สนทนาธรรมไทย-ฮินดี ออรังคาบัด ๑๑ ธ.ค. ๖๖ บ่าย
- คำถามไม่ยากแต่ต้องคิดเพราะเหตุว่า โดยมากเราไม่ค่อยจะคิดละเอียด
- คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสำหรับใคร (สำหรับทุกคน) ถูกต้องค่ะ ไม่เลือก ใครที่สนใจจะฟังความจริง คนนั้นจะฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ทำไมคนที่ต้องการเข้าใจความจริงจึงต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (หลังจากได้ยินคำของพระพุทธองค์จึงมีศรัทธาเชื่อว่า ไม่มีใครนอกจากพระพุทธองค์ที่ทรงสอนความจริงได้)
- เชื่อก่อนฟังหรือฟังแล้วเชื่อ (เข้าใจว่าต้องฟังก่อน) ฟังแล้วต้องรู้ว่า จริงหรือเปล่า ถ้าไม่จริงจะเชื่อไหม (ไม่เชื่อ)
- ไม่มีใครเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแต่เมื่อมีผู้ประกาศว่า ได้ตรัสรู้ความจริง เราจึงฟังบุคคลนั้น ไม่มีใครเป็นพระพุทธเจ้าแต่มีผู้ที่บอกว่าเป็นพระพุทธเจ้าก็ฟังคำของพระพุทธเจ้า คำไหนบ้างที่เคยได้ยินจากพระพุทธเจ้า มีคำไหนบ้างที่ได้ยินจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่จะรู้ว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจริงๆ คำอะไร คำเดียว (คำว่า ตรัสรู้ด้วยตัวเอง)
- ตรัสรู้อะไร (รู้ตัวเอง เข้าใจตัวเอง) ขณะนี้กำลังเห็น พระพุทธเจ้าตรัสรู้ “เห็น” หรือเปล่า มีอะไรที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงตรัสรู้บ้างไหม ขณะที่กำลัง “ได้ยิน” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่าอย่างไร (ได้ยินเพราะมีหู เห็นเพราะมีตา)
- ถ้าไม่มีหูไม่ได้ยิน ถ้าไม่มีตาไม่เห็น เพราะฉะนั้นตาเป็นสิ่งที่มีจริง หูเป็นสิ่งที่มีจริงใช่ไหม (ใช่) ตาเป็นหูได้ไหม (ไม่ได้) ตาเป็นคิดได้ไหม (ไม่ได้) ตาเป็นเราได้ไหม (ไม่ได้) ตาเป็นเราไม่ได้ ตาเป็นอะไร (ความจริงของตาคือเห็น) ตาเห็นได้หรือ มีตาแต่ไม่เห็นได้ไหม (ตากับเห็นไม่เหมือนกัน) ถูกต้อง เพราะอะไรตาไม่เห็น ตาเห็นได้ไหมพระพุทธเจ้าตรัสว่า “จักขุปสาท” “จักขุวิญญาณ” เหมือนกันหรือเปล่า (ต่างกัน)
- ทุกคนเกิดมาเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสและคิดนึกแต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไรจนตาย เกิดมามีชีวิตแล้วก็เห็นแล้วก็ได้ยิน ฯลฯ แล้วก็ตายแต่ไม่รู้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ทุกสิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดจนตาย มีใครบ้างที่เกิดมาไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่เป็นทุกข์ ไม่เป็นสุข ไม่เป็นจำ ไม่เป็นโกรธ ไม่เป็นสบายแล้วก็ตาย? (ไม่มี) เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงที่เกิดแล้วเป็นอะไรจนแม้ขณะตาย อะไรตาย อะไรเกิด
- เกิดแล้วเห็น รู้อะไร เกิดแล้วได้ยิน รู้อะไร เกิดแล้วคิดนึก รู้อะไร เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ว่าเกิดอะไร เห็นคืออะไร ทุกสิ่งทุกอย่างคืออะไร ให้คนอื่นที่เกิดแล้วไม่รู้แล้วก็ตายได้รู้ได้เข้าใจถูกต้อง
- ขณะนี้กำลังเห็น ใครรู้บ้างว่า “เห็น” คืออะไร (เห็นเป็นสิ่งที่มีจริง) “เห็น” เกิดเป็นเห็นถ้าเห็นไม่ “เกิด” จะมีเห็นไหม (ถ้าเห็นไม่เกิดก็ไม่มี) เพราะฉะนั้นไม่มีใครทำให้เห็นเกิดได้ใช่ไหม (ใช่) พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้เห็นเกิดได้ไหม (ไม่ได้) ถูกต้องเพราะเห็นมีจริง ไม่มีใครทำให้เห็นเกิดแต่เห็นเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีตา
