เวลามีความรัก จะรู้สึก ให้ความสนใจ ใส่ใจ เป็นห่วงเป็นใย ทุกคำพูด ทุกการกระทำของคนที่เรารัก ยิ่งเวลาที่ไม่พบเจอกัน ก็จะยิ่งเป็นห่วง สารพัด ว่า อีกฝ่าย เป็นยังไง ทำอะไรอยู่ บางครั้งถึงกับนอนไม่หลับ เป็นเพราะอะไรครับ ถึงมีอาการอย่างนี้ ทั้งที่ฟังพระธรรม ก็เข้าใจว่า เป็นเพราะจิตคิดไปต่างๆ แต่ก็ละคลายที่จะไม่คิดไม่ได้เลย รบกวนอาจารย์ช่วยแนะนำคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่จะช่วยละคลาย ความคิดฟุ้งซ่าน เหล่านี้ให้หน่อยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ท่านอาจารย์สุจินต์. โลภะเปรียบเหมือนเชือก หรือเป็นเชือก ถ้าโลภะเกิดครั้งเดียว น้อย นิดหน่อย รู้ไหมคะว่าเป็นเชือก
ตอบ ไม่รู้ค่ะ
ส. แต่ว่าสิ่งนั้นแหละทำให้จิตใจผูกพัน ไม่ยอมพราก ทั้งๆ ที่เกิดแล้ว พอใจแล้ว ก็ยังเหนียวแน่นอยู่อย่างนั้น ไม่ยอมทิ้งไป
เพราะฉะนั้น ลักษณะของความยินดีติดข้องก็เหมือนเชือกที่ผูกไว้ ไม่ยอมทิ้งสิ่งนั้น จะรู้ต่อเมื่อยินดีระดับไหนที่ผูกไว้แน่น เมื่อวานนี้ก็ผูก วันนี้หายไปหรือเปล่า ยังผูกอยู่ ยังเป็นเรื่องที่พอใจที่จะคิด หรือว่าที่จะยึดมั่น พรุ่งนี้ก็มาอีกแล้ว วันหนึ่งๆ อะไรผูก โลภะ ผูกไว้ที่ไหน ถ้าไม่รู้ว่า ขณะนั้นพอใจในสิ่งใด จะรู้ไหมว่า ถูกผูกไว้ที่สิ่งนั้น ไม่ยอมทิ้ง ไม่ยอมจากสิ่งนั้นไปเลย
เพราะฉะนั้น แต่ละคำจะรู้ก็ต่อเมื่อสภาพธรรมะนั้นปรากฏ แล้วเข้าใจถูกในลักษณะของสภาพธรรมะนั้น ด้วยเหตุนี้พระอรหันต์จึงเป็นสุตตพุทธะ ท่านผ่านทุกอย่าง ไม่มีข้อความใดในพระไตรปิฎกที่สงสัย เพราะเหตุว่าลักษณะนั้นได้เกิดขึ้นและเป็นความจริง จนกระทั่งสามารถเข้าถึงความหมายของพระพุทธพจน์ได้ทั้งหมด ไม่ใช่เพียงแต่คิดเฉยๆ
ธิดารัตน์ ก็คือถูกผูกในอารมณ์นั่นเอง ใช่ไหมคะ
ส. มีใครไม่ถูกผูกบ้างคะ ไม่มี รู้เมื่อไร ไม่ใช่เมื่ออ่าน แต่พอฟังแล้วเข้าใจเวลาที่สภาพธรรมะนั้นเกิด ห้ามทันไหม อย่าคิด อย่าผูกพัน ไม่ได้ ก็เข้าใจความหมายของคำว่า “ถูกผูกแล้ว” ชาติก่อนถูกผูกมาแล้ว จากอะไร รู้ไม่ได้เลย ใช่ไหมคะ แล้วชาตินี้ที่รู้ได้ แต่อีกไม่นานก็ไม่ถูกผูกด้วยอารมณ์ของชาตินี้ แต่ว่าโลภะที่สะสมอยู่ในจิต ก็จะผูกต่อในอารมณ์ใหม่ของชาติหน้า
เพราะฉะนั้น ถ้าจะย้อนไป เราไม่รู้เลยว่า ชาติก่อนเราเป็นใคร แต่โลภะมีแน่นอน และโลภะที่เหนียวแน่นที่ผูกไว้อาจจะเป็นบุตรธิดา อะไรก็ได้ สำหรับพ่อแม่ ผูกไว้มั่นคงเหลือเกิน ตลอดชาติด้วย แต่พอถึงชาตินี้ ความเหนียวแน่นของโลภะยังมี แต่สิ่งที่ถูกผูกไว้ก็ต่างกับชาติก่อน
เพราะฉะนั้น ก็เห็นความไม่แน่นอน เห็นความไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น ถ้าเป็นปัญญาที่สามารถรู้ว่า ทุกอย่างชั่วคราวจริงๆ ค่อยๆ มีอาวุธที่จะตัดข่าย หรือที่จะออกจากข่ายได้ แต่ถ้าไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า แท้ที่จริงแล้วดูเหมือนว่า สิ่งนั้นผูกเราไว้แน่น แต่แน่นเพียงชาติเดียว ก็จะต้องผูกกับสิ่งที่ปรากฏในชาติต่อไป
* * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
