยสั่งว่า นี้ลูกสาวของเจ้า เจ้าจงอุ้มมันไปเล่นเถอะ. เด็กหญิงนั้นเกิดความเข้าใจในตุ๊กตาแป้งนั้นว่า เป็นลูกสาว. ครั้นวันหนึ่งเมื่อเธออุ้มตุ๊กตานั้นเล่น ตุ๊กตาตกแตก เพราะความเลินเล่อ. แต่นั้นเด็กหญิงจึงร้องร่ำไห้ ลูกสาวเราตายแล้ว. เธอกำลังร้องไห้อยู่ คนในเรือนบางคนก็ไม่สามารถจะชี้แจงให้เธอเข้าใจได้. ก็สมัยนั้น พระศาสดาประทับนั่งบนปัญญัตาอาสน์ ในเรือนของท่านอนาถปิณฑิกคฤหบดี. และท่านมหาเศรษฐี ก็ได้นั่งอยู่ ณ ที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า. หญิงพี่เลี้ยง ได้พาเด็กหญิงนั้นไปหาท่านเศรษฐี. ท่านเศรษฐีเห็นเข้า จึงกล่าวว่า เด็กหญิงนี้ร้องไห้เพื่ออะไรกัน. พี่เลี้ยงได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ท่านเศรษฐีแล้ว. เศรษฐีได้ให้เด็กหญิงนั้นนั่งบนตักแล้วให้เข้าใจว่า ฉันจะให้ทานอุทิศแก่ลูกของหนู ดังนี้แล้วจึงกราบทูลแต่พระศาสดาว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ปรารถนาจะให้ทานอุทิศแก่ ตุ๊กตาแป้ง ซึ่งเป็นลูกสาวของหลานของข้าพระองค์, ขอพระองค์พร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป จงรับทานนั้นของข้าพระองค์ในวันพรุ่งนี้เถิด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์ด้วยดุษณีภาพ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 32
ครั้นในวันที่สอง พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุ ๕๐๐ รูป เสด็จไปยังเรือนของท่านเศรษฐี เสวยพระกระยาหารแล้ว เมื่อจะทำอนุโมทนา จึงได้ภาษิตพระคาถาเหล่านี้ว่า :-
บุคคลผู้ไม่ตระหนี่ ควรทำเหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ ปรารภถึงบุรพเปตชน เทวดาผู้สิงอยู่ในเรือน หรือท้าวมหาราชทั้ง ๔ ผู้รักษาโลก ผู้มียศ คือท้าวธตรฐ ๑ วิรุฬหก ๑ วิรูปักษ์ ๑ และท้าวกุเวร ๑ ให้เป็นอารมณ์แล้วพึงให้ทาน ท่านเหล่านั้นเป็นผู้อันบุคคลบูชาแล้ว ทั้งทายกก็ไม่ไร้ผล ความร้องไห้ ความเศร้าโศกหรือความร่ำไห้อย่างอื่น ไม่ควรทำเลย เพราะความร้องไห้ เป็นต้นนั้น ไม่เป็นประโยชน์แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว ญาติทั้งหลายคงตั้งอยู่ตามธรรมดาของตนๆ อันทักษิณาทานนี้ที่ท่านเข้าไปตั้งไว้ดีแล้วในพระสงฆ์ ให้แล้ว ย่อมสำเร็จประโยชน์ โดยฉับพลันแก่บุรพเปตชนนั้นสิ้นกาลนาน.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยงฺกิญฺจารมฺมณํ กตฺวา ความว่า ปรารภ คือ อุทิศ เหตุอย่างใดอย่างหนึ่ง ในบรรดาเหตุมีเหตุที่เป็นมงคลเป็นต้น. บทว่า ทชฺชา แปลว่า พึงให้. บทว่า อมจฺฉรี ความว่า ชื่อว่า อมัจฉรี เพราะไม่มีความตระหนี่ อันมีลักษณะไม่อดทนต่อสมบัติของตนที่ทั่วไปกับผู้อื่น, อธิบายว่า ผู้มีปกติบริจาค ทำ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 33
มลทินแห่งจิตมีมัจฉริยะและโลภะเป็นต้น ให้ห่างไกลแล้ว พึงให้ทาน. บทว่า ปุพฺพเปเต จ อารพฺภ ได้แก่ อุทิศบุรพเปตชน. มีวาจาประกอบความว่า บทว่า วตฺถุเทวดา ปรารภเทวดาผู้สิงอยู่ในสถานที่ต่างๆ มีที่เรือนเป็นต้น. ด้วยคำว่า อถ วา นี้ ทรงแสดงว่า ปรารภเปตชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง มีเทวดาและมนุษย์เป็นต้น แม้เหล่าอื่นแล้ว พึงให้ทาน.
ในคำเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงแสดงเทพผู้ปรากฏบางพวกในบรรดาเทพเหล่านั้นก่อน จึงตรัสว่า จตฺตาโร จ มหาราเช เมื่อจะระบุเทพเหล่านั้น โดยชื่ออีก จึงตรัสคำมีอาทิว่า กุเวรํ ดังนี้. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กุเวรํ ได้แก่ท้าวเวสสวรรณ. บทว่า ธตรฏํ เป็นต้น เป็นชื่อของท้าวโลกบาลทั้ง ๓ ที่เหลือ. บทว่า เต เจว ปูชิตา โหนฺติ ความว่า ก็ท้าวมหาราชเหล่านั้น และบุรพเปตชนและวัตถุเทวดา เป็นผู้อันเขานับถือด้วยการทำอุทิศ. บทว่า ทายกา จ อนิปฺผลา ความว่า และทายกผู้ให้ทานย่อมไม่ไร้ผล เพราะเหตุเพียงการอุทิศแก่เปตชนเหล่าอื่น ทั้งเป็นผู้มีส่วนแห่งผลทานของตนเหมือนกัน.