- มีตาไม่เห็นได้ไหม ดีมากที่ทุกคนคิดเอง นี่เป็นการอบรมนิสัยใหม่ นิสัยที่จะต้องฟังละเอียดคิดละเอียดว่าอะไรจริงถึงที่สุด สั้นๆ ถามว่า มีตา ไม่เห็นได้ไหม (ไม่ได้) จริงหรือ ถ้ามีตาแล้วต้องเห็น อะไรอยู่ข้างหลัง เพราะฉะนั้นต้องรู้ว่า เห็นเกิดไม่ได้ถ้าไม่มี “ปัจจัย” คือสิ่งที่สามารถเกื้อกูลอาศัยทำให้เห็นเกิดขึ้น
- เดี๋ยวนี้สิ่งที่กำลังเห็นต้องกระทบตาเพราะฉะนั้นเริ่มต้นคิดละเอียดขึ้นอีก สิ่งที่ “ถูกเห็น” เป็นเห็นหรือเปล่า (ไม่เหมือนกัน) เห็นไม่ใช่สิ่งที่ถูกเห็นเพราะฉะนั้น “เห็น” เป็นอะไร “สิ่งที่ถูกเห็น” เป็นอะไร (สิ่งที่เห็นเป็นรูป เห็นเป็นนาม)
- รูปคืออะไร (รูปคือสิ่งต่างๆ ที่ตาเห็นแต่ละหนึ่งขณะ) สิ่งที่ตาไม่เห็นที่เป็นรูปมีไหม (มี) อะไรบ้างที่เป็นรูปที่ตาไม่เห็น (ลม) นอกจากลมมีอะไรอีก (เสียง) อะไรอีก (เสียง แข็ง กลิ่น) เสียง แข็ง กลิ่นเป็นรูปเพราะฉะนั้น “รูป” คืออะไร (รูปถูกเห็นได้ รูปถูกได้ยินได้) ถูกต้องแต่ความหมายของ “รูป” คืออะไร
- ถ้าไม่รู้ว่า “รูป“ คืออะไร ทำไมบอกว่า เสียงเป็นรูป (ตอนนี้เข้าใจแล้วว่าพูดไปโดยที่ไม่เข้าใจ) เพราะฉะนั้นถามว่า เสียงเป็นรูปแต่ไม่รู้ว่ารูปเป็นอะไร เพราะฉะนั้นไม่ใช่จำคำว่า “รูป” และอะไรเป็นรูป ถูกไหม
- เพราะฉะนั้น “รูป” พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงว่า มีสิ่งที่มีจริงๆ แต่ไม่สามารถรู้อะไรได้ สภาพนั้นเป็น “รูป”
- สิ่งที่มีจริงเปลี่ยนเป็นไม่มีจริงได้ไหม (ไม่ได้) กำลังได้ยินเสียงแล้วบอกว่า “ไม่มีเสียง“ ได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่ ”มีจริง“ ทุกอย่างเป็น ”ธรรม“ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้สิ่งที่มีจริงทั้งหมด พระองค์ทรงตรัสรู้ ”ธรรม“
- เดี๋ยวนี้มี ”ธรรม“ ไหม (มี) เดี๋ยวนี้มี ”ธรรม“ อะไร (เมตตา) เมตตาเห็นไหม เดี๋ยวนี้เห็นหรือเมตตา (เมตตากับเห็นเกิดพร้อมกันได้) ขอโทษค่ะ อะไรเกิดพร้อมอะไร เห็นเป็นเมตตาหรือเปล่า (ไม่เป็น) ”เห็น“ เมตตาได้ไหม (ไม่ได้) ”เห็น“ โกรธได้ไหม (ไม่ได้) อะไรจริง เมตตา เห็น โกรธ (จริงทั้งสามสิ่ง) เมตตาเกิดพร้อมกับเห็นได้ไหม (ไม่ได้) อะไรเกิดก่อน (เห็นเกิดก่อน) อะไรมีจริง (ทั้งสองอย่างมีจริง) ถูกต้องค่ะ
- เห็นกับเสียงเหมือนกันหรือต่างกัน (ต่างกัน) ต่างกันอย่างไร (เห็นเป็นความจริงที่รู้ทางตา ส่วนเสียงรู้โดยการได้ยิน) เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้รู้แล้วใช่ไหมว่ามีธรรมมากมายหลายอย่างแต่ต่างกันเป็นประเภทใหญ่ๆ ๒ อย่าง เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรมีไหม
- ได้ยินไม่ใช่เสียง คำถามที่ต้องการคำตอบคือ ต่างกันอย่างไร (รู้ว่าต่างกันแต่ตอบไม่ได้ว่าต่างกันอย่างไร) รู้จัก ”รูป“ ไม่ใช่หรือ (เสียงเป็นรูป ได้ยินไม่เป็นรูปแต่เป็นนาม) ได้ยินแล้วก็ตอบได้ว่าเสียงเป็นรูปแต่ ”รูป“ คืออะไร (รูปเป็นสิ่งที่มีจริง) สิ่งที่มีจริงมีมาก สิ่งที่มีจริงอะไรเป็นรูป อะไรไม่ใช่รูป
- สิ่งที่มีจริงทั้งหมดทุกอย่างพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงแต่ละหนึ่งๆ ซึ่งไม่เหมือนกัน พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษาแต่ถ้าไม่เข้าใจเดี๋ยวนี้จะไม่รู้เลยว่า เป็นคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพียงเริ่มต้น
- สิ่งที่มีจริงๆ ทุกวันเปลี่ยนไม่ได้ ต้องเห็น เมื่อวานก็เห็น วันนี้ก็เห็น ต่อไปก็เห็นก็ได้ยินแต่ไม่รู้ว่าอะไร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงทุกอย่างตั้งแต่เกิดจนตายให้เริ่มเข้าใจในความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ามีเห็น พระองค์ไม่ตรัสเรื่องเห็น พระองค์จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไหม
- เพราะฉะนั้นพระองค์ตรัสเริ่มต้นว่า สิ่งที่มีจริงๆ ทุกอย่างมีจริงๆ เปลี่ยนไม่ได้เป็น ”ธรรม“ เห็นมีจริง ได้ยินมีจริง เสียงมีจริง เพราะฉะนั้นได้ยินเป็นได้ยินใช่ไหม เสียงเป็นเสียงใช่ไหม? เสียงเป็นได้ยินไม่ได้ ได้ยินเป็นสียงไม่ได้ ได้ยินเป็นคนหรือเปล่า (ไม่) ถูกต้องเก่งมาก
- ได้ยินเป็นนกหรือเปล่า (ไม่) ได้ยินเป็นงูหรือเปล่า (ไม่) เอารูปร่างกายออกหมดมีแต่ได้ยิน ได้ยินเป็นได้ยิน ได้ยินเป็นอะไรไม่ได้นอกจากได้ยิน เพราะฉะนั้นได้ยินเป็นธรรมเป็นสัจจธรรม
- เดี๋ยวนี้ “เรา” ได้ยินหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ยินจะไม่มี “เราได้ยิน” ใช่ไหม ได้ยินเกิดแล้วดับแล้ว “เรา” อยู่ไหน นี่คือ “สัจจธรรม” สัจจะเป็นความจริงเปลี่ยนไม่ได้ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็น “สัจจธรรม”
- ได้ยินเกิดแล้วดับเป็นเราหรือเปล่า (ไม่เป็น) เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เราได้ยินหรือเปล่า (ไม่) ได้ยินเกิดแล้วดับเป็นสัจจธรรม เดี๋ยวนี้ที่ได้ยินเกิด ได้ยินดับไหมเดี๋ยวนี้
- พระพุทธเจ้าตรัสรู้การเกิดดับของทุกอย่างเดี๋ยวนี้ เราฟังแต่เดี๋ยวนี้สภาพธรรมเกิดดับยังไม่ประจักษ์แจ้ง เริ่มรู้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้อะไรและเราไม่รู้อะไร เมื่อพระองค์ทรงแสดงธรรมความจริงมีผู้ฟังที่สามารถรู้จริงอย่างพระองค์ ท่านพระสารีบุตรรู้ความจริงเป็นพระอรหันต์แต่ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นพระองค์รู้ว่า สิ่งที่มีจริงๆ สามารถรู้ได้ถึงได้ เช่น พระสารีบุตรก็รู้ได้
- เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงแสดงหนทางทางที่จะให้ประจักษ์การเกิดดับของธรรมที่มีเดี๋ยวนี้ด้วย เพราะฉะนั้นธรรมที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้ไม่มีใครรู้จึงเป็นธรรมที่ลึกซึ้ง แต่ถ้าพระองค์ตรัสรู้แล้วไม่แสดงหนทางที่จะให้คนอื่นรู้ด้วยก็ไม่ใช่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นเมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วรู้ว่าคนอื่นยังไม่รู้แต่รู้ได้เมื่อมีความเข้าใจถูกต้องขึ้นทีละเล็กทีละน้อย
- เพราะฉะนั้นต้องเริ่มฟังตั้งแต่คำแรก “ธรรม” คือสิ่งที่มีจริงๆ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงให้รู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้ มีประโยชน์ไหม
- เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุดซึ่งเป็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ กล่าวคำจริงให้คนอื่นเริ่มเข้าใจจนสามารถที่จะรู้ความจริงนั้นได้
เพราะฉะนั้นจึงมี “อริยสัจจธรรม ๔” อริยสัจจะที่ ๑ ขณะนี้ทุกสิ่งที่เกิดดับเป็นธรรมไม่ใช่งู ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่คน ไม่ใช่เทพ แต่เห็นเป็นเห็น ได้ยินเป็นได้ยิน คิดเป็นคิด จำเป็นจำ
- พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงทุกขณะตั้งแต่ตื่นจนหลับแต่ไม่เคยรู้เลย ค่อยๆ รู้ความจริงว่า ขณะนั้นคืออะไร ฟังแล้วถ้าไม่คิดเลยก็เข้าใจแค่ฟัง แต่ถ้าฟังแล้วคิดขึ้นอีกไตร่ตรองอีกละเอียดขึ้นอีกจะเข้าใจขึ้นอีก