โลภะมีแม้ขณะนี้ โดยไม่รู้ตัว
ส. โลภะเขาทำอยู่เวลานี้ เราจะทำอย่างไรดี นั่นคือโลภะ เขาทำหน้าที่ของเขาแล้ว
ผู้ถาม อย่างนี้เราก็เพลินไปเรื่อยๆ ดีกว่า
ส. ไม่เห็นตัวไงคะ เพราะฉะนั้น ถึงต้องอยู่ในสังสารวัฏฏ์ไป ออกไม่ได้ เพราะตัวนี้ ตัวโลภะนี่แหละ เพราะไม่เห็นโลภะเลย แค่คำถามที่ว่า นั่งอยู่เฉยๆ ตอนนี้จะทำอะไร นั่นก็คือโลภะแล้ว รู้ตัวไหมคะ ไม่รู้เลย
ผู้ถาม ไม่รู้ตัวเลย
ส. โลภะมาโดยไม่รู้เลย ไม่มีทางรู้เลย นอกจากสติสัมปชัญญะและปัญญา ถึงจะรู้ว่า ขณะนั้นไม่ใช่การรู้ลักษณะของสภาพธรรม ขณะใดที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรมะ ขณะนั้นมีโลภะ ที่ใดมีโลภะ ที่นั้นไม่มีปัญญา ถ้าที่ใดมีปัญญา โลภะจะอยู่ตรงนั้นไม่ได้เลย
ผู้ถาม ท่านอาจารย์กล่าวถึงเรื่องปัญญา อยากจะเรียนท่านอาจารย์อธิบายถึง ลักษณะปัญญาตรงนี้ ปัญญารู้อะไรคะ
ส. รู้สภาพธรรมะตามความเป็นจริง
ผู้ถาม แล้วมันเป็นอย่างไรคะ ท่านอาจารย์
ส. รูปธรรมไม่สามารถจะรู้อะไรได้ จะเป็นนามธรรมไม่ได้ แต่มีนามธรรมที่กำลังรู้รูปธรรม
ผู้ถาม ฟังมาก็เข้าใจ
ส. ฟังไปอีก จับด้ามมีด เวลาจะถามที ก็เอาด้ามมีดมาจับ จับไมโครโฟนไป จนกว่าไมโครโฟนจะสึก
ผู้ถาม อาจารย์คะ มันไม่รู้เสียที ท่านอาจารย์
ส. ก็นั่นสิคะ ปัญญาของเรากับอวิชชาของเรา อันไหนมันมาก
ผู้ถาม ก็ทราบค่ะว่ามันมาก
ส. แล้วตัวตนกับโลภะ ก็ทำหน้าที่อยู่ตลอดเวลาอย่างนี้
ผู้ถาม นี่ค่ะไม่รู้ตัว
ส. ก็ใช่น่ะสิคะ ก็บอกให้รู้ไงว่า ขณะนี้ที่กำลังถามอย่างนี้ คือโลภะ เกิดแล้วทำหน้าที่แล้ว หน้าที่อยาก หน้าที่ต้องการ เขาจะไม่บอกหรอกว่า ฉันมาแล้ว หรือฉันอยู่แล้ว อยู่ตลอด มารวดเร็ว ทันทีที่กุศลจิตไม่เกิด แล้วก็ไม่ใช่โทสะ ไม่ใช่โมหะ นั่นคือโลภะตลอด
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความติดข้อง เป็นเหตุแห่งทุกข์ เป็นธรรมดาที่อกุศลจิตจะเกิดขึ้นตามเหตุปัจจัย ตราบใดที่ยังไม่สามารถดับกิเลสอะไรๆ ได้เลย แต่ความเข้าใจพระธรรมจะช่วยให้ค่อยๆ ขัดเกลายิ่งขึ้นได้ เมื่อมีความเข้าใจถูกเห็นถูกขึ้น เห็นโทษของอกุศล เห็นคุณของกุศล จึงไม่มีใครสามารถทำลายหรือขจัดอกุศลของตนเองได้เลย นอกจากตนเองจะเป็นผู้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจแล้วปัญญาจะทำให้มีการขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้น เป็นไปได้ด้วยปัญญาจริงๆ ซึ่งพระอริยสาวกทั้งหลายในอดีต ก่อนที่จะท่านจะได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรม ท่านก็มากไปด้วยอกุศล มากไปด้วยกิเลสนานาประการ แต่ก็สามารถดับได้ในที่สุด เมื่อปัญญาเจริญขึ้นคมกล้าขึ้นนั่นเอง ดังนั้น จึงต้องตั้งต้นที่การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจจริงๆ ขณะใดเข้าใจถูกเห็นถูกขณะนั้น ไม่ทุกข์ ไม่เดือดร้อน ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุๆ ๆ อนุโมทนาในกุศลจิตทุกๆ ท่านครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