บัดนี้ เพื่อจะทรงแสดงว่า การร้องไห้เป็นต้นนั้น ของเหล่านั้น ร้องไห้ ร่ำไร เศร้าโศก เพราะญาติของตนตายไป ไม่มีประโยชน์ เป็นแต่เพียงทำตนให้เดือดร้อนเท่านั้น จึงตรัสคาถาว่า น หิ รุณฺณํ วา ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รุณฺณํ แปลว่า ร้องไห้ คือหลั่งน้ำตา. บาลีที่เหลือพึงนำมาเชื่อเข้าด้วยบทว่า น หิ กาตพฺพํ.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 34
บทว่า โสโก ได้แก่ ความเศร้าโศก คือ ความเร่าร้อนภายในใจ, อธิบายว่า ความหม่นไหม้ในภายใน. บทว่า ยา จญฺา ปริเทวนา ได้แก่ ความพิไรรำพันอย่างอื่นจากการร้องไห้และความเศร้าโศกอย่างหนึ่ง ได้แก่ การบ่นเพ้อด้วยวาจามีอาทิว่า ลูกคนเดียวอยู่ไหน? อธิบายว่า แม้การบ่นเพ้อด้วยวาจานั้นก็ไม่ควรทำ. วา ศัพท์ในบททั้งปวงเป็นวิกัปปัตถะ แปลว่า บ้าง, หรือ, ก็ดี,. บทว่า น ตํ เปตสฺส อตฺถาย ความว่า เหตุมีอาทิว่า การร้องไห้ก็ดี ความเศร้าโศกก็ดี การร่ำไรก็ดี ทั้งหมดนั้นไม่มีประโยชน์ ไม่มีอุปการะแก่ผู้ละไปแล้ว คือ ผู้ตายไปแล้ว ฉะนั้น เหตุมีการร้องไห้เป็นต้นนั้น จึงไม่ควรทำ, อธิบายว่า แม้ถึงอย่างนั้น พวกญาติก็ไม่รู้เรื่องด้วยคงดำรงอยู่อย่างนั้น.
พระคาสดาครั้นทรงแสดงถึงเหตุแห่งทุกข์ธรรมมีการร้องไห้เป็นต้นอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะทรงแสดงทักษิณาที่ทายกปรารภบุรพเปรตเป็นต้น แล้วถวายแด่พระสงฆ์ว่าเป็นสิ่งมีประโยชน์ จงตรัสคาถาว่า อยญฺจ โข ทกฺขิณา ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น ด้วยบทว่า อยํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะแสดงถึงทานที่ทายกให้แล้วนั้น โดยประจักษ์จึงตรัสไว้. จ คัพท์ เป็น พยติเรกัตถะ แปลว่า อัน. ด้วย จ ศัพท์นั้นย่อมส่องอรรถอันพิเศษเฉพาะที่กำลังจะกล่าวว่า ทักษิณานี้หาได้เป็นเหมือนเหตุมีการร้องไห้ เป็นต้น ซึ่งไม่เป็นประโยชน์แก่ใครๆ ผู้ละไปแล้วไม่ อันทักษิณานี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ผู้จะไปแล้วนั้นตลอดกาลนาน. ศัพท์ว่า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 35
โข ใช้ในอรรถว่า อวธารณะ แปลว่า ห้ามเนื้อความอื่น. บทว่า ทกฺขิณา ได้แก่ ทาน. บทว่า สงฺฆมฺหิ สุปติฏฺิตา ได้แก่ ตั้งไว้ดีแล้วในพระสงฆ์ผู้เป็นบุญเขตอันยอดเยี่ยม. บทว่า ทีฆรตฺตํ หิตายสฺส ได้แก่ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่เปรตนั้นตลอดกาลนาน. บทว่า านโส อุปกปฺปติ ได้แก่ ย่อมสำเร็จในขณะนั้นนั่นเอง. อธิบายว่า ไม่ใช่ในกาลอื่น. จริงอยู่ นี้เป็นธรรมดาในข้อนั้นว่า หากเปรตอนุโมทนาทาน ในเมื่อทายกถวายทานอุทิศเปรต เปรตก็จะหลุดพ้นไปด้วยผลแห่งทานนั้นในขณะนั้นนั่นเอง.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงธรรมอย่างนี้แล้ว ทรงกระทำให้มหาชนมีใจยินดียิ่งในทานที่อุทิศเปรตแล้ว เสด็จลุกจากอาสนะ หลีกไป. วันรุ่งขึ้น ภริยาเศรษฐี และพวกญาติที่เหลือ เมื่อคล้อยตามเศรษฐี จึงให้มหาทานเป็นไปประมาณ ๓ เดือน ด้วยอาการอย่างนี้.
ลำดับนั้น พระเจ้าปเสนทิโกศลเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะเหตุไร ภิกษุทั้งหลาย จึงไม่ไปเรือนของหม่อมฉัน ประมาณ ๑ เดือนแล้ว. เมื่อพระศาสดาตรัสบอกเหตุนั้นแล้ว ฝ่ายพระราชาเมื่อจะทรงคล้อยตามเศรษฐี จึงให้มหาทานเป็นไปแก่ภิกษุสงฆ์ ซึ่งมีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน. ชาวเมืองเห็นดังนั้น เมื่อจะอนุวัตรตามพระราชา จึงให้มหาทานเป็นไปประมาณ ๑ เดือน. ชาวเมืองให้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เปตวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้า 36
มหาทาน ซึ่งมีตุ๊กตาแป้งเป็นเหตุเป็นไปตลอด ๒ เดือน ด้วยประการฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาปิฏฐธีตลิกเปตวัตถุ ๔