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้มีอะไร ถ้ายังไม่ได้คิดก็จะบอกให้ เพราะฉะนั้นจะให้บอกหรือจะคิดเอง เดี๋ยวนี้มีอะไรจะคิดเองหรือจะให้ดิฉันบอก จะคิดเองหรือจะให้ดิฉันบอก จะคิดเองก็เป็นธรรม จะให้บอกก็เป็นธรรม ถูกไหม เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ตอบได้แล้วว่า เดี๋ยวนี้มีอะไร (เดี๋ยวนี้มีเรานั่งฟังอาจารย์ เดี๋ยวนี้มีธรรม เดี๋ยวนี้มีคิด)
- เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ทุกอย่างจริงใช่ไหม เพราะฉะนั้นจะไม่รู้เลยว่า ทุกอย่างที่จริงเป็นธรรมจึงจะเป็นการเข้าใจมั่นคงว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมดจะคิดเองหรือจะฟังคนอื่นตอบก็จริง เป็นธรรมแต่ละ ๑ เพราะฉะนั้นอะไรจริง (ที่เราคิดอยู่ตลอด คิดอย่างนี้ตอนนี้ คิดอย่างนั้นตอนนั้นเพราะมันเกิดนี่เป็นธรรม) เวลาไม่คิด “จริง” ไหม (จริง) เพราะฉะนั้นทุกอย่างที่มีจริงๆ เป็นธรรมแต่ไม่รู้ “ความจริง” ของธรรม
- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า ควรรู้ความจริงยิ่งขึ้นของสิ่งที่มีจริง มิฉะนั้นแล้วก็จะไม่รู้อะไรเลย ไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ตอนนี้เรารู้คำหนึ่งแล้ว “ธรรม” สงสัยอะไรคำนี้ไหม เริ่มรู้ความจริงว่า เราฟังอะไร เราฟังธรรมคือสิ่งที่มีจริงเพื่ออะไร ฟังเพื่อรู้ความจริงของสิ่งที่มีจริง ถ้าฟังแล้วไม่รู้ ไม่เข้าใจความจริงจะเป็นประโยชน์ไหม
- เพราะฉะนั้นประโยชน์อยู่ที่ว่า เรารู้ความจริงของสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่เคยรู้มาเลย ความจริงคือ สิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้ต้องเกิด ไม่เกิดไม่มี มีสิ่่งที่มีจริงเกิดแล้วปรากฏว่ามีจริงๆ แต่ไม่รู้ความจริงว่า สิ่งที่เกิดไม่มีใครทำให้เกิดแต่มีสิ่งที่อาศัยกันและกันเกิดขึ้น ไม่ให้เกิดไม่ได้
- เห็นเดี๋ยวนี้เกิดแล้ว ไม่ให้เห็นเกิดได้ไหม เห็นเกิดแล้วดับ ไม่ให้เห็นที่เกิดแล้วดับได้ไหม ก่อนเห็นจะมีเราเห็นไหม แต่ว่าเห็นไม่ใช่เรา เห็นเป็นธรรม ทุกอย่างที่มีจริงเป็นธรรมไม่ให้เกิดไม่ได้ เมื่อมีเหตุปัจจัยต้องเกิด เกิดแล้วไม่ให้ดับไม่ได้ เกิดแล้วต้องดับ เพราะฉะนั้นเห็นเป็นเห็น ไม่ใช่เรา เห็นเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา
- ได้ยินเดี๋ยวนี้เกิดแล้ว ไม่ใช่เราได้ยิน แต่ได้ยินเกิดขึ้นได้ยินเสียง ได้ยินเสียงแล้วดับ สิ่งที่เกิดแล้วดับไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ เห็นเดี๋ยวนี้ดับไม่ใช่เห็นขณะนี้ เห็นกับได้ยินเกิดพร้อมกันได้ไหม (ไม่ได้) เพราะฉะนั้นธรรมปรากฏทีละ ๑
- ความจริงที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้คือ ขณะที่เห็นมีแต่เห็นกับสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น เพราะฉะนั้นเห็นเป็นธรรมที่เกิดขึ้นรู้ว่าสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้ ได้ยินเกิดขึ้นได้ยินเสียงนี้เท่านั้นไม่ใช่เสียงอื่น ทุกอย่างเกิดแล้วก็ดับ เกิดแล้วก็ดับตั้งแต่เกิดจนถึงขณะที่ตาย เป็นธรรมทั้งหมดไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะฉะนั้นถ้ารู้จักธรรม รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
- ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จบิณฑบาตไม่ตรัสคำอะไรเลยทั้งสิ้น ใครจะรู้ว่าพระองค์เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พระองค์ตรัสว่า สิ่งที่มีจริงเกิดแล้วดับ ถ้าพระองค์ไม่ประจักษ์การเกิดดับซึ่งเป็นการตรัสรู้จะไม่มีคำที่แสดงความจริงให้เรารู้ว่า ขณะนี้สามารถรู้ความจริงนี้ได้ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงตามลำดับให้รู้ว่า สิ่งที่มีจริงตั้งแต่เกิดเกิดแล้วดับทันที
- ขณะนี้พูดถึงเห็น เห็นเกิดดับหรือเปล่า แต่ยังไม่ประจักษ์แจ้ง เพราะฉะนั้นขณะนี้ยังไม่ใช่อริยสัจธรรม เป็นธรรม เป็นสัจจธรรม แต่ยังไม่ใช่อริยสัจจะ ต้องเป็นผู้ที่เข้าใจว่า ขณะนี้กำลังฟังและเข้าใจธรรมแต่ยังไม่ประจักษ์การเกิดดับของธรรม เพราะฉะนั้น “หนทาง” ที่จะรู้อริยสัจจะเป็น อริยสัจจะที่ ๔ ในอริยสัจจ์ ๔ พระองค์ไม่ได้แสดงว่า ธรรมเกิดดับแล้วไม่บอกหนทางที่จะประจักษ์แต่พระองค์ทรงแสดงอริยสัจจะที่ ๑ อริยสัจจะที่ ๒ อริยสัจจะที่ ๓ ให้มีความเข้าใจจริงๆ และอริยสัจจะที่ ๔ ว่าคือ ความเข้าใจเดี๋ยวนี้
- ขณะนี้กำลังฟังเพื่อรู้ว่า หนทางที่จะประจักษ์สิ่งที่กำลังเกิดดับเดี๋ยวนี้คืออย่างไร เพราะฉะนั้นเราเพียงเริ่มต้นมีความเข้าใจว่า สิ่งที่มีจริงมีลักษณะที่เป็นจริงแต่ละ ๑
- ถ้าโกรธไม่เกิด จะรู้ไหมว่า “โกรธ” มีจริงๆ ถ้าเห็นไม่เกิด จะรู้ไหมว่า “เห็น” มีจริงๆ เพราะฉะนั้นเมื่อ “เห็น” มีจริงจึงต้องรู้ “ความจริงของเห็น” ไม่ใช่รู้ความจริงของอย่างอื่น ถ้า “ได้ยิน” ไม่เกิด จะรู้ “ความจริง” ของได้ยินที่เกิดแล้วดับได้ไหม แต่ขณะที่ไม่รู้ต่างกับขณะที่รู้ใช่ไหม เพราะฉะนั้น “ไม่รู้” คือ “อวิชชา”
- “อวิชฺชา ปจฺจยา สงฺขารา” เพราะไม่รู้จึงติดข้อง คิดว่าสิ่งที่ปรากฏเป็น ”เรา“ หรือเป็น ”ของเรา“ เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ”เหตุ” ให้เกิดชาตินี้มาจากไหน
- ถ้ารู้ว่า สิ่งที่เกิดเกิดเพราะเหตุปัจจัยเกิดแล้วดับ ไม่มีใครเลย เป็นอย่างนี้จะยังยินดีที่มีการเกิดดับต่อไปไหม เห็นเกิดดับรู้ยากไหม (รู้ยาก) ถ้าไม่รู้ว่าเห็นคืออะไร สามารถจะรู้ว่าเห็นเกิดดับได้ไหม
- อริยสัจจธรรมมี ๓ รอบ อริยสัจจะมี ๔ ต้องรอบรู้ในอริยสัจธรรมทั้ง ๔ เป็นรอบที่หนึ่ง เพราะฉะนั้นถ้าไม่รู้ธรรมก็ไม่รู้อริยสัจจะที่ ๑
- ถ้าไม่มีอะไรปรากฏเลยสักอย่างเดียวจะมี “โลก” ไหม เพราะฉะนั้น “โลก” คือทุกอย่างที่เกิดแล้วดับ “โลกุตตร” คือพ้นจากโลก คือพ้นจากการเกิดดับอีกต่อไป เพราะฉะนั้นไม่ประมาทในการฟังแต่ละคำและรู้ทุกคำเป็นธรรมไม่มีเรา และเริ่มรู้ธรรมทั้งหมดมากมายแต่ต่างกันเป็น ๒ ประเภท ธรรม ๑ เกิดแต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เกิดเป็นแข็ง เกิดเป็นกลิ่นต่างๆ เกิดเป็นรสต่างๆ ไม่รู้อะไรเป็น “รูปธรรม”
- เดี๋ยวนี้ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีอะไร เราไม่ได้พูดถึงสิ่งที่ไม่มี เราพูดถึงสิ่งที่มีเพื่อมีความเข้าใจขึ้นว่า สิ่งที่มีเป็นอะไร สิ่งที่มีมีจริงๆ ไม่พูดก็มีแต่เราพูดถึง “ความจริง” ของสิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง เราไ่พูดเรื่องอื่น เรารู้จักธรรม เราจะฟังธรรม เราจะเข้าใจธรรมคือ ธรรมที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้
- ทุกคำที่พูดถึงสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริงเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นก่อนฟังไม่เคยคิดเลยว่า สิ่งที่มีจริงเดี๋ยวนี้เกิดจริงๆ มีจริงๆ แล้วก็ดับไปจริงๆ เพราะฉะนั้นพูดคำว่า “อริยสัจธรรม” หมายความว่า ความจริงนี้เป็นความจริงที่ประเสริฐที่เปลี่ยนไม่ได้และสามารถรู้ได้จริงๆ
- ขณะนี้เรากำลังฟังเรื่องอริยสัจจะที่ ๑ และอริยสัจจะที่ ๔ เพื่อรู้อริยสัจจะที่ ๒ และอริยสัจจะที่ ๓ รอบที่ ๑ เพราะฉะนั้นถ้าเราไม่ละเอียดเราไม่รู้ว่า เราฟังอะไรเพื่ออะไรแต่พอได้ยินคำว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ธรรมคือสิ่งที่มีจริง ถ้าเราไม่ฟังเราไม่สามารถจะรู้ได้ว่า ความจริงถึงที่สุดคือ เดี๋ยวนี้สิ่งที่ปรากฏปรากฏได้ที่ละหนึ่งและใครรู้บ้างว่า เราเพิ่งเริ่มต้นพูดถึงสิ่งที่มีจริงเพียง ๑ อย่าง
- เราพูดถึง “รูปธรรม” ไม่ใช่ชื่อว่า “รูป” ไม่ใช่ชื่อว่า “ธรรม” แต่สิ่งนั้นเป็น “รูปธรรม” เพราะเป็นสิ่งที่มีจริง เกิดจริง แต่ไม่สามารถจะรู้อะไรได้ เราพูดคำว่า “รูปธรรม” หมายความว่าอะไร ไม่ใช่เป็นชื่อแต่สิ่งที่มีจริงเป็นธรรมที่เป็นธรรมประเภทหนึ่งคือ “รูปธรรม“ เพราะฉะนั้นรูปธรรมคืออะไร คนที่เข้ามาฟังเริ่มรู้ว่า รูปธรรมคืออะไรใช่ไหมหรือว่าไม่รู้ ถ้าไม่สนทนากันก็ไม่รู้ว่าคนที่ฟังแล้วเข้าใจระดับไหน
- เพราะฉะนั้นฟังคำถาม ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีอะไร มีอะไรหรือไม่มีอะไรเลย (มี) มีใช่ไหมแล้วมีอะไร (รู้ว่ามีส่วนประกอบต่างๆ มีหลายอย่างเป็นเท้า เป็นหัว เป็นท้อง ฯลฯ ) แล้วอะไรเป็นธรรม (ที่มีชีวิตอยู่ในตัวนี้คือธรรม)
- ฟัง ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีอะไร มีหรือไม่มี (ไม่เข้าใจ) ตรงนี้มีไหม (ท่านอาจารย์ชี้ที่หน้าผาก) เป็นธรรมหรือเปล่า เพราะฉะนั้นไม่ต้องไปหาธรรมที่ไหนเลย มีธรรมไม่เคยขาดธรรมเลย เพราะฉะนั้นเพียงฟังคำธรรม ชื่อธรรม อะไรเป็นธรรมไม่พอ ต้องธรรมจริงๆ อยู่ไหน
- เพราะฉะนั้นการฟังต้องคิดต้องมั่นคง ธรรมมีจริงๆ และต้องรู้ว่าสิ่งที่มีจริงเหมือนกันหรือเปล่าหรือต่างกัน เพราะฉะนั้นตอบได้แล้วใช่ไหมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าธรรมอะไร (เป็นรูปธรรม)
- รูปมีหลายรูปใช่ไหม เพราะฉะนั้นตอบว่ารูปธรรมอะไร รูปธรรมมีหลายๆ รูปไม่เหมือนกันเพราะฉะนั้นรูปธรรมตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ารูปอะไร ทำไมรู้ว่าเป็นรูปธรรม นั่งเฉยๆ รู้ว่าเป็นรูปธรรมไหม เพราะฉะนั้นจะรู้ว่าเป็นรูปธรรมต้องมี ”ลักษณะ“ ว่าเป็นรูปธรรมอะไร
- มีตาเห็น มีหูได้ยิน มีจมูกได้กลิ่น มีลิ้นลิ้มรส มีกายกระทบสัมผัส เพราะฉะนั้นนั่งเฉยๆ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้าเป็นรูปธรรมอะไร กำลังมีแต่ไม่รู้ เริ่มรู้ไหมว่า ”ธรรมลึกซึ้ง“ คืออย่างนี้เพราะฉะนั้นลึกซึ้งมากจนตอบไม่ได้
- นั่งเฉยๆ รู้ว่ามีแต่คิดเพราะฉะนั้นนั่งเฉยๆ มีเห็นไหม (นั่งเฉยๆ มีเห็น) ตรงนี้ (ท่านอาจารย์ชี้ที่หน้าผากของท่าน) เห็นไหม (เห็น) เห็นอะไร (รูปธรรม) ทำไมบอกว่าเป็นรูป (เพราะว่าเห็น) เห็นรูปอะไร (ไม่ทราบ) ไม่ว่าเห็นเกิดขึ้นเห็นอะไรไม่ได้นอกจากสีสันวรรณะต่างๆ เพราะฉะนั้นธรรมอยู่ไหน (ที่เห็นอยู่) เพราะฉะนั้นธรรมที่เห็นเป็นธรรมหรือเปล่า (เป็น) เป็นธรรมอะไร
- ถ้าเราไม่คิดจริงๆ เราจะคิดว่าเราเหมือนเข้าใจแต่จะรู้ว่าเข้าใจไหมเวลาที่มีคำถาม จากคำเดียวที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสแล้วเข้าใจ เริ่มเข้าใจคำอื่นๆ ด้วยเช่นถามว่า ที่ศีรษะจรดเท้ามีอะไร ความรู้จะเพิ่มขึ้นๆ ทีละเล็กทีละน้อยเมื่อเริ่มรู้ว่าตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีอะไร มิฉะนั้นเหมือนเข้าใจธรรม รูปธรรม แต่ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีอะไร จะได้รู้จริงๆ ว่าธรรมอยู่ไหน จะเข้าใจธรรมไม่ใช่ชื่อ ไม่ใช่เรื่องแต่เมื่อรู้ว่าธรรมอยู่ไหน
- ถ้าไม่รู้ว่าธรรมอยู่ไหนจะรู้จักธรรมไหม เพราะฉะนั้นประมาทธรรมไม่ได้เลยสักคำเดียว เพราะฉะนั้นถ้าเริ่มรู้ว่าธรรมอยู่ไหนจะรู้จักธรรมขึ้น ถ้าเพียงฟังรู้ว่า ทุกอย่างเป็นธรรมเพราะฉะนั้นอะไรที่มีอยู่ไหนๆ ก็เป็นธรรม ไม่พอ เพราะฉะนั้นถามว่า ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีอะไร ที่ถามซ้ำๆ บ่อยๆ ทุกครั้งเพื่อให้ไม่ลืมและค่อยๆ รู้จักธรรม เพราะฉะนั้นไม่ใช่เพียงแค่รู้ว่า ธรรมอยู่นี่แต่ต้องรู้ว่าธรรมอะไรเพราะธรรมมีมากมายหลายอย่างแต่ละหนึ่งๆ ไม่ใช่ธรรมอย่างเดียวกัน ถ้าเข้าใจธรรมจริงๆ ใครถามอะไรก็ตอบได้
- เพราะฉะนั้นถามว่า ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีอะไร เป็นการเริ่มต้นที่จะรู้จัก “ธรรม” ที่ตรง “ธรรม” เพราะต้องคิดแล้วตอบ ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้ามีอะไร (ยากมากที่จะตอบ) อยู่ตรงนี้ไม่ใช่ถามที่อื่น อะไรใกล้ที่สุด ตรงไหนใกล้ที่สุด รู้อะไรได้เดี๋ยวนี้ รู้ใจได้ไหมหรือรู้อะไรได้
- เริ่มใหม่ คำที่ได้ฟังแล้วถ้าเข้าใจจริงๆ ก็ต้องตอบได้ อะไรใกล้ที่สุด ถ้าตอบว่าอะไรหมายความว่ารู้จักสิ่งนั้นจึงตอบได้ จะได้ไม่ลืมสิ่งที่ฟังแล้วและจะได้เข้าใจขึ้นทุกครั้งที่มีคำถาม เพราะฉะนั้นอะไรอยู่ใกล้ที่สุด (ใจ)
- ใจคืออะไร ใจอยู่ไหน (ใจเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด) เดี๋ยวนี้ใจอยู่ไหน ใจอะไร ทำไมเป็น “ใจ” (เพราะมีสมาธิที่รู้) สมาธิเป็น “ใจ” หรือเปล่า (เป็นคนละอย่าง) เป็นคนละอย่างอย่างไร (สมาธิเป็นสิ่งที่เจาะจงในอารมณ์ ส่วนใจเป็นสิ่งที่รู้แต่ละขณะ)
- เมื่อเช้านี้เราพูดเรื่องธรรมแล้วเราพูดเรื่องรูปธรรม ทุกคนเข้าใจใช่ไหม แต่เรายังไม่ได้พูดถึงสิ่งที่สำคัญกว่ารูปธรรม เพราะฉะนั้นคำถามอื่นๆ เราจะคิดตามที่เราคิดว่าเราเข้าใจแต่เราจะคิดอย่างไรก็ไม่เท่ากับคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าตรัสว่า ธรรมมี ๒ อย่างที่ต่างกัน ธรรมที่เกิดขึ้นแต่ไม่สามารถรู้ หรือเห็น หรือจำ หรืออะไรได้เลยทั้งสิ้น แข็งจำอะไรไม่ได้ รู้ไม่ได้ ใครทุบตีก็ไม่เจ็บไม่ปวด เพราะฉะนั้นเป็นสภาพไม่รู้เป็น “รูปธรรม” แต่มีธรรมอีกอย่างหนึ่งซึ่งไม่ใช่รูปธรรม เป็นสิ่งที่มี “ชีวิต” หมายความว่าเกิดขึ้นแล้วต้อง “รู้” เพราะฉะนั้นสิ่งที่เป็นรูปธรรมเพียงแข็ง เพียงหวาน เพียงเค็มแต่ “สภาพรู้” ไม่แข็ง ไม่หวาน ไม่เค็มแต่เกิดขึ้นเป็นชีวิตที่ “รู้”
- เพราะฉะนั้นสภาพรู้มีจริงๆ แต่ไม่มีใครรู้ว่า เป็นสภาพที่เกิดขึ้น “รู้” เกิดแล้วไม่รู้ไม่ได้ (เป็นอรูปหรือ?) แต่อรูปมีหลายความหมายเพราะฉะนั้นจะฟังธรรมให้เข้าใจต้องฟังทีละคำจริงๆ
- ถ้าไม่มีตา ไม่เห็น โลกนี้ที่สว่างเป็นสิ่งต่างๆ ไม่ปรากฏ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็นเป็น “สภาพรู้” ที่เกิดขึ้นเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ เดี๋ยวนี้เห็นไหม (เห็น) เห็นอะไร ต้องมีสิ่งที่ถูกเห็นเพราะฉะนั้นสภาพรู้ซึ่งเป็นชีวิตเกิดขึ้น “เห็น” ถ้าไม่มีสภาพรู้ที่เกิดขึ้นเห็นจะไม่มีอะไรปรากฏทางตาเลย คนตาบอดไม่เห็นอะไรเพราะฉะนั้นสภาพรู้ที่อาศัยตาคือเดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น เพราะฉะนั้นสภาพรู้ที่เกิดทางตาคือ เดี๋ยวนี้ที่กำลังเห็น
- เพราะฉะนั้นสภาพรู้ที่เกิดขึ้น “ได้ยิน” เพราะฉะนั้นสภาพรู้ที่ได้ยินมีจริงๆ ไหม (มีจริง) มีจริงๆ ได้ยินไม่ใช่เห็น เห็นก็เป็นสภาพรู้ได้ยินก็เป็นสภาพรู้แต่รู้ต่างกัน เพราะฉะนั้นถ้าเห็นไม่เกิดไม่มีเห็น ถ้าได้ยินไม่เกิดไม่มีได้ยิน สิ่งที่มีจริงเกิดเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ เกิดแล้วดับไป ขณะที่เห็นไม่ใช่ขณะที่ได้ยิน เพราะฉะนั้นต่อไปนี้เริ่มรู้ว่า สิ่งต่างๆ ปรากฏได้เพราะมี “ธาตุรู้” เพราะความจริงจะเรียกอะไรก็ได้ ไม่เรียกอะไรก็ได้แต่เปลี่ยนลักษณะที่มีจริงให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงมีจริงๆ เปลี่ยนไม่ได้แต่ต่างกัน
- สถาพรู้เกิดขึ้นต้องรู้ เสียงเบา เสียงดัง เสียงเพราะ เสียงไม่เพราะ ถ้าสภาพรู้ไม่เกิดไม่มีอะไรปรากฏเพราะฉะนั้นสภาพธรรมก็ต่างกัน รูปธรรมก็มีหลายอย่างนามธรรมก็มีหลายอย่าง เพราะฉะนั้น “สมาธิ” ก็เป็นธรรมแต่ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้ว่า สมาธิเป็นธรรมอะไรก็ไม่มีใครรู้ความต่างของธรรมที่เป็นสภาพรู้ นี่เป็นขั้นต้นที่อาศัยการฟังแล้วเริ่มเข้าใจธรรมขึ้น เพราะฉะนั้นถ้ารู้จักธรรมก็รู้จักรูปธรรมนามธรรม วันนี้ก็คงจะชัดเจนเรื่องธรรม นามธรรม รูปธรรม
- ไม่ทราบมีอะไรสงสัยไหม เป็นโอกาสที่จะได้เข้าใจขึ้น หรือเข้าใจหมดแล้วพอแล้ว (ต้องฟัง) เพราะฉะนั้นเข้าใจธรรมแล้วใช่ไหม เข้าใจนามธรรม เข้าใจรูปธรรมแล้วใช่ไหม (เริ่มเข้าใจ) ถูกต้อง
- เพราะฉะนั้นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่อง “ขันธ์ ๕” เป็นธรรมหรือเปล่า (ไม่เคยได้ยินขันธ์ ๕) แต่ทำไมพูดนามธรรมรูปธรรม (เคยได้ยิน) เคยได้ยินคำว่า “อายตนะ” ไหม (เคยได้ยินอายตนะ ๖) เป็นธรรมหรือเปล่า (เป็นธรรม) เป็นรูปธรรมหรือนามธรรม (เป็นรูปธรรม) ไม่มีนามธรรมที่เป็นอายตนะเลยหรือ
- ถ้าไม่รู้ว่า ”อายตนะ“ คืออะไร จะตอบได้ไหมว่าอายตนะเป็นรูปธรรมหรือนามธรรม ต้องรู้จักธรรมก่อน รู้ว่าธรรมคืออะไรจึงรู้ว่าอายตนะคืออะไร เพราะฉะนั้นต้องละเอียดทุกคำ ได้ยินแล้วต้องรู้ก่อน คืออะไรแล้วถึงจะรู้ว่ามีอะไรบ้าง
- ถ้าไม่รู้จักนามธรรมจะรู้จักอายตนะไหม (ไม่) ถ้าไม่รู้จักรูปธรรมจะรู้จักอายตนะไหม (ไม่) เพราะฉะนั้นอายตนะคืออะไรเมื่อรู้จักธรรมแล้ว รู้จักนามธรรมแล้ว รู้จักรูปธรรมแล้ว อายตนะคืออะไร นี่เป็นสิ่งที่เราต้องฟังคำทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วเข้าใจจริงๆ จึงจะรู้ว่าเป็น ”ธรรม“ ต่อไปนี้จะพูดคำว่า “อายตนะ” ไหม
- เพราะฉะนั้นคนที่รู้จักพระพุทธเจ้าเคารพพระพุทธเจ้าจะพูดคำของพระพุทธเจ้าเพื่อที่จะรู้จักพระพุทธเจ้ายิ่งขึ้น เพราะฉะนั้นขณะใดที่เคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือ ขณะที่กล่าวคำของพระองค์ด้วยความเข้าใจขึ้น ถึงไม่อยู่ในห้องนี้ จะอยู่บนรถประจำทาง จะอยู่ที่ถนน จะอยู่ที่ห้องไหนก็ได้ เก้าอี้ไหนก็ได้ มุมไหนก็ได้เราสามารถที่จะเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการระลึกถึงคำที่เราได้ฟังแล้วเข้าใจ
- สำหรับเวลานี้เราใช้ห้องนี้เกินเวลาแต่การเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่จำกัดเวลา เราไม่รู้เราจะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่แต่ก่อนจากไปได้มีการเข้าใจคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้แล้วซึ่งยากมากที่จะมีโอกาสนี้ เพราะฉะนั้นระหว่างที่ดิฉันอยู่ที่ประเทศนี้ ดิฉันพร้อมทุกโอกาสไม่ใช่เฉพาะในห้องนี้เท่านั้นที่จะแสดงความเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้าด้วยการสนทนาธรรมเพื่อเข้าใจ นี่เป็นจุดประสงค์ของการที่จากทางไกลมาสู่ประเทศที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดงธรรมเพื่อเคารพสุงสุดที่จะให้คนที่นี่ได้มีความเข้าใจพระธรรม เพราะฉะนั้นให้โอกาสทุกท่านที่จะเคารพพระพุทธเจ้าด้วยการสนทนาธรรมไม่จำกัดเวลา แต่ปัจจัยที่จะให้เข้าใจธรรมตรงนี้หมดก็มีปัจจัยที่จะให้เข้าใจตรงอื่นได้ ยินดีด้วยในกุศลของทุกท่านนะคะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